“ผมกลับก่อนดีกว่าคุณสุชาติ ดื่มเยอะแล้ว พรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกเยอะ แค่นี้ก็มึนจะแย่” พอพชรบอกอย่างนั้น สุชาติก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยด้วยรู้คอกันเป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มนั้นคอแข็งยิ่งกว่าอะไร แต่พอเหลือบไปเห็นเลขาฯ เจ้านายถึงได้รู้ความประสงค์ของเจ้านายหนุ่มทันที
“แล้วคุณโอมจะขับรถกลับไหวหรือครับ” สุชาติแสร้งถามเจ้านาย พชรจึงพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ
“เดี๋ยวคุณช่อเขาจะขับกลับให้ ผมคงไม่ไหว เกรงว่าจะพาคุณช่อเขาตกทะเลไปเสียก่อน” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนช้า ๆ ช่อมาลีกับสุชาติจึงลุกตาม
“เอ้า...ทุกคนครับ เดี๋ยวคุณโอมต้องรีบกลับไปพักผ่อนก่อนนะ”
สุชาติเป็นคนหันไปบอกกับพนักงานบนโต๊ะที่กำลังมองมา หลายคนทำหน้าแปลกใจ เพราะตามปกติจะเห็นเจ้านายอยู่ร่วมดื่มด้วยกันจนกว่าร้านจะปิด
“ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่เลี้ยงต้อนรับ แต่ผมคงต้องขอตัวก่อน เพราะเริ่มมึน ๆ แล้ว ยังไงก็เชิญทุกคนตามสบายเลยนะ แล้วพบกันพรุ่งนี้ครับ”
พชรบอกกับทุกคนบนโต๊ะ บรรดาพนักงานจึงลุกขึ้นยืนเพื่อรอส่งผู้เป็นนายตามมารยาท ช่อมาลีหันไปยิ้มให้กับทุกคน ยกมือไหว้ลาผู้อาวุโสกว่า
ช่อมาลียืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจดึงมือเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ทว่าชายหนุ่มกลับกระตุกดึงร่างของเธอจนเสียหลักล้มทับลงไปบนตัวเขาพชรอาศัยความไวจับหญิงสาวพลิกลงไปอยู่ใต้ร่างอย่างรวดเร็วช่อมาลีตกใจเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีโดยที่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว และยิ่งงุนงงหนักขึ้นเมื่อได้ยินคำถามจากเขา“เฟรนซ์คิส อร่อยไหมคุณช่อ”นัยน์ตาวับวามหวามหวานของคนตรงหน้าส่งผลให้หญิงสาวใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบราวกับใช้ลมหายใจเดียวกันนั้นทำเอาหญิงสาวขนลุกวาบขึ้นทั้งตัว“กะ...ก็...ก็อร่อยดีค่ะ หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ” เธอตะกุกตะกักตอบเขาไปพร้อมกับพยายามเอามือผลักอกของเขาให้ออกห่างจากตัว แต่ดูเหมือนจะสูญเปล่าเพราะเขาแทบไม่ขยับเขยื้อน“คุณรู้ไหมว่าทำไมค็อกเทลแก้วนั้นถึงชื่อว่าเฟรนซ์คิส”เสียงทุ้มพูดเบา ๆ ราวกระซิบ ตาคมกริบแต่หยาดเยิ้มของเขามองกวาดไปทั่วใบหน้าจนคนถูกมองรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ราวกับจะจับไข้ ไม่มีเสียงพูดเปล่งออกมาจากคนใต้ร่าง มีเพียงกิริยาส่ายหน้าเร็ว ๆ เท่านั้นที่บอกแทนค
