ข่าวใหญ่ที่หลานสาวของฮองเฮาได้รับสมรสพระราชทาน อวี้จิ่นย่อมรับรู้จากการพูดคุยของบ่าวไพร่ในจวน มีเรื่องใดบ้างในเมืองหลวงยามที่พวกเขาออกไปนอกจวน เมื่อกลับเข้ามาจะไม่นำมาเล่าสู่กันฟังแต่นั่นไม่เกี่ยวกับอวี้จิ่นเนื่องจากพี่ชายของนางกลับมาถึงยามซวีวานนี้ พร้อมเกวียนวัวที่ขนหีบมามากมายหลายเล่ม พอได้ยินว่าในหีบเหล่านั้นเป็นสมุนไพรชั้นดี อวี้จิ่นดีใจกระโดดกอดพี่ชายจนเขาเกือบรับร่างของนางไว้ไม่ทัน“จิ่นเอ๋อร์ พี่ใหญ่นำสมุนไพรชั้นดีมาให้เจ้ามากมาย ถ้าหากพี่ใหญ่จะรบกวนเจ้าช่วยแบ่งยาที่ปรุงแล้ว มอบเป็นน้ำใจให้กับกองกำลังของตระกูลเราสักนิดจะได้หรือไม่” เจียงหยวนต้องถามความเห็นของน้องสาวเสียก่อน“แน่นอนสิเจ้าค่ะพี่ใหญ่ เรื่องนี้จะไม่ใส่ใจได้อย่างไรเพราะทุกคนล้วนตั้งใจทำงาน อืม เช่นนั้นข้าจะมอบยาบำรุง และยารักษาแผลให้พวกเขาก็แล้วกันนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีใครเจ็บป่วยเป็นไข้ก็ให้คนมาบอกได้ทุกเมื่อ การจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซื่อสัตย์ภักดีกับเรา จำเป็นต้องใช้อำนาจในทางที่ถูกและมีเมตตาไปพร้อมกันเจ้าค่ะ ส่วนพี่ใหญ่สิ่งที่ข้าจะตอบแทนให้ท่านเพิ่มได้ก็คืออาหารแสนอร่อยเจ้าค่ะ” พี่ชายของนางกับกองกำลังของตระกูล ทำเพื
เมื่อแขกทุกคนมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นท่าทางของอวี้จิ่น ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่านางเป็นอันใด หรือเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแน่“เอ่อ คะ คะ คือว่า”“พี่สาวทำไมถึงมีแต่ท่านที่มองเห็นซวนซวนล่ะขอยับ ซวนซวนเรียกท่านปู่ท่านย่าทุกวันแต่ไม่มีใครได้ยินเยย ฮึก ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ย้องไห้ ซวนซวนจะกอดก็ทำไม่ได้ขอยับ ฮือ ๆ” เด็กน้อยในร่างของดวงวิญญาณเอ่ยถามกับอวี้จิ่น ที่จ้องมองตนเองคล้ายกับว่านางสามารถมองเห็นตนเองได้ จึงตัดพ้อเรื่องราวของตนให้นางฟัง“อาเหยียนเกิดสิ่งใดขึ้นกับน้องหรือลูก แล้วทำไมจิ่นเอ๋อร์ถึงเอาแต่มองด้านหน้าของตนเช่นนั้น” เซี่ยฮูหยินเดินมาถึงพร้อมทุกคนก็ถามกับบุตรชาย“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับท่านแม่ แต่จิ่นเอ๋อร์ดูท่าทางจะตกไม่น้อยเลยขอรับ” ฟู่หลงเหยียนยังไม่ได้คำตอบจากอวี้จิ่น จึงไม่อาจตอบคำถามของมารดาได้‘เปิดตำหนักวันแรกก็ส่งงานใหญ่ให้ข้าเชียวนะท่านเทพ ฮึ่ย! ทำไมถึงส่งงานเห็นดวงวิญญาณมาให้ข้าด้วยเล่า’เมื่อหลับตาตั้งสติได้อวี้จิ่นจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงไป และพูดกับความว่างเปล่าต่อหน้าทุกคนในที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากถามถึงชื่อแซ่ของเด็กน้อย นางจึงเงยหน้า
