ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบเจอผู้ชายอย่างเย่ซิวเธอไม่ต้องการปล่อยเขาไปแม้กระทั่งวิธีการที่เธอจะตามจีบเย่ซิว ตอนนี้ในหัวของเธอก็มีแผนการที่ชัดเจนแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง……ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหวังเฟิงได้ฟื้นขึ้นมาเขาพยายามลุกขึ้นยืนและมองไปที่เลขาของเขา “ตอนนี้…บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”เลขาสาวถึงกับถอนหายใจ “ราคาหุ้นตกต่ำต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน ขาดทุนมากกว่าแสนล้านและเงินทุนที่สามารถใช้งานได้ในบัญชีเหลือเพียงห้าหมื่นกว่าล้านค่ะ”“และผู้ว่าหลัวใช้หลักฐานที่มีอยู่จับกุมผู้บริหารระดับสูงหลายคน ซึ่งพวกเขาก็เปิดเผยปัญหามากมายของเราเพื่อปกป้องตัวเอง…”“ในสถานการณ์ตอนนี้ บริษัทเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ตอนนี้บริษัททั้งหมดที่เคยร่วมมือกับเรา ต่างหันหลังให้เราแล้วค่ะท่าน”“ขืนสถานการ์ณเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงยื้อต่อไม่ไหวแน่ค่ะท่าน”“ท่านประธานคะ ตามความคิดเห็นของดิฉัน ตอนนี้เราควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อความอยู่รอด โดยการละทิ้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าและจับจ่ายสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอื่น ๆ เอาไว้ เพื่อมีโอกาสฟื
“อายุสิบแปดปี เป็นจอมยุทธขั้นสูงสุดระดับห้า คุณแน่ใจหรือว่าไม่ได้เข้าใจผิด?”ในความเป็นจริง หวังเฟิงไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่ด้วยความคิดที่ว่า เย่ซิวสามารถเอาชนะหนึ่งในสามนายพลลูกน้องของเขาได้ ดังนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้มากจากนั้น เขาก็พูดอย่างหนักแน่น “ผมแน่ใจ”อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์หลิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอที่อยู่ให้ผมหน่อย ผมอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าในโลกนี้มีคนที่ฝืนกฎธรรมชาติได้จริง ๆ หรือไม่”หวังเฟิงดีใจมากและรีบบอกที่อยู่ของหลัวเฟิงให้อีกฝ่ายทราบทันทีที่วางสาย เลขาของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารหลายฉบับหวังเฟิงอ่านทีละฉบับแล้วลงนามแล้วเขาก็พูดกับเลขาว่า “รีบไปจัดการซะ ยิ่งไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งสูญเสียน้อยลงเท่านั้น”“ครับท่าน ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ด้วยครับ”เลขานุการออกจากห้องพักผู้ป่วย หลังจากปิดประตูแล้วเขาก็มองดูเอกสารในมือ ทันใดนั้นสีหน้าแปลก ๆ น่าขนลุกก็ฉายขึ้นบนใบหน้าของเขาเขาเร่งฝีเท้าเดินออกไป หลังจากขับรถไปคนเดียวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงเขตพื้นที่วิลล่าที่มีสภาพแวดล้อมหรูหรางดงามจากนั้น เขาก็ลงจาก
หลัวอีอีหันกลับมาพร้อมมือข้างหนึ่งทีกำลังเท้าคาง แล้วพึมพำเบา ๆ ว่า “พ่อหนุ่มน้อย นายไม่ได้แก่กว่าฉันเลยนะ เรียกฉันว่าพี่สาวสิ”ความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจของเธอเห็นได้ชัดว่า เย่ซิวดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงกว่าเธอ แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้แก่กว่าเธอเลย น่าสนใจจริง ๆเย่ซิว “ออกไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวถ้าครอบครัวคุณกลับมาแล้วมาเห็นแบบนี้เข้า แล้วจะอธิบายยังไง?”“ฉันจะไม่ออกไปจนกว่านายจะตอบมาให้ชัดเจน” หลัวอีอีพูดอย่างเมินเฉย “ฉันบอกแล้วว่าฉันอยากเป็นแฟนกับนาย นายกลัวเหรอ? นายนี่ขี้อายจริง ๆ เลยนะ”เย่ซิวก้าวไปข้างหน้า และคว้าหลังคอของเธอไว้โดยไม่เอ่ยปากอะไรสักคำเด็กสาวดิ้นรนอย่างแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของเย่ซิวได้ เขาลากเธอกลับห้อง และผลักเธอลงบนเตียงเธอกลิ้งไปหนึ่งตลบ จากนั้น เธอก็ลุกออกจากเตียงแล้วกระโจนใส่เย่ซิวการกระทำนี้อาจหาญและอันตรายมากถ้าเย่ซิวจับไว้ไม่ทันเธอจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ดวงตาของหลัวอีอีฉายแวบแววเจ้าเล่ห์ เธอรู้อยู่แล้วว่าเย่ซิวไม่มีทางปล่อยให้เธอได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนแม้ว่าเย่ซิวจะรู้ถึงกลอุบายของแม่สาวน้อยคนนี้ แต่เขาก็ยังต้องจับเธอไว้อยู่ดีจากนั
“ไม่ใช่หรอกมั้ง?”ความคิดที่ไม่ดีก็เข้ามาในใจใบหน้าของหลัวฮุ่ยหมิ่นซีดลง เธอขยับเข้าใกล้ประตูห้องของหลัวอีอีอย่างระมัดระวัง จากนั้นเธอก็ได้ยิน…“คนเลว… หยุดนะ”“ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว ขอร้อง หยุด...”จิตใจของหลัวฮุ่ยหมิ่นว่างเปล่าในทันที เธอเปิดประตูเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น“หยุดนะ พวกเธอจะทำเรื่องแบบนี้กันไม่ได้นะ!”เธอกรีดร้องออกมาในห้อง ทั้งสองคนที่กำลังสู้กันอย่างสนุกสนานก็หยุดลง และหันไปมองเธอพร้อมกันเมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในห้องอย่างชัดเจน หลัวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกอึ้งไปในทันทีสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดแม้ว่าท่าทางของพวกเขาจะไม่เหมาะสม แต่เสื้อผ้าของพวกเขาก็ยังสวมใส่อยู่ปกติดี“พวกเธอ?!” ดวงตาของหลัวฮุ่ยหมิ่นเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรหลัวอีอีรีบปล่อยมือจากเย่ซิวพลางหัวเราะคิกคัก “คุณอา กลับมาแล้วเหรอคะ? ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูก็แค่เล่นกับแฟนเฉย ๆ”เย่ซิวเขกหน้าผากของเธอเบา ๆ “อย่าพูดไร้สาระ ผมบอกไปตอนไหนว่าผมอยากเป็นแฟนของคุณ”หลัวอีอีรู้สึกเสียใจมาก “เราสัมผัสแนบเนื้อกันแล้วนะ นายจะทำแบบนี้แล้วทิ้งไปไม่ได้นะ”เย่ซิวขี้เกียจเกินกว่าจะมาสนใจคำพูดที่ไม่มีการกลั
เย่ซิววางนิ้วลงบนริมฝีปากสีแดงของหลัวฮุ่ยหมิ่น และยิ้มอย่างขมขื่น “คุณหลัว อย่าทำแบบนี้เลยครับ”ดังคำกล่าวที่ว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการตอบแทนคือความโปรดปรานของหญิงสาวสวยตอนนี้เย่ซิวก็ตระหนักได้ในที่สุดดวงตาของหลัวฮุ่ยหมิ่นรื้นไปด้วยน้ำตา “ทำไมนายถึงปฏิเสธฉันครั้งแล้วครั้งเล่า? ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ สำหรับฉันที่ต้องเริ่มก่อนขนาดนี้ นายรู้ไหมว่าฉันต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหน?”เย่ซิวพูดด้วยสีหน้าขอโทษ “คุณหลัว อย่าร้องไห้เลยครับ”ในใจของหลัวฮุ่ยหมิ่นแอบยินดี เป็นไปตามที่คาด วิธีการที่แม่ของเธอสอนนั้นได้ผลจริง ๆการร้องไห้!ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะใจแข็งได้เมื่อผู้หญิงร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงสวยร้องไห้“ฉันไม่สวยเหรอ?” เธอถามเย่ซิวพยักหน้า “สวยครับ”“ฉันไม่อ่อนโยนเหรอ?”“อ่อนโยนครับ”“ฉันไม่ดีเหรอ?”“ดีแล้วครับ”“ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายถึงไม่ชอบฉันล่ะ? เป็นเพราะนายคิดว่าฉันแก่เกินไปใช่ไหม?”เย่ซิวไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด เป็นเพราะผมฝึกยุทธ และผมจะสูญเสียความบริสุทธิ์ตอนนี้ไม่ได้”เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ทว่าเพื่อที่จะขจัดความคิดที่ไม่สมจริงของหลั
เขาหันหลังกลับและเดินออกไป สองนาทีต่อมาเขาก็เดินมาถึงชั้นล่าง“แกคงเป็นเย่ซิวสินะ” ชายชราพูดและแนะนำตัวเอง “ฉันชื่อหลิ่วเฉวียน”ลึกเข้าไปในดวงตาของเขาฉายแวบความภูมิใจใครก็ตามที่อยู่ในยุทธภพและแม้จะมีความรู้เพียงเล็กน้อย ก็จะรู้ถึงน้ำหนักที่มีอยู่ในสองคำนี้เย่ซิวเองก็รู้เรื่องของเขาอยู่แล้วภายในประเทศหลงเถิง ปรมาจารย์ที่เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะทั้งหมดได้รับการบันทึกไว้ และเขาได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว“ตระกูลหวางส่งคุณมาสินะ” เย่ซิวพูดอย่างสงบ “ผมขอแนะนำให้คุณอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นจะดีกว่า คุณจะได้ไม่ต้องมาทิ้งชีวิตตัวเองที่นี่”ปรมาจารย์นั้นมีค่ามาก การกำเนิดปรมาจารย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นเย่ซิวจึงไม่อยากทำลายใครง่าย ๆ“เจ้าหนุ่ม แกไม่รู้จักฉันหรือ?” เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งปฏิกิริยาของเย่ซิวค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา“แน่นอน ผมรู้ว่าคุณเป็นปรมาจารย์” การแสดงออกของเย่ซิวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “คนอื่นอาจกลัวคุณ แต่ไม่ใช่ผม ผมจะพูดอีกครั้ง กลับไปเถอะครับ อย่ามาทิ้งชีวิตที่นี่โดยเปล่าประโยชน์เลย”ในเวลานี้หลิ่วเฉวียนทิ้งร่องรอยของการดูถูกครั้งสุดท้าย และมองไปที่เย่ซ
ดวงตาของหลิ่วเฉวียนแวบผ่านความเย็นชาและมืดหม่นหลังจากพุ่งเข้าโจมตี เขาก็มองไปที่เย่ซิวราวกับว่าเขากำลังมองร่างไร้วิญญาณเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมาก!เขาอยู่ในขั้นปรมาจารย์มายี่สิบกว่าปีแล้วแม้ว่าเขาจะไม่เคยทะลวงไปสู่ขั้นกลางของระดับปรมาจารย์ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ควรประมาทเช่นกันด้วยการโจมตีเต็มแรงนี้ แม้แต่ราชสีห์ก็ยังต้องถูกปลิดชีพสำหรับเย่ซิวไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ ในความเห็นของเขา มีเพียงความตายเท่านั้นด้วยฝ่ามือที่ฟาดเพียงครั้งเดียว กลับเหมือนแตงโมที่ถูกรถความเร็วสูงพุ่งเข้าชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเสียง 'ตูม' ดังสนั่น แตงโมก็จะระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!“คุณยังพอมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง” เย่ซิวพูดอย่างสงบพลางพยักหน้า แม้แต่ในเวลาเช่นนี้ เขาก็ยังคิดที่จะประเมินคู่ต่อสู้ “ไม่เลวเลยนะครับ ขั้นต้นระดับปรมาจารย์ คุณติดอันดับหนึ่งในสามได้เลย แต่น่าเสียดายที่สมองไม่ค่อยดี”คำพูดเหล่านี้ทำให้หลิ่วเฉวียนโกรธมากขึ้น “เด็กสารเลว อวดดีไม่อายปาก รนหาที่ตายจริง ๆ!”เขายังคงเดินเข้าไป ฝ่ามือที่กว้างและหนาฟาดลงที่หัวของเย่ซิวปัง!มีเสียงอู้อี้ทำให้ห
สีหน้าของเฉิงเฟิงเปลี่ยนไป และมองไปที่เย่ซิวด้วยความยำเกรงยิ่งขึ้นเจ้านายของเขามีพลังมากกว่าที่คิดเย่ซิวกล่าว “ทรัพย์สินของหลิ่วเฉวียนน่าจะมีอยู่มากทีเดียว ประกาศออกไปว่าคุณเป็นคนกำจัดเขา ผมจะให้เวลาคุณหนึ่งเดือน โอนทรัพย์สินทั้งหมดของหลิ่วเฉวียนเป็นชื่อของคุณให้เรียบร้อย”ยุทธภพย่อมมีวิธีการแก้ไขข้อพิพาทในแบบยุทธภพหากอีกฝ่ายเป็นคนเช่นหวังซงซึ่งไม่ใช่คนในยุทธภพ เย่ซิวก็จะเลือกวิธีอื่นสำหรับคนอย่างหลิ่วเฉวียน วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก ใครหมัดใหญ่กว่า ทรัพย์สินก็จะตกเป็นของคนผู้นั้นเฉิงเฟิงกล่าวด้วยความเคารพ “รับทราบครับ”เขาแบกร่างของหลิ่วเฉวียนออกไปในเวลานี้ โทรศัพท์ของเย่ซิวดังขึ้นเป็นสายของหลินซวงที่โทรมาเสียงหวานของหลินซวงดังมาจากปลายสายอีกด้าน “คุณเย่ คุณว่างไหมคะ? ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักหน่อยน่ะค่ะ"เย่ซิวพูดว่า “ว่างครับ แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”มีความยินดีอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียงของหลินซวง “ดีเลยค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่นอกเขตที่อยู่อาศัยที่คุณอยู่แล้วค่ะ”ความจริงใจนี้ถือว่าเพียงพอแล้วเย่ซิววางสายแล้วเดินออกไปข้างนอก และเห็นหลินซวงที่ยืนอยู่ ดูสดใสและอ่อนเยาว์
นี่คือคำสัญญาที่เย่ซิวให้ไว้ต่อเธอลู่เสวี่ยเอ๋อร์หลับตาของเธอลงอย่างมีความสุขวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรมากนัก ลู่เสวี่ยเอ๋อร์เลยบำเพ็ญตนกับเย่ซิวตลอดลากยาวไปจนถึงห้าโมงเย็นถึงได้หยุดห้าโมงเย็น ก็เลิกงานแล้วเย่ซิวขอให้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปก่อน เนื่องจากเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานจอดรถ หลางต้าก็รออยู่ข้าง ๆ รถของเย่ซิวแล้วมีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่วางอยู่ที่เท้าของเขา“นายน้อย!” หลางต้าโค้งตัวลงแล้วพูด “ทุกสิ่งที่คุณต้องการเตรียมพร้อมหมดแล้วครับ”เย่ซิวพยักหน้า "ได้ นายกลับไปเถอะ"เขาใส่กระเป๋าเดินทางไว้ท้ายรถ จากนั้นขับรถออกไปจุดหมายคือบ้านเช่านอกชานเมืองที่ชูตงอาศัยอยู่เวลาที่ใช้ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานถึงที่นี่ ทุกวันคือราวสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมงเย่ซิวดูเงินเดือนของชูตงซึ่งมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทหลังจากหักภาษีในทุกเดือนแล้วราคาบ้านใกล้บริษัทอยู่ที่ประมาณสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งอิงตามหลักการแล้วเธอน่าจะแบกรับไหวถึงจะถูกเมื่อเขามาถึงบ้านเช่าของชูตง เขาก็จอดรถ ยกกระเป๋าเดินทางออกมา แล้วเดินไปที่เขตชุมชนด้านหน้าเขตชุมชนแห่งหนึ่ง ในห้องสามศูนย์แปด
"ตอนนี้คุณมีแฟนหรือยัง?"เมื่อได้ยินแบบนี้ ชูตงก็รู้สึกรังเกียจเธอแอบคิดว่าเย่ซิวประธานใหญ่คนนี้ ดูเหมือนจะซื่อตรงและมีเกียรติ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆหลายคนเคยถามคำถามนี้กับเธอเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายมากจริง ๆแม้ในใจจะดูแคลน แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย “เรียนท่านประธานคะ มีแล้วค่ะ เป็นคนที่บ้านแนะนำมา ในอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับไปหมั้นกันแล้ว”เย่ซิวขานรับอืมหนึ่งที "อืม ออกไปทำงานเถอะ"ชูตงตกตะลึงไปครู่หนึ่งเธอนึกว่าเย่ซิวจะขอให้เธอเป็นคนรักลับ ๆ ของเขาแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ยังไม่อยากลาออก อยู่ที่นี่เธอทำงานอย่างมีความสุขมากเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์บริหารงานเข้มงวด จึงไม่มีความน่ารังเกียจทุกประเภทที่พบในที่ทำงานภายนอกปรากฏขึ้นที่นี่หลังจากที่เธอออกไป เย่ซิวก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของเซี่ยซิ่วซิ่ว เปิดรายชื่อพนักงาน และพบข้อมูลของชูตงเธอมาจากชนบทและเพิ่งจะเรียนจบ แต่กลับเปลี่ยนงานมามากกว่าสิบตำแหน่งแล้วในเรซูเม่ระบุว่างานเหล่านั้นทำเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ประธานหรือหัวหน้างาน
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างด่าบริษัทเครื่องสำอางเหล่านั้นอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ไร้ศีลธรรมมากเกินไปแล้วเมื่อสักครู่นี้เพิ่งมีข่าวส่งมา ว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนของประเทศอวี้ไปซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา"เย่ซิวเตือนไปหนึ่งประโยค "ผลกำไรของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็ปล่อยให้พวกเขาไปแบกรับแทนอย่างไรเสียพวกเราคือ 'เหยื่อ' และหากมีคำด่าทออะไรก็ให้บริษัทของแต่ละประเทศไปแบกรับกันเอาเอง"เซี่ยซิ่วซิ่วยิ้มอย่างมีความสุขมาก "อืม ฉันรู้แล้วเว้นเสียแต่ประเทศต่าง ๆ จะห้ามไม่ให้ผู้คนเดินทางไปยังประเทศอวี้ ธุรกิจของเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก"แต่มันไม่สมจริงเลยที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนไปที่ประเทศอวี้ประเทศอวี้เป็นประเทศที่เป็นกลางอย่างยิ่ง ได้รับการคุ้มครองจากหลายร้อยประเทศ แถมยังเป็นเขตปลอดภาษีอีกด้วยใครก็ตามที่แบนมัน จะต้องเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงแน่นอน“จริงสิ ชิงชิงจะมาถึงบ่ายวันนี้ ฉันจะไปรับเธอ นายจะไปไหม?”เกี่ยวกับเซี่ยชิงชิง เซี่ยซิ่วซิ่วบอกเขาเมื่อวานนี้ตอนนี้ตัวหมากนี้มีผลต่อเย่ซิวไม่มากแล้วบวกกับหลังจากที่เซี่ยซิ่วซิ่วติดตามเขาเธอก็ทำง
“นาย...นายท่าน...”ภายใต้การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของเย่ซิว น่าหลันเยียนหรานมีเพียง 'ยอมแพ้' ในที่สุดนอกจากความเขินอายที่มีอยู่ น่าหลันเยียนหรานยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่พิเศษมาก ซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความรู้สึกถูกครอบงำที่แสนประหลาด!หลังจากบำเพ็ญตนจนถึงเที่ยงคืน น่าหลันเยียนหรานก็หลับสนิทไประหว่างที่หลับ ร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็จะขึ้นเป็นปรมาจารย์ทั้งหมดแม้ว่าในอนาคตเขาจะไม่ออกหน้า แต่ผู้หญิงข้างกายเขาเหล่านี้ก็สามารถครองยุทธภพเย่ซิวไม่ได้พักผ่อน แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ น่าหลันเยียนหราน หยิบสุราวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ แล้วใช้วิชายุทธเริ่มปรับแต่งมันอย่างเงียบ ๆตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่ขั้นอมตะให้เร็วที่สุด แบบนี้ถึงจะสามารถรู้ความหมายของคำพูดที่หยางชิงเสวี่ยพูดไว้ว่าถ้าเขาได้เธอ ก็จะได้ครอบครองพลังที่ทรงพลังมากเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน่าหลันเยียนหรานตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามีพลังไหลไปทั่วทั้งร่างกาย หูและสายตาของเธอเฉียบคมขึ้น สภาพดีชนิดที่ว่าเมื่อก่อนเทียบไม่ติด“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเย่”
น่าหลันเยียนหรานหัวเราะคิกคัก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันดื่มเก่งมาก มา ดื่มกันต่อ..."โดยปกติแล้วคนที่ชอบพูดว่าตัวเองดื่มเก่ง ในความเป็นจริงล้วนไม่ค่อยจะเท่าไหร่ยกตัวอย่างเช่นน่าหลันเยียนหราน อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ดื่มไปสามแก้วติดกัน ก็นอนฟุบหมดสติไปกับโต๊ะแล้วเย่ซิวส่ายหัวอย่างหมดคำพูด เดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้องน่าหลันเยียนหรานดูตัวสูงเพรียว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ตัวหนัก น่าจะสักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม สำหรับเย่ซิวแล้วจึงไม่ต่างอะไรกับการอุ้มก้อนสำลีมากนักเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของน่าหลันเยียนหราน กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกมะลิก็ลอยมาปะทะจมูก ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานเมื่อได้กลิ่นห้องพักสะอาดมาก ไม่มีอะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องหน้าแดงเขาวางเธอลงเบา ๆ ไม่ทันรอให้เย่ซิวดึงมือกลับไป เธอก็ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นแล้วพูดอย่างคลุมเครือฟังไม่ค่อยชัดแต่เย่ซิวได้ยินมันอย่างชัดเจนมาก เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "คุณแน่ใจเหรอ? ผมไม่สามารถให้สถานะแก่คุณได้"น่าหลันเยียนหรานค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเหมือนยอมให้ท่านกระทำได้ทุกอย่างนี่เป็นการตัดสินใจเลือกของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้บังค
“วิชาจินตานเบญจมหาธาตุวิถี!”เย่ซิวมองไปที่วิธีบ่มเพาะจินตานที่บันทึกไว้ในหนังสือในมือของเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าการสร้างแก่นจินตาน สามารถมองได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกันโดยใช้กายมนุษย์เป็นเตาหลอม พละกำลัง ลมปราณ และพลังวิญญาณเป็นวัตถุดิบยา หลอมกลั่นมันออกมาตลอดทุกยุคสมัยล้วนมีบันทึกไว้แบบนี้ เมื่อจินตานหนึ่งเม็ดอยู่ในท้องข้า ก็ตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมข้ามิได้ถูกกำหนดโดยฟ้าดินอีกต่อไปและวิธีการสร้างตานในมือของเย่ซิว ก็คือหนึ่งในวิธีที่ยากที่สุดในบรรดาวิธีการต่าง ๆจำเป็นต้องรวบรวมสมบัติแห่งฟ้าดินทั้งห้าธาตุ แล้วกลั่นเป็นตานแห่งเบญจมหาธาตุวิถี!จินตานประเภทนี้จะมีพลังวิญญาณแฝงอยู่เป็นสิบเท่าของจินตานทั่วไป และความเร็วในการฟื้นตัวเองก็มากกว่าหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับขั้นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตนที่มีตานแห่งวิถีห้าธาตุ จะสามารถเอาชนะขั้นอมตะทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้แบบข้ามขั้นที่น่ากลัวด้วยแน่นอนว่า ศักยภาพเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน สามารถไปต่อได้ไกลเย่ซิวจดทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จากนั้นนำหนังสือกลับไปคืนที่เดิม ทิ้ง
ในตอนนั้นเอง กระบี่พยัคฆ์ก็รู้สึกได้ว่าจิตสังหารที่รายล้อมรอบตัวเขาได้จางหายไปแล้วเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “ผมกำลังขาดสุนัขที่รู้จักเห่าและกัดเจ็บอยู่ สนใจจะเป็นไหม?”เขามองออกว่ากระบี่พยัคฆ์เป็นคนที่หยิ่งทะนงและไม่ยอมใคร การใช้คำพูดที่สุภาพกับคนแบบนี้คงไม่มีประโยชน์ ต้องใช้พลังที่เหนือกว่าและความเด็ดขาดเท่านั้นถึงจะควบคุมได้และเป็นดังที่คาดไว้ กระบี่พยัคฆ์ที่เพิ่งโดนพลังของเย่ซิวข่มขวัญก็ยอมจำนนในทันที แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ เขากลับยิ้มอย่างยินดี “ผมยินดีรับใช้ ขอบคุณที่คุณรับผมไว้ครับ!”ภาพนี้ทำเอานักพรตทั้งสองคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวเดินเข้าไปหานักพรตสาวที่หน้าตางดงามราวกับงานศิลปะ พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “พอจะอนุญาตให้ผมเข้าไปดูหนังสือในห้องสมุดของพวกคุณได้ไหม?”นักพรตสาวกลับมาตั้งสติ ก่อนจะมองหน้านักพรตอีกคนนักพรตคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมท่าทีที่นอบน้อมอย่างมาก “ดะ…ได้เลย…เชิญโยมตามอาตมาเข้ามาได้เลย”ตอนนี้เขารู้สึกเกรงกลัวเย่ซิวเป็นอย่างยิ่งชายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หากเขาโกรธขึ้นมา เกรงว่าทั้งอารามเต๋าอาจถูกทำลายจนไม่เหลือเย่ซิวหันไปมองกระบี่พยัคฆ์ “คุกเข่ารอฉันตรงนี
กระบี่พยัคฆ์มีท่าทีที่ดุดันและแข็งกร้าว แต่ก็สมกับพลังที่เขามีจริง ๆกระบี่ที่เขาฟาดออกไปมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และทรงพลังดั่งมหาสมุทร ราวกับจะผ่าทั้งสวรรค์และปฐพีออกเป็นสองส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกมาจากในอารามที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตาได้แต่มองกระบี่นี้ด้วยความตกตะลึงเธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ด้วยพลังที่มีไม่พอจึงได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพที่เย่ซิวจะถูกแยกออกเป็นสองท่อนนักพรตหนุ่มถึงกับหน้าซีด คิดจินตนาการถึงภาพที่เย่ซิวต้องเลือดสาดเต็มพื้น“ไม่เลวเลย จอมยุทธ์ระดับแปดขั้นต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงขั้นสูงถือว่าหายากทีเดียว”ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังมีอารมณ์มาวิจารณ์การโจมตีนี้ด้วยท่าทีสงบ กระบี่พยัคฆ์ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน “ตายคาที่แล้วยังจะทำเป็นอวดเก่งอีก!”แต่เพียงชั่วพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เย่ซิวใช้เพียงสองนิ้วคีบหยุดคลื่นกระบี่อันน่าสะพรึงนั้นได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกระบี่พยัคฆ์และนักพรตทั้งสอง เย่ซิวคีบคลื่นกระบี่ไว้ได้ราวกับไม่มีอ
ชายคนนั้นมีท่าทีไม่เชื่ออย่างแรง “อย่ามาหลอกฉัน ถ้าเจ้าอาวาสไม่ออกมา ฉันก็ไม่ไป และวัดนี้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมากราบไหว้อีก!”นักพรตหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและหมดหนทาง เมื่อเจอกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งและเล่นไม่ซื่อแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้จะรับมือยังไง“เฮ้ พวกเธอสองคน ไสหัวไปซะ!”ชายคนนั้นมองเย่ซิวกับน่าหลันเยียนหรานด้วยสายตาดุดันดั่งสิงโตที่กำลังคำราม ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากนี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่มาไหว้พระพากันหนีไปหมดเย่ซิวเอ่ยเรียบ ๆ “นี่เป็นที่สาธารณะ ทำไมผมต้องไปด้วย?”ชายคนนั้นแสยะยิ้ม “ไอ้หนู คิดจะโชว์แมนต่อหน้าแฟนหรือไง? อยากโดนฉันสั่งสอนใช่ไหม!”พูดจบ พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขามีเพียงผู้ที่ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายอันโหดร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาน่าหลันเยียนหรานตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกไปทั้งร่างชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วแต่ในวินาทีนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือใหญ่ที่อบอุ่นและแข็งแรงมาจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ เธอรู้สึกสงบลง ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวด้วยสายตาขอบคุณนักพรตหนุ่มรีบวิ่งลงมาหาเย่ซิวพร้อมเตือนด้วยความกังวล “โย