ช่อมาลีตื่นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรนัก สาเหตุก็มาจากเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้ไม่สามารถหยุดคิดได้จนไม่ได้หลับได้นอนเสียที กว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว เธอเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะข้างเตียงเพื่อดูเวลา พอเห็นว่าใกล้แปดโมงเช้าจึงค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างอ้อยอิ่ง บิดขี้เกียจไปมาสามสี่ทีจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวหญิงสาวออกมานั่งเล่นที่เก้าอี้อาบแดดริมสระว่ายน้ำ สมองไพล่คิดไปถึงแต่เรื่องเฟรนซ์คิสจากเขา อดกังวลไม่ได้ว่าหากเจอหน้ากันวันนี้จะทำหน้าอย่างไรดี จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือควรจะทำอย่างไร รู้แต่ว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกไปเสียทุกอย่าง ความรู้สึกหลากหลายที่กลุ้มรุมในตอนนี้กำลังบีบอัดหัวใจจนรู้สึกได้ว่าเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องช่อมาลีนอนทอดสายตาแน่นิ่ง ทัศนียภาพของท้องทะเลยามสายที่สวยงามเบื้องหน้ากลับไม่สามารถดึงดูดให้เธอรู้สึกตื่นเต้นได้“อ้าวคุณช่อ มานั่งอยู่นี่เองหรอกหรือ...โอย...ปวดหัวชะมัดเลย”เสียงพชรทักขึ้นจากด้านหลังจนคนถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย ช่อมาลีหันไปมอง
ช่อมาลีลากกระเป๋าเดินคู่มากับพชรออกมาจากอาคารผู้โดยสาร เห็นชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาใครบางคน จึงนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ยังไม่ได้เปิดโทรศัพท์ เพราะปิดเครื่องไว้ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินภูเก็ต ป่านนี้เพื่อนในวงคงโทร. มานัดหมายเรื่องแผนการเล่นดนตรีคืนนี้แน่นอน พอนึกได้จึงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัวแล้วกดเปิดเครื่อง“คุณช่อกลับพร้อมกันนะ เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน ผมโทร. เรียกให้คนที่บ้านเอารถมารับตั้งแต่อยู่ภูเก็ตแล้ว” พชรหันมาบอกหญิงสาวแล้วมองหาคนที่ตนเรียกให้มารับ“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันกลับเองดีกว่า เกรงใจ” ช่อมาลีอ้อมแอ้มปฏิเสธเขา แต่พชรก็ยังยืนกรานจะไปส่งให้ได้“เกรงใจอะไรกันเล่า เถอะน่า...จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่ อ้าว! โน่นไงมาพอดี” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาหา เมื่อมาถึงเขาก็ยื่นกุญแจรถให้พชร ชายหนุ่มจึงหยิบเอาธนบัตรใบสีเทายื่นส่งให้ไปหนึ่งใบ จากนั้นก็ยืนคุยกันสักพัก ชายคนนั้นหันมายิ้มให้เธอแล้วเดินจากไป“อ้าว...แล้วเขาจะไปไหนล่ะคะ” ช่อมาลีมองตามหลังของคนที่เอากุญแจรถมาส่งให้“ผมให้เงินเขานั่งแท
