จากเหตุการณ์นั้น ทำให้เย่ซิวมีพลังบำเพ็ญตนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับการบำเพ็ญเพิ่มขึ้นถึงหกร้อยกว่าปี“อาจารย์ รอผมด้วย”เย่ซิวหยิบสมบัติเวทมนตร์สำหรับบินธรรมดา ๆ ออกมาใช้งาน หลังจากกระตุ้นพลัง เขาก็บินไล่ตามรั่วอวิ๋นไปทันทีด้านรั่วอวิ๋นเองก็ก้มลงมองฝ่ามือตัวเอง ก่อนที่คิ้วเรียวขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจ “พลังวิญญาณของฉันหนาแน่นขึ้นมากเลย ตอนนี้ฉันเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดขั้นสูงได้แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”สิ่งแรกที่เธอนึกถึงก็คือเย่ซิว“หรือว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีร่างกายที่พิเศษอะไรบางอย่าง…”แต่แล้วรั่วอวิ๋นก็รีบส่ายหน้าเบา ๆ สลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวทันทีเธอไม่มีทางลงมือพิสูจน์อะไรพวกนั้นแน่ยามเย็น รั่วอวิ๋นก็พาเย่ซิวกลับถึงสำนักอวิ้นหลิงสำนักแห่งนี้กว้างใหญ่โอ่อ่าและตั้งอยู่บนยอดเขาสูงหมอกเมฆลอยอ้อยอิ่งทั่วบริเวณ มีนกกระเรียนขาวบินร่อนอย่างสง่างามบรรยากาศทั้งสงบขรึมและยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยพลังอันลึกล้ำเย่ซิวรู้สึกได้ทันทีว่าภายในสำนักนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังอันทรงพลังกดดันอย่างแผ่วเบาที่กระจายอยู่ทั่วและเพื่อไม่ให้ใครจับได้ถึ
ตอนแรกนึกว่ามาถึงสำนักอวิ้นหลิงแล้วจะสามารถรับช่วงดูแลสำนักนี้ได้เลยกะว่าจะใช้ทุนสะสมที่พวกเขาเก็บมาเป็นสิบ ๆ ปี เพื่อเร่งพัฒนาพลังของตัวเองให้เร็วที่สุดแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้นตอนนี้พวกอนุรักษนิยมกับกลุ่มจอมยุทธ์กระบี่สัดส่วนพลังอยู่ที่สองต่อแปดฝ่ายอนุรักษ์มีแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของพลังทั้งหมด พื้นที่ในการอยู่รอดแคบลงทุกทีโดยเฉพาะปัญหาการขาดช่วงระหว่างรุ่น คนรุ่นใหม่ที่รับเข้ามาในรอบร้อยปีแทบไม่มีใครโดดเด่นเลยแต่พอมาดูทางฝ่ายจอมยุทธ์กระบี่กลับรับเด็กฝึกมีพรสวรรค์เข้ามาหลายร้อยคนในช่วงไม่กี่ปีนี้แถมในนั้นยังมีคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะจอมยุทธ์กระบี่ที่หาได้หนึ่งครั้งในรอบพันปียิ่งเก่งก็ยิ่งได้ทรัพยากรมากขึ้นเป็นธรรมดาในหัวของเย่ซิวเริ่มมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา ก่อนจะเริ่มวางแผนคร่าว ๆ ถ้าอยากให้ฝ่ายอนุรักษ์มีเสียงมากขึ้นในสำนัก ก็ต้องทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นก่อนแต่ตอนนี้ก็ยังแค่เป็นแนวคิด ยังต้องสังเกตการณ์อีกสักพักเย่ซิวก้าวขึ้นสู่เขาแห่งโอสถที่นี่เป็นพื้นที่เฉพาะของรั่วอวิ๋นข้างนอกมีค่ายกลป้องกัน คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้จริง