หลังจากออกจากจวนของใต้เท้าเหลียง จนมาถึงร้านน้ำชาตัวแทนชาวบ้านทั้งสามคน ก็เริ่มร่ายยาวเล่าเรื่องที่ตนได้เห็นกับตา ว่าบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่มีความสามารถ ประหนึ่งเทพโอสถ และยังมีอีกร่างเป็นเทพธิดาแห่งการทำนายดวงชะตาที่แม่นยำมากทั้งยาสมุนไพรชั้นเลิศช่วยรักษาคุณชายน้อยเหลียงจื่อซวน และการทำนายว่านางกำนัลขององค์หญิงสามไม่ใช่ผู้ร้าย ยังมีคำชื่นชมอีกมากมายที่เพิ่มเติมเข้าไปเท่าที่จะคิดได้ ตามประสาชาวบ้านที่ชอบเล่าเรื่องที่ตนเองได้พบเจอ นอกจากนี้ข่าวลือยังไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ที่ทรงเป็นห่วงพระนัดดาจากองค์หญิงสามเช่นกัน“ทูลฝ่าบาท ยามนี้ในเมืองหลวงเกิดข่าวลือใหญ่ ว่ากันว่าพระนัดดาเหลียงจื่อซวน ได้หมอเทวดามาช่วยรักษา บัดนี้ได้สติตื่นขึ้นมาจากนิทราแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉีกงกงเป็นผู้รายงานเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้“เจ้าพูดจริงรึฉีกงกง!! หลานชายคนนี้ของเจิ้นตื่นจากนิทราอันยาวนาน และได้รับการรักษาจากหมอเทวดาเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้ทรงหยุดพู่กันที่กำลังจรดลงบนกระดาษ เพื่อฟังเรื่องที่ฉีกงกงนำมารายงาน“จริงพ่ะย่ะค่ะ เป็นคำยืนยันจากคนของเราที่อยู่ในจวน และที่พระนัดดาทรงเป็นเช่นนี้ เพราะมีคนต้องการให้องค์หญิงเสียพระ
จ่างเกาเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นอีกเนื่องจากไม่อาจชักช้าได้ จนกระทั่งถึงจวนตระกูลกวนจึงเดินตรงไปยังห้องหนังสือ ที่เจ้านายของตนมักใช้เวลาอยู่ที่นั่นเพื่อทำงานเสมอ“ก๊อก ๆ ๆ นายท่านขอรับข้าน้อยจ่างเกา”“หืม จ่างเการึรีบเข้ามาและเล่าให้ข้าฟังที ว่ามีความเคลื่อนไหวอันใดเกิดขึ้นบ้าง” ใต้เท้ากวนนั่งทำงานรอก็แทบไม่มีสมาธิในการทำงาน“เรียนนายท่านเป็นไปตามที่พวกท่านคาดการณ์ไว้ เมื่อฉือตานถิงได้ทราบเรื่องของคุณชายน้อยเหลียง นางกับสาวใช้ก็รีบไปที่จวนตระกูลเหลียง ทำทีนำยาบำรุงไปฝากและอยากเข้าเยี่ยมคุณชายน้อย แต่ถูกใต้เท้าเหลียงกับเหลียงรุ่ยหานคิดหาข้ออ้างไว้ได้ หลังจากขอเข้าเยี่ยมไม่สำเร็จนางจึงขอตัวกลับจวน และมีคำสั่งให้สาวใช้คนสนิทไปส่งข่าวกับใต้เท้าเจิง เกี่ยวกับตำหนักทำนายดวงชะตาของคุณหนูเจียง ส่วนตระกูลเหลียงนางจะให้คนของใต้เท้าฉือลงมือเองขอรับ” นี่เป็นครั้งแรกที่จ่างเกาพูดได้ยาวกว่าทุกครั้ง“นี่นางจิตใจอำมหิตถึงกับจะสังหารคนตระกูลเหลียง ไม่พอยังสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพยากรณ์ ให้อีกฝ่ายส่งคนไปสังหารคุณหนูเจียงอีกคน ครั้งนี้สำนักพยากรณ์คงเหลือเพียงชื่อเสียแล้วกระมัง” ใต้เท้ากวนคาดไม่ถึงว่าฉือต
เมื่อดวงตะวันคล้อยต่ำลาลับขอบฟ้า และมีดวงจันทราขึ้นมาแทนที่ ฉวนเวิ่นคนสนิทของใต้เท้าฉือผู้ช่วยกรมขุนนาง ถูกบุตรสาวของเจ้านายเรียกพบเพื่อมอบภารกิจครั้งสุดท้ายในคืนนี้“คารวะคุณหนูรอง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดให้บ่าวรับใช้หรือขอรับ”“ข้ามีภารกิจสำคัญจะให้เจ้าไปจัดการ หากไม่กำจัดพวกมันงานมงคลจะไม่มีวันเกิดขึ้น”“เชิญคุณหนูสั่งการขอรับ”“กลางดึกคืนนี้เจ้านำคน ลอบเข้าไปยังจวนตระกูลเหลียง สังหารพวกมันให้หมดทุกคน ทุกอย่างต้องลงมืออย่างรวดเร็ว และเผาทำลายจวนนั่นอย่าทิ้งหลักฐานไว้เด็ดขาด