พชรถามเสียงแผ่วเมื่อหันมาเห็นใบหน้าใส ๆ นั้นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ขอบตาแดง ๆ และน้ำใสคลอหน่วยนั่นกำลังทำให้เขาร้อนรน เขาถามเธอไปหลายประโยค แต่ไม่เห็นตอบกลับมาสักคำจึงหันมามองด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าจะได้เห็นเธอตอนที่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจอย่างนี้“ปละ...เปล่าค่ะ ลมมันพัดฝุ่นทรายเข้าตาเมื่อกี้น่ะ ไม่ได้เป็นอะไร รีบไปกันเถอะค่ะ”ช่อมาลีกะพริบตาเร็ว ๆ ส่งยิ้มให้เขาแล้วออกเดินนำหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวจ้องมองเมื่อครู่ แล้วจึงเดินตามเธอไป จะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่เคยถาม หรือพูดถึงเรื่องครอบครัวของช่อมาลีเลยสักครั้ง เห็นทีคงต้องคุยกันบ้าง สักนิดก็ยังดีเพราะเขาอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้พชรพาช่อมาลีมานั่งที่โต๊ะติดริมหาด พนักงานในร้านนำเมนูมาวางตรงหน้าคนทั้งคู่แล้วก็ยืนรอรับออเดอร์“กินอะไรกันดีคุณช่อ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามคนที่นั่งตรงกันข้าม พลางเปิดเมนูไปด้วย“ปลาหมึกผัดไข่เค็มไหมคะ ดูน่ากินดี แล้วท่านประธานอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”“ปูนิ่มผัดพริกไทยดำนี่ก็น่ากิน กุ้งเผาสักกิโล แล้วก็
“แม่...เป็นยังไงบ้าง แล้วตกลงเรื่องเจ้าเขตมัน...” หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงไปในคอ น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไป เริ่มตีตื้นขึ้นมาเอ่อคลอเต็มสองหน่วยตาอีกครั้ง“ไอ้ก้าวมันวิ่งมาบอกว่าไอ้เขตน่ะ มันโดนเสี่ยหวังยิงตกคลองห้าโน่น” เพื่อนบ้านคนหนึ่งเปิดปากเล่า“แล้วไอ้เขตมันไปทำอะไรให้ ทำไมถึงต้องมายิงมาฆ่ากันอย่างนี้”ช่อมาลีเงยหน้าถามเพื่อนบ้านคนนั้นด้วยน้ำตานองหน้า ประกายตามีความคับแค้นฉายชัดอยู่ในนั้น เสี่ยหวังเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านนี้เป็นอย่างมาก ทั้งยา ทั้งหวย ทั้งบ่อน มีเสี่ยคนนี้เป็นเจ้าของซึ่งเป็นที่รับรู้กัน แต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้“เห็นเขาเล่ากันน่ะ เสี่ยเขาจับได้ว่าไอ้เขตมันเป็นสายให้ตำรวจ”เพื่อนบ้านอีกคนเปิดปากเล่าบ้างเพราะเจ้าบ้านไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกเล่าอะไรได้ ช่อมาลีฟังแล้วก็แทบไม่เชื่อหู“อะไรนะ! ไอ้เขตเนี่ยนะเป็นสายให้ตำรวจ บ้ากันไปใหญ่แล้ว ถ้าบอกว่ามันเป็นคนเสพ หนูยังจะเชื่อมากกว่าเลย” หญิงสาวเถียงออกไปกับข้อหาไร้สาระที่เสี่ยหวังยัดเยียดให้น้องชาย“ป้าก็ไม่รู้หรอกนะ มาลีเอ๊ย...ไอ้ก้าวมันวิ่งมาบอก มันบอกอีกนะว่าเจ้าเขตมั
หลังเสร็จจากมื้อเย็น ทั้งคู่เดินทางนั่งรถกลับเข้าที่พักในเวลาเกือบสองทุ่ม พชรแวะซื้ออาหาร และของกินเล่นบางส่วนไปไว้ในห้องพักด้วย เนื่องจากเกรงว่าช่วงดึกเวลาที่หิวขึ้นมาแล้วจะหาอะไรกินลำบาก“คุณช่อ คุณอยู่คนเดียวไปก่อนนะ เมื่อกี้คุณสุชาติโทร. มาชวนผมออกไปดื่มด้วยกันหน่อยน่ะ คงกลับเข้ามาดึก ๆ ของกินที่ซื้อมาเมื่อตอนเย็นคุณกินได้เลยนะถ้าหิวตอนกลางคืน ไม่ต้องเก็บไว้เผื่อผม”พชรออกมาจากห้องบอกกับคนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ช่อมาลีพยักหน้าให้แล้วก็หันไปสนใจกับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าต่อ พอชายหนุ่มยืนใส่รองเท้าอยู่ที่ประตู หญิงสาวจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ รีบหยิบคีย์การ์ดห้องพักแล้วเดินเอาไปให้เขา“ท่านประธานเอาคีย์การ์ดไปด้วยเลยก็ดีค่ะ เพราะดิฉันคงไม่ออกไปไหนอยู่แล้ว”“อืม...ก็ดีเหมือนกัน ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มรับคีย์การ์ดมาจากหญิงสาวแล้วเดินพ้นประตูออกไป ก่อนจะปิดประตูห้อง เขาก็หันมาสั่งกำชับอีกที“มีปัญหาอะไรโทร. หาผมได้ตลอดเวลานะ ไปละ”พชรยิ้มแล้วดึงประตูปิดให้ ช่อมาลีจึงเดินมานั่งลงบนโซฟายาว แล้วจดจ่อกับรายการเกมโชว์ทางโทรทัศน์ตามเดิม
“คุณช่อ...มาลี” พชรเผลอตัวเรียกชื่อที่ใช้เรียกเธอประจำ แต่หลังจากที่มานั่งอยู่ตรงนี้จึงเพิ่งรู้ว่ามารดาของช่อมาลีก็ใช้ชื่อนี้ จึงตัดสินใจเรียกชื่อเต็มเสียเลย“ผมว่าผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า” พชรยืนขึ้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนตามเขา ชายหนุ่มหันไปไหว้ลามารดาของช่อมาลี และป้าเพื่อนบ้านทั้งสามคน จากนั้นจึงเดินออกมาใส่รองเท้าด้านนอกโดยมีช่อมาลีเดินตามมาส่ง“จริงสิ กระเป๋าเสื้อผ้าคุณยังอยู่ในรถอยู่เลย รอตรงนี้นะ เดี๋ยวผมเอามาให้”“ไม่เป็นไรค่ะคุณโอม เดี๋ยวดิฉันเดินไปเอาเองดีกว่า ตั้งใจจะเดินไปส่งที่รถอยู่แล้วด้วย” ช่อมาลีเผลอตัวเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เธอส่งยิ้มเซียว ๆ ไปให้เขา จากนั้นจึงพากันเดินไปยังรถที่จอดอยู่ พชรเปิดกระโปรงหลังแล้วหยิบกระเป๋าล้อลากของเธอออกมาส่งให้ ช่อมาลีรับมาวางที่พื้นแล้วไหว้ขอบคุณเขา“ขอบคุณนะคะท่านประธานที่อุตส่าห์พามาส่งบ้าน”พชรหันมามองมือที่ประนมอยู่เสมออก นึกอยากรวบมือนั้นมาเกาะกุมไว้แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เอื้อมไปบีบไหล่เธอเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ“ไม่เป็นไรผมยินดี ถ้
เขาพูดจบก็ลองหมุนลูกบิดประตู พอเห็นว่าไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปข้างใน ตาคมกวาดมองไปทั่วห้องก็ไม่พบหญิงสาว ประตูห้องน้ำเปิดอยู่ หมายความว่าเธอไม่ได้อยู่ในนั้นแน่นอน ครั้นพอเห็นว่าบนเตียงมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางไว้จึงค่อยโล่งใจที่หญิงสาวไม่ได้ป่วยไข้อย่างที่เขากังวล“คงออกไปเดินเล่นล่ะมั้ง” ชายหนุ่มปิดประตูให้ตามเดิมแล้วมาหย่อนตัวนั่งบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ หยิบรีโมตขึ้นมากดดูรายการข่าวภาคเช้า แต่สมองกลับไพล่นึกไปถึงแต่เรื่องเมื่อคืนเสียงกุกกักดังอยู่หน้าประตูสักพักก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างระหงของช่อมาลีก้าวเข้ามาในห้องพัก ตาคู่สวยเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา และกำลังมองมาทางนี้พอดี“ไปเดินสูดอากาศมาหรือคุณช่อ” พชรทักขึ้นก่อน ช่อมาลีจึงเดินมานั่งอีกด้านของโซฟา“ลงไปเดินเล่นที่ชายหาดมาน่ะค่ะ