ในสำนักอวิ้นหลิง มีกฎห้ามเหล่าศิษย์ประลองกันเองโดยพลการหากฝ่าฝืนจะถูกทำลายพลังบำเพ็ญจึงไม่มีใครกล้าละเมิดกฎนี้หญิงสาวมองแผ่นหลังของเย่ซิวที่เดินจากไปด้วยความโกรธจนศีรษะเหมือนมีไอร้อนพวยพุ่งสองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด ฟันขาวขบกันจนได้ยินเสียงกรอด ๆ“ไอ้บ้านี่ คอยดูเถอะ ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”เย่ซิวไม่ใส่ใจกับคำขู่ของเธอ ก่อนจะเดินขึ้นไปถึงบริเวณกึ่งกลางของภูเขาตรงนี้มีถ้ำสำหรับอยู่อาศัยมากมาย และหลายแห่งก็ยังว่างอยู่เย่ซิวเลือกถ้ำที่ใหญ่ที่สุดและมีพลังวิญญาณไหลเวียนหนาแน่นที่สุด ก่อนจะเดินเข้าไปโดยไม่ลังเลที่นี่ใหญ่มาก มีพื้นที่เกือบหมื่นตารางเมตรมีห้องอาบน้ำ ห้องนอน ห้องอ่านหนังสือและยังมีห้องปรุงยา ห้องฝึกฝน การตกแต่งก็หรูหราอลังการอุปกรณ์ความบันเทิงทันสมัยก็ครบทั้งเครื่องร้องคาราโอเกะ ทีวีจอยักษ์ และอื่น ๆ เย่ซิวเดินตรวจดูทั่วทั้งถ้ำจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงเริ่มจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆอย่างแรกคือวางค่ายกลป้องกันรอบถ้ำในโลกของผู้บำเพ็ญตน ความปลอดภัยของที่พักคือสิ่งสำคัญมากบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอดชีวิตได้เลยทีเดียว เย่ซิวจึงลงแรงกับเรื่องนี้เต็มที่เ
เย่ซิวถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้รับข้อความจากรั่วอวิ๋นดูจากน้ำเสียงแล้ว การไปครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆเขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากถ้ำ แล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขาตอนนี้ตัวเขายังไม่เหมาะจะเปิดเผยตัวตนเพราะจอมยุทธ์กระบี่ในสำนักยังมีผู้บำเพ็ญตนระดับปฐมญาณอยู่หลายคน ซึ่งเย่ซิวไม่อาจรับมือได้หากถูกเปิดโปงก็มีแต่จะนำความยุ่งยากมาไม่สิ้นสุดและอาจถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตลำดับขั้นของการบำเพ็ญตนตั้งแต่ต่ำไปสูง ได้แก่ ระดับหลอมปราณ สร้างรากฐานปราณ ระดับจินตาน ระดับวิญญาณก่อกำเนิด ระดับถอดจิต ระดับปฐมญาณ ระดับรวมกายา ระดับทะลวงสุญตา ระดับมหายาน และระดับฝ่าด่านเคราะห์ดังนั้นตอนนี้เขาต้องวางตัวให้เงียบไว้ก่อนตากนั้นเย่ซิวก็เดินทางมาถึงบนยอดเขาทันทีที่มาถึง เย่ซิวก็เห็นด้านหน้าถ้ำของรั่วอวิ๋นมีสิงโตหินทรงสง่าอยู่ข้างละตัวดูจากรูปลักษณ์แล้วคงเป็นหุ่นเชิดทรงพลังที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาขณะนั้นเอง เสียงของรั่วอวิ๋นก็ดังออกมาจากด้านใน “เข้ามาสิ”เย่ซิวเดินเข้าไปรั่วอวิ๋นนั่งอยู่ในห้องรับแขกชุดลำลอง ผมยาวครึ่งหนึ่งปล่อยลงมาด้านหน้า ดูกระเซอะกระเซิงนิด ๆ แต่กลับมี
แถมพวกมันยังมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และบางตัวยังมีความสามารถติดตัวอีกหนึ่งหรือสองอย่างรวม ๆ แล้ว สิงโตหยกขาวหนึ่งตัวสามารถมีพลังต่อสู้เทียบเท่าผู้บำเพ็ญตนระดับจินตานขั้นกลางถึงสูงถ้ามีตัวไหนพรสวรรค์โดดเด่นมาก ๆ ก็สามารถพัฒนาไปถึงระดับวิญญาณก่อกำเนิดได้เลยรวมทั้งหมดมีแปดตัว ถ้าสามารถเลี้ยงให้โตเต็มวัยได้ทั้งหมดก็ถือว่าเป็นกำลังรบที่ไม่น้อยเลยทีเดียวเย่ซิวเดินมาถึงภูเขาหลังสำนักแล้วบังเอิญเจอสาวน้อยที่ไม่มีต้นทุนความเป็นผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งพอเห็นเย่ซิว