อีกไม่กี่วันเกี้ยวเจ้าสาวจะมาถึงเมืองหลวงแล้ว”“บ่าวทราบแล้วขอรับ” ฉวนเวิ่นคนสนิทของบิดานาง มีหน้าที่ทำเรื่องสกปรกมากมาย คอยกำจัดคนที่เป็นก้างขวางคออยู่ลับ ๆ“เจ้ากลับไปได้แล้ว”“บ่าวขอตัวขอรับ” เมื่อรับคำสั่งจากฉือตานถิงเขาจึงขอตัวเพื่อไปเตรียมคน สำหรับลงมือกับตระกูลเหลียงในกลางดึกคืนนี้“หึ เหลียงรุ่ยหาน หากครั้งนี้เจ้ายังรอดไปได้อีกครั้งละก็ ข้าขอสาบานจะกี่ภพกี่ชาติจะตามไปแก้แค้น คอยขัดขวางไม่ให้เจ้าสมหวังในความรักเช่นชาตินี้แน่ ฮ่า ๆ ๆ” ฉือตานถิงเลิกมองหาเหตุผลที่ตนถูกปฏิเสธ และมองสิ่งที่ได้รับเป็นความโกรธแค
ณ มุมมืดข้างกำแพงสำนักพยากรณ์ของเจิงจิ้นสือ ฟู่หลงเหยียนพร้อมคนจากสำนักตรวจสอบอีกหลายสิบคน กำลังเฝ้ารออย่างสงบคนอื่นเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าขยับตัว จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าหลายคนวิ่งตรงมาอย่างรีบร้อน และพากันหายเข้าไปในรังอย่างที่ฟู่หลงเหยียนคิดเอาไว้“นายน้อยนั่นพวกมัน!!” เฉินอู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้านายยังไม่ยอมขยับตัว“รอประเดี๋ยว ข้ารู้สึกว่าคล้ายจะมีเสียงฝีเท้าม้าหลายตัว กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่เช่นกันพวกเราอย่างเพิ่งบุ่มบ่าม” เขาไม่ได้นัดแนะกับผู้ใด“ขอรับ”ไม่ถึงหนึ่งจิบชาก็ปรากฏผู้ที่อยู่บนหลังม้า เมื่อเห็นว่าสตรีร่างบางที่ตนเองจดจำได้ดี ขี่ม้าที่เขามอบให้มาพร้อมกับสหายก็ออกไปแสดงตัว เพื่อรอรับร่างบางลงจากหลังม้าด้วยตนเอง“กุบกับ กุบกับ กุบกับ ยู๊ว์!”“จิ่นเอ๋อร์!! เจ้าปลอดภัยดีใช่ไหม? อาหยวนเจ้าพานางมาที่นี่ทำไมมันอันตรายเจ้าก็น่าจะรู้มิใช่รึ” ฟู่หลงเหยียนเป็นห่วงคนน้องและหันไปดูผู้เป็นพี่ชายแทน“ถ้าน้องข้าขอให้เจ้าเป็นคนพามา เจ้ากล้าขัดใจนางหรือไม่เล่าอาเหยียน” เจียงหยวนไม่ตอบแต่ถามกลับ“ข้า..”“หืม..?” อวี้จิ่นจ้องหน้าฟู่หลงเหยียนเพราะอยากรู้เช่นกัน ถ้าเป็นเขาจะไม่ยอม
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ เมื่อใกล้ถึงเวลาต้องเข้าประชุม เจียงหยวนไม่ลืมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในยามค่ำคืนที่ผ่านมาต่อบิดาและมารดา ก่อนจะบอกกับมารดาว่าอวี้จิ่นคงจะตื่นสาย เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้นางกลับมาถึงจวนปลายยามอิ๋นแล้วนั่นเองจางฮูหยินเข้าใจในสิ่งที่บุตรชายบอกกับตน หลังจากยืนส่งสามีและบุตรชายออกจากจวน จึงไม่ลืมกำชับมู่เสียให้ดูแลเรื่องสำรับอาหาร เตือนแม่ครัวว่าสำรับของอวี้จิ่นต้องอุ่นอยู่เสมอด้านใต้เท้าถงก็กลับถึงจวนเกือบถึงยามเหม่าเช่นกัน ภายหลังรับตัวคนร้ายอย่างเจิงจิ้นสือกับไช่จิงซือขังคุกไว้ ตัวของใต้เท้าถงจึงจัดการเรื่องหลักฐาน และการสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมถวายต่อฮ่องเต้ยังท้องพระโรงกับการประชุมในวันนี้ขุนนางทุกตำแหน่งที่เคยขาดถูกแต่งตั้งจากฮ่องเต้ โดยผ่านการพิจารณาคัดกรองจากฟู่กั๋วกง ที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย และยามนี้มีขุนนางบางคนกำลังพยายามอย่างมาก กับการคิดหาข้อแก้ต่างต่อเรื่องที่จะถูกพูดถึง ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรมที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบ“วันนี้นอกจากเจิ้นจะรับฟังปัญหาจากพวกท่านแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องบอกให้พวกท่านได้ทราบ อีกห
เฟยอินที่ได้รับคำสั่งจากอวี้จิ่นจึงรีบวิ่งไปจวนตระกูลฟู่ นางไม่สามารถใช้ม้าได้เนื่องจากมีกฎข้อห้ามที่เข้มงวด แต่ทิศทางของจวนทั้งสองมิได้ห่างไกลกันมากนัก เพราะเป็นพื้นที่ของเหล่าขุนนางใหญ่และจวนพระราชทาน เฟยอินจึงมิได้เสียเวลามากนักกับการวิ่งด้วยความเร็วช่างเป็นความบังเอิญที่ดีสำหรับเฟยอิน เมื่อเห็นพ่อบ้านสั่งการบ่าวไพร่อยู่หน้าเรือนรับแขก“แฮ่ก ๆ ๆ ท่านพ่อบ้านฟู่ แฮ่ก ๆ ไม่ทราบว่ายามนี้นายน้อยอยู่ที่จวนหรือไม่เจ้าคะ” เฟยอินพยายามหายใจเพื่อลดความเหนื่อย และถามพ่อบ้านไปในคราวเดียวกัน“อะ อ้อ นายน้อยอยู่ในห้องหนางสือกับนายท่าน เจ้ามีธุระอะ อะ อ้าว เฮ้ย เฟยอินข้ายังพูดไม่จบจะรีบอันใดนักหนา เฮ้อ” เฟยอินไม่รอให้พ่อบ้านฟู่ถามอันใดอีก เพียงรู้ว่าฟู่หลงเหยียนอยู่ที่ใด ก็ออกตัววิ่งไปทั้งที่ยังหายใจหอบอยู่เช่นนั้น“อ้าว เฟยอินเจ้าวิ่งมาจากที่ใดกัน หรือเกิดเรื่องกันคุณหนูเจียงรึข้าจะ...”“ปึง!! มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับจิ่นเอ๋อร์รึเฟยอิน” “เอ่อ คือว่า..”ทั้งฟู่อวิ๋นและเฟยอินต่างตกใจทั้งคู่เพียงแค่พูดชื่อของอวี้จิ่น ฟู่หลงเหยียนก็พรวดพราดเปิดประตูถามด้วยตนเองเสียอย่างนั้น“เงียบทำไมรีบพูดมาเร็ว
ฟู่หลงเหยียนและเจียงหยวนยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาอยากรู้ว่าสองพี่น้องจะรับมือคนพวกนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดอย่างไร “พวกเจ้าเอาตัวเด็กสองคนนั่นลงมา อย่ามัวชักช้ายืดยาด หากงานไม่สำเร็จละก็ จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องตายแทน” ซานถูลงไปยืนรอยังจุดที่เลือกไว้ สำหรับการขุดหลุมฝังเจียงข่ายเหวินและฟู่เจียฉี“ถุ้ย!! อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาถูกตัวน้องสาวข้า” เจียงข่ายเหวินตะคอกลูกน้องซานถูทันที เมื่อมือหยาบนั้นกำลังจะดึงตัวฟู่เจียฉี ออกไปจากอ้อมกอดของตน“เหวินเกอไม่ต้องกลัวนะ ฉีเอ๋อร์จะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ” ฟู่เจียฉีมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยขี้แย เพราะมีบิดาคอยสอนให้เข้มแข็งมีสติ ถึงจะเป็นเด็กแต่เมื่อมีสติก็สามารถเอาตัวรอดได้“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพี่ดูเจ้าเด็กสองคนนี่สิ ช่างเป็นญาติพี่น้องที่รักกันดีเสียเหลือเกิน” เกาจิ่งหัวเราะกับท่าทางของฟู่เจียฉี“เหอะ ก็คงเห็นตัวอย่างจากบิดมารดากระมัง เร็ว ๆ ๆ พาตัวลงจากรถม้าได้แล้ว ยังต้องขุดหลุมอีกพวกเจ้าอย่าลืมสิ” ซานถูเร่งลูกน้องของตนให้ทำตามคำสั่งขณะที่เกาจิ่งหันไปพูดคุยกับซานถู ฟู่เจียเฟยได้หยิบห่อยาพิษที่บิดาเพิ่งมอบให้ ก่อนจะแบ่งให้เจียงข่ายเหวินอีกสองห่อ เด็กชายมองหน้า
ณ จวนตระกูลเจียงหลังจากอวี้จิ่นออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฟู่ ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียงอย่างจ้าวเจียเฟย ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งในอนาคตเขาขคือผู้สืบทอดตระกูลเจียงต่อจากบิดา ชื่อของหลานชายฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จตา ประทานนามให้ว่า ‘ข่ายเหวิน’ หมายถึง ผู้ชนะและมีความรู้ และชื่อนี้ก็เข้ากับลักษณะนิสัยของเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีนอกจากมารดาจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว เมื่อให้กำเนิดหลานชายย่อมได้รับความโปรดปราน ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเช่นกัน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับองค์ชายองค์หญิงที่มีหลานให้กับฮ่องเต้ องค์ชายองค์หญิงที่รู้จักประมาณตน จะอบรมสั่งสอนบุตรของตนให้รักญาติพี่น้อง แต่สำหรับคนที่จิตใจดำมืดเกินเยียวยา ย่อมสั่งสอนและปลูกฝังความริษยาลงในจิตใจของบุตร ตระกูลเจียงมีทายาทแล้ว ทางด้านตระกูลฟู่จะไม่มีได้อย่างไร หลังจากเจียงข่ายเหวินอายุได้สองหนาว อวี้จิ่นแต่งเข้าจวนฟู่ได้ครึ่งปีก็ตั้งครรค์ และให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฟู่เจียฉี หากจะกล่าวว่าญาติผู้พี่เจียงข่ายเหวินหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย ญาติผู้น้องอย่างฟู่เจียฉีจะน้อยหน้าได้หรือ เด็กหญิงเกิดมาพร้อมกับดวงหน้ารูปหยดน้ำ จมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ริ
หลังจากตระกูลฟู่และตระกูลเจียง ได้แลกหนังสือหมั้นหมายของบุตรชายบุตรสาว ข่าวลือเรื่องทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน ก็แพร่กระจายไปตามร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว คนที่อวยพรให้ทั้งสองสุขสมก็มีอยู่มาก คนที่อิจฉาริษยาก็มีไม่น้อย ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกแต่แล้วอย่างไรในเมื่อฟู่หลงเหยียนมิได้สนใจ พวกนางก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่ลอยไปกับสายลมเท่านั้น เพราะในสายตาของฟู่หลงเหยียน ไม่เคยละไปจากคู่หมั้นที่เริ่มจะเปล่งประกายความงามหลังจากนั้นอีกสามเดือนต่อมา ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ อย่างที่อวี้จิ่นเคยบอกพวกเขาเอาไว้จริง ๆ เจียงหยวนแอบไปพบน้องสาว เพราะเขาอยากรู้ว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงใหญ่ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง เขาจะได้เตรียมรับมือบุตรคนได้ถูก พอได้รู้ว่าตนเองจะได้บุตรชาย การวางแผนเลี้ยงดูจึงถูกคิดขึ้นทันทีตั้งแต่อวี้จิ่นกลายเป็นคู่หมั้นของหัวสำนักตรวจการ หากไม่มีภารกิจลับและออกเดินทางไปต่างเมือง ข้างกายของอวี้จิ่นย่อมมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ นามว่าฟู่หลงเหยียนอยู่กับนางเสมอ จนเหล่าบุรุษที่มั่นใจว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลา ต้องวิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน แค่ฟู่หลงเหยียนจ้องมองพวกเขาก็หายไม่ออกกันแล้วทุก
ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นกลับมาส่งที่จวน ภายหลังที่พลุถูกจุดจนหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยตอนมาร่วมงานเขานั่งรถม้า ยามนี้จำเป็นต้องยืมเจ้าเสี่ยวหงกลับจวนไปก่อน และค่อยนำมันมาคืนอวี้จิ่นทีหลังอวี้จิ่นยืนส่งฟู่หลงเหยียนขี่เจ้าเสี่ยวหง จนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา ถึงได้เดินเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนเดินตามหลังอย่างตงลู่กับเฟยอิน เอ็นดูกับท่าทางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเขินอาย อยากจะหัวเราะแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้แต่พอมาถึงเรือนของตนอวี้จิ่นพบว่า เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ กำลังเดินไปมาชะเง้อมองหาใครอยู่ “หืม นั่นใช่พี่เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ใช่ไหมพี่เฟยอิน”“ใช่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่นางมาทำอะไรที่เรือนของท่าน ยามนี้มิใช่ต้องอยู่รอรับใช้องค์หญิงใหญ่หรอกรึ?”เป่าจูเมื่อเห็นอวี้จิ่นกลับมาที่เรือน จึงสาวเท้าไปหานางดั่งพายุ สร้างความงุนงงจนอดคิดไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอันใดที่เรือนของพี่ชายตนหรือไม่“คุณหนูเจียงในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเป่าจูดูร้อนรนแปลก ๆ“พี่เป่าจูท่านมารอพบข้ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“คือบ่าวมารอพบคุณหนูที่นี่ เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่เ
ซีอ๋องอยู่ร่วมงานเลี้ยงชนะสงครามเท่านั้น อีกสองวันต่อมาจึงออกเดินทางพร้อมหีบยาจำนวนมาก ยังมีเมล็ดพันธุ์ผักที่อวี้จิ่นใจดีมอบให้อีกหนึ่งหีบ ที่สำคัญทรงอยากกลับไปชำระความ กับสตรีชั่วที่ปองร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งตอนนี้นางกำลังตั้งตนเป็นเจ้าของตำหนักอ๋อง จนลืมไปว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องฤกษ์มหามงคลที่มีขึ้น ในอีกสามสัปดาห์ต่อจากนี้ ทำเอาวังหลวงวุ่นวายจนเวียนหัว เพื่อเตรียมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ พระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ให้ออกมาดีที่สุด ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียวส่วนตระกูลเจียงถือว่าโชคดีมาก ที่อวี้จิ่นได้บอกมารดาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างในจวนจึงพร้อมต้อนรับสะใภ้ใหญ่ หลังจบงานเลี้ยงวันถัดมายามปลายยามเฉิน ขบวนสินสอดนับร้อยหีบผูกด้วยผ้าสีแดง พร้อมสามหนังสือหกพิธีการนำไปส่งมอบให้กับฮองเฮา ก็ทยอยออกจากจวนตระกูลเจียงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันทีชาวบ้านสองข้างทางต่างหยุดมอง และเริ่มพูดถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีกครั้ง ตระกูลใดที่รอจัดงานพร้อมแม่ทัพเจียง ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของเรือนหอ อาหารการกินที่ต้องใช้เลี้ยงแขกในงาน เผื่อว่าการแต่งงานในฤก
หลังจากหวาอานส่งจดหมายกลับไปยังเหอหยาง เมื่อแม่ทัพเสียนมู่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย จึงนำกำลังทหารบางส่วนมุ่งหน้าไปยังจวนซีอ๋อง เพื่อรับตัวซื่อจื่อมาดูแลเป็นการชั่วคราว คราแรกพระชายารองไม่ยินยอม แต่พอได้เห็นป้ายผู้แทนของซีอ๋อง ที่อยู่ในมือของแม่ทัพเสียนมู่แล้ว ถึงได้ยอมปล่อยซื่อจื่อให้แม่ทัพเสียนมู่พาตัวกลับจวนส่วนเจ้าของคำสั่งที่พักอาศัยในจวนแม่ทัพใหญ่ ได้เห็นแปลงผักที่หลากหลายก็เกิดความสนใจ ซีอ๋องคิดว่าหากกองทัพหรือราษฎรที่เหอหยาง สามารถปลูกพืชผักได้เช่นจวนแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีเสบียงสำรองมากพอยามฤดูเหมันต์มาเยือน ทุกคนต้องผ่านความอดอยากได้แน่เมื่อซีอ๋องถามกับบ่าวไพร่เรื่องการปลูกผัก คำตอบที่ได้ก็เกี่ยวกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว จนกระทั่งได้มานั่งพูดคุยเรื่องการค้า ซีอ๋องจึงถือโอกาสสอบถามอวี้จิ่นเรื่องผักที่ปลูกด้วยเสียเลย“คุณหนูเจียงเรื่องสัญญาการค้ายาสมุนไพร เปิ่นหวางยินดีทำตามข้อเสนอของเจ้า เพียงแต่ว่ามีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางอยากรู้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยอมทำการค้า กับร้านยาเล็ก ๆ ของหม่อมฉันเพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทรงอยากทราบเรื่องอันใดหรือเพคะ”“เปิ่นหวางอยากถามเกี่ยวกับวิธีปลูกผัก ให้ไ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงบุปผาในวังหลวง ถูกพูดถึงในเช้าวันต่อมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของเลี่ยวหลวนเฉิน สมรู้ร่วมคิดกับโจรหยางเสวียน กดขี่ข่มเหงขูดรีดเงินภาษีจากชาวเมืองซุยโจว เมื่อถึงเวลานำตัวทาสทุกคนออกเดินทาง จึงใช้เวลานานกว่าทุกครั้งเพราะผู้คนสองข้างทาง ต่างเฝ้ารอขว้างปาสิ่งของและด่าทอสาปแช่ง กว่าจะหลุดพ้นจากประตูเมืองหลวง ก็บาดเจ็บกันไปไม่น้อยกับทาสทั้งหลายหลังจากงานเลี้ยงจบลงได้ไม่ดีเท่าใดนัก อีกสามวันต่อมารัชทายาทจ้าวเจาเยี่ยน ก็กลับมาจากการทำภารกิจตามราชโองการ แต่รัชทายาทกลับไปชำระล้างพระวรกายที่ตำหนักบูรพา จากนั้นจึงเสด็จไปเข้าเฝ้ากราบทูลรายงานต่อพระบิดา“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ลุกขึ้นเถิดรัชทายาท เจ้าเพิ่งกลับมาถึงเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้ทรงเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของโอรสก็ทรงทราบแล้ว“พ่ะย่ะค่ะ ลูกเพิ่งกลับมาถึงเมื่อยามซื่อ และต้องการรายงานเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทมิอาจรั้งรอได้นาน เนื่องจากต้องรีบคัดเลือกขุนนางไปรับตำแหน่งเจ้าเมือง“ปัญหาเรื่องน้ำที่เมืองสุยโจวเป็นอย่างไร สาเหตุเกิดจากภัยธรรมชาติหรือฝีมือของมนุษย์กันแน่”“ทูลเสด็จพ่อเป็น
ภายหลังที่ได้หลักฐานและล่วงรู้แผนชั่วแล้ว ฟู่หลงเหยียนมาส่งอวี้จิ่นด้วยวิธีเดิม และไม่ลืมพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงบุปผา ที่ฮองเฮาจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า เขาบอกให้อวี้จิ่นและมารดารออยู่ที่จวน แล้วเขาจะเป็นคนมารับอวี้จิ่นด้วยตนเองพอกลับมาถึงจวนฟู่หลงเหยียนย่อมไปพบบิดา เพื่อบอกเล่าแผนการของเลี่ยวหลวนคุน และยังมีหลักฐานที่สายของตนได้มา“ก๊อก ๆ ๆ ท่านพ่อข้าเองขอรับ”“เข้ามาเถิดอาเหยียน”เมื่ออนุญาตให้บุตรชายเข้ามาในห้องหนังสือได้ ก็มีห่อผ้าวางลงตรงหน้าของฟู่กั๋วกง คำถามจึงเกิดจากสายตาโดยไม่ต้องมีคำพูด“เรียนท่านพ่อ ในห่อผ้านี้เป็นสมุดบัญชีที่ใต้เท้าเลี่ยว แอบนำไปฝังไว้ใต้ดินหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม สายของเราที่อยู่ในจวนสังเกตเห็นท่าทางมีพิรุธ ถึงได้ตามไปเงียบ ๆ จากนั้นก็ขุดมันออกมามอบให้ข้าขอรับ”“หมายความว่าสิบปีที่ผ่านมา ใต้เท้าเลี่ยวติดต่อกับโจรป่าหยางเสวียน และแบ่งปันทรัพย์สินจากการปล้น รวมถึงเงินที่เก็บภาษีจากชาวบ้านด้วยงั้นรึ” ฟู่กั๋วกงไม่คิดมาก่อนว่าใต้เท้าเลี่ยว จะเก็บซ่อนความลับนี้ได้นานถึงสิบปี โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย“คาดว่าจะเป็นเช่นที่ท่านพ่อพูดมาขอรับ ส่วนเรื่อง
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเศรษฐีม่าย เมื่อพยานอย่างม่ายจิ่นเม่ยให้การกับใต้เท้ากวน และลูกน้องทั้งสองของท่านหมอซัง ยอมสารภาพทุกอย่างต่อใต้เท้ากวน เพราะพวกเขาถูกดวงวิญญาณหญิงสาว ตามมาคอยหลอกหลอนจนนอนไม่หลับ ไหนจะความเจ็บปวดจากยาพิษของอวี้จิ่น ทำให้พวกเขาอยากตายเพื่อหลุดพ้นความทรมานเมื่อมีทั้งพยานที่ยังรอดชีวิตและคำสารภาพ จากคนเป็นลูกน้องของซังปินจีทั้งสองคน โทษประหารชีวิตย่อมเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแค่ก่อนจะลงดาบประหารนั้น ใต้เท้ากวนได้ให้ทั้งสามคนได้รู้ซึ้งถึงความทรมาน ของหญิงสาวที่ตกตายด้วยน้ำมือของพวกเขาเสียก่อน ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ทำการแขวนคอนักโทษ พอใกล้จะขาดใจก็หย่อนเชือกให้หายใจต่อ ทำเช่นนั้นอยู่ถึงสามครั้งถึงจะนำตัวไปตัดหัว“เจ้าหมอชั่วจงตกนรกอย่าได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกเลย”“ถ้าพวกเจ้ากลับมาเกิดขอให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เป็นเหยื่อให้สัตว์ใหญ่ไล่ล่ากินเนื้อพวกเจ้า”“สงสารหญิงสาวที่ต้องตายเพราะคนชั่วจริง ๆ ขอให้พวกเจ้าไปสู่สุขคติด้วยเถิด”ในวันประหารชีวิตมีชาวบ้านไม่น้อยมามุงดู หนึ่งในนั้นย่อมเป็นครอบครัวตระกูลม่าย ที่ได้รับความเป็นธรรมและยังมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อนครอบครัวตระกูล