สีหน้าของเธอก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ส่วนเย่ซิวก็ไม่คิดจะทักทายอะไรเช่นกันทั้งสองเดินสวนกันไปเงียบ ๆเธอมองแผ่นหลังของเย่ซิวและทิศทางที่เขาไป ก่อนจะยิ้มเย็น“ดูเหมือนอาจารย์จะให้เขาเป็นคนดูแลสิงโตหยกขาวสินะ เจ้าพวกตัวเล็กพวกนั้นแต่ละตัวอารมณ์ร้ายไม่ใช่เล่นเลยตอนฉันเลี้ยงมันเมื่อก่อน พวกมันยังเล็กอยู่แท้ ๆ ยังต้องใช้เวลาตั้งสองเดือนกว่าจะสนิทกันได้ตอนนี้พวกมันโตขึ้นขนาดนี้ แถมยิ่งโตก็ยิ่งไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ถ้าหมอนี่เข้าไปต้องโดนพวกมันเล่นงานยับแน่นอน ถ้าไม่ถลอกปอกเปิกก็คงออกมาไม่ได้ง่าย ๆ หรอก”คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็เปลี่ยนใจและ
ในกระดาษที่รั่วอวิ๋นให้มามีเขียนรายละเอียดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องปรุงอาหารให้เจ้าพวกนี้อย่างไรส่วนวัตถุดิบก็มีครบอยู่ภายในลานนี้แล้วเย่ซิวเพียงแค่ผสมตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ก็สามารถจัดอาหารให้พวกมันได้ทันทีระหว่างที่เย่ซิวกำลังปรุงอาหารอยู่นั้น สิงโตหยกขาวทั้งแปดตัวก็นอนหมอบอยู่ห่างจากเขาไม่กี่เมตรแต่ละตัวทั้งหน้าบวม ปากแตก ตัวเขียวช้ำ สายตาที่เคยมองเขาอย่างอาฆาตตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรงกับพวกตัวแสบที่ไม่เชื่อฟังแบบนี้ วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็แค่ซัดให้ยับสักรอบก็พอแม้ร่างกายของสิงโตหยกขาวจะนับว่าแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับเย่ซิวแล้วก็ไม่ต่างจากจอมเวทฝึกหัดเจอกับจอมเวทระดับปรมาจารย์เมื่อกี้ยังทำเป็นกร่างใส่เขาอยู่เลยแต่หลังจากเย่ซิวโชว์พลังให้เห็นแค่เล็กน้อยแล้วซัดพวกมันไปชุดใหญ่ เจ้าตัวแสบทั้งแปดก็เชื่องสนิทไม่นาน เย่ซิวก็ปรุงอาหารเสร็จแล้วนำไปวางตรงหน้าพวกมัน “เสร็จแล้ว มากินเร็ว ๆ”สิงโตหยกขาวทั้งแปดตัวค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างระวัง จ้องมองสีหน้าเย่ซิวอย่างละเอียดก่อนจะเริ่มกินแต่ทันทีที่กัดคำแรก พวกมันทั้งหมดก็ชะงักค้างไปพร้อมกันรสชาติไม่เหมือนกับที่ผู้ดูแลหญิง
ก่อนหน้านี้รั่วอวิ๋นก็เคยกลั่นโอสถหลายชนิดให้พวกมันกินเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเทียบกับเย่ซิวไม่ได้เลยจริง ๆเย่ซิวเห็นความภักดีสะท้อนในแววตาของเจ้าสิงโตหยกขาวทั้งแปดตัว!ในใจก็อดขำไม่ได้ถ้ารั่วอวิ๋นรู้ว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงสุดรักทั้งแปดตัวของเธอแปรใจภายในวันเดียว ไม่รู้จะโมโหจนกระอักเลือดไหมนะแค่คิดถึงภาพนั้น เย่ซิวก็รู้สึกแอบตั้งตารอขึ้นมาพอป้อนอาหารให้เจ้าพวกนี้เสร็จ เย่ซิวก็ลุกขึ้นเตรียมจะออกไปพวกมันก็กระดิกหางเดินตามหลังเขาไปอย่างว่าง่ายจนกระทั่งเห็นว่าเขาเดินจากไปไกลแล้ว พวกมันถึงได้ทิ้งตัวลงกับพื้นและหอบหายใจหนักหน่วงน่ากลัวชะมัด หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาทันทีที่เย่ซิวเดินออกมาก็เจอผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ที่เดิมเธอเคยตั้งตารอว่าจะได้เห็นเย่ซิวเดินออกมาในสภาพหน้าบวมตัวช้ำ เลือดโชกเต็มตัวดูน่าสมเพชแต่พอเห็นเย่ซิวในตอนนี้ เธอก็ชะงักไปทันที “เป็นไปได้ยังไง ทำไมนายถึงไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว”เย่ซิวเย่ซิวไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ จึงเดินจากไปทันที“ไม่จริงน่า มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด” เธอเบิกตากว้าง หน้าตาเต็มไปด้วยความงงงวยคิดได้ไม่นานเธอก็วิ่งเข้
พอเห็นว่าเย่ซิวกำลังนั่งบำเพ็ญอยู่ เธอก็แค่นเสียงใส่เบา ๆ แต่ก็ไม่ได้เข้ามารบกวน เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้นห้านาทีต่อมาเย่ซิวก็เลิกบำเพ็ญ พลังวิญญาณในร่างยิ่งแน่นและมั่นคงกว่าเดิมอีกระดับหนึ่งพออยู่ข้างนอกแบบนี้ ความเร็วในการฝึกของเขากลับเร็วขึ้นกว่าเดิมถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้แล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาก็เจอใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรสุด ๆ อยู่ตรงหน้า“มีอะไร?” หญิงสาวแค่นเสียงแล้วพูดว่า “อาจารย์ให้ฉันพานายออกไปเก็บสมุนไพรข้างนอกจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ตามฉันมาสิ”เย่ซิวลุกขึ้นพลางพยักหน้าเธอสะบัดผมแล้วหมุนตัวเดินนำหน้าไปทันทีเอวคอดกิ่วที่ส่ายไปมานั่น พอมองจากด้านหลังก็มีเสน่ห์ใช่ย่อยถ้าไม่มองหน้าก็ถือว่าดูมีความเป็นผู้หญิงอยู่พอตัวเย่ซิวเดินตามหลังเธอไปปกติแล้วศิษย์ทั่วไปถ้าจะออกนอกสำนักต้องรายงานก่อนแต่สำหรับศิษย์สายในแบบเย่ซิวนั้นไม่จำเป็น จะออกไปตอนไหนก็ย่อมได้แต่สำหรับเธอคนนี้ยังคงต้องรายงานอยู่พอมาถึงจุดหนึ่ง เธอก็ยื่นเอกสารแล้วได้รับป้ายอนุญาตออกนอกสำนักชั่วคราวมาเย่ซิวก็เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเธอชื่ออะไรจางเสี่
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ
เย่ซิวรู้สึกหมดคำจะพูดทำไมทุกทีที่เขากำลังจะเข้าสู่จุดสำคัญ ผู้หญิงคนนี้ต้องโผล่มาขัดจังหวะตลอดเลยนะเขาไม่อยากเสียเวลาเถียงจึงเลือกกลืนเม็ดยาลงไปตรง ๆจากนั้นก็เริ่มเดินกำลังเดินกำลังภายในเพื่อกลั่นพลังโอสถพลังโอสถอันหนักแน่นและทรงพลังแผ่กระจายออกมาภายในร่างเขาราวกับภูเขาไฟขนาดยักษ์ระเบิดออกในพริบตาสำหรับเย่ซิว ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรากฐานพลังของเขาลึกเกินไปจนต้องใช้โอสถไปถึงห้าเม็ดถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้สำเร็จพลังวิญญาณในร่างกลายเป็นของเหลวหนืดเหนียวสุดขีด วิญญาณก่อกำเนิดก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งพลังบำเพ็ญและความสามารถในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นพร้อมกันสิบเท่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เย่ซิวก็รู้สึกว่าดวงตาตัวเองสว่างวาบต่อให้ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักอีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่คู่มือที่แท้จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีทางสู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างน้อยถ้าคิดจะหนีก็หนีรอดแน่นอนการทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตยังส่งผลเสริมพละกำลังร่างกายของเย่ซิวอีกด้ว
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ
เย่ซิววิ่งพุ่งเข้าไปหาศิษย์คนสุดท้ายเขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนจากคนธรรมดากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในพริบตาอีกฝ่ายใช้ฝีเท้าอันแปลกประหลาดก้าวไปบนเวทีและทิ้งเงาร่างไว้เป็นสาย พลางหลบหลีกการโจมตีของเย่ซิวไปได้อย่างหวุดหวิดปัง! ปัง! ปัง!เสียงของผู้เข้าแข่งขันอีกแปดคนที่ร่วงจากเวทีเพิ่งจะดังขึ้นในตอนนั้นตูม!เสียงที่เหมือนมีฟ้าผ่าลั่นกลางลานประลองทำเอาทุกคนในสนามรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสถึงกับตกตะลึงเดิมทีต่างก็คิดว่าเย่ซิวแค่ทำตัวเด่นและเรียกร้องความสนใจทว่าเมื่อเขาเผยพลังเพียงเล็กน้อยออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เป็นเพราะเขามีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหากทันใดนั้นเอง สายตาของผู้คนที่มองเขาก็เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ“โห ศิษย์พี่เย่ซิวเก่งมากเลย” “แถมในอนาคตยังจะได้เป็นนักปรุงยาอีก หน้าตาก็หล่อเหลาสุด ๆ” “เขาคือคู่ชีวิตในฝันของฉันเลย” “เขาแต่งงานแล้วหรือยังนะ?” “อยากแต่งงานกับเขาจังเลย”……แววตาของหนานกงอู๋ซวงวาววับขึ้นมาส่วนเฉินเยียนจือที่นั่งข้
และผู้อาวุโสสองคนนั้นก็นั่งหลับตาพริ้มราวกับไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อยดูจากท่าทีแล้วน่าจะเป็นคนจากฝ่ายอนุรักษนิยมทุกครั้งที่มีการประลองระหว่างศิษย์ใหม่แบบนี้ สิบอันดับแรกมักจะถูกดึงตัวไปอยู่สายเซียนกระบี่ทุกครั้งพอนานเข้าฝ่ายอนุรักษ์ก็เลยเริ่มจะปลง ๆแต่ละปีจึงส่งแค่ผู้อาวุโสสองคนมาร่วมงานเท่านั้นส่วนที่เหลือจะไปปิดด่านบำเพ็ญตนหรือไม่ก็ออกเดินทางโดยหวังจะไปเจอศิษย์ฝีมือดีสักคนแค่นี้ก็พอมองออกแล้วว่าฝ่ายอนุรักษ์กำลังอยู่ในจุดลำบากแค่ไหนเย่ซิวพลันมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาเพียงแต่ความคิดนี้ยังไม่สมบูรณ์เขาเดินกลับมาที่ด้านหลังรั่วอวิ๋นรั่วอวิ๋นหันไปมองเขาตาขวาง “เจ้าเด็กนี่ ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวจริง ๆ”เย่ซิวยิ้ม ๆ ไม่ได้เถียงอะไรกับเธอท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้รั่วอวิ๋นโมโหเข้าไปใหญ่เหมือนเธอเป็นคนงี่เง่าอยู่ฝ่ายเดียวยังไงยังงั้นการแข่งขันยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆยิ่งเวลาผ่านไป ศิษย์ใหม่หลายคนก็เริ่มเผยความสามารถจนดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้อาวุโสได้ไม่น้อยจากนั้นก็เริ่มผ่านการคัดออกทีละรอบ ๆ จากกว่าห้าร้อยคนจนเที่ยงวันเหลืออยู่เพียงยี่สิบคนอีกไม่นานก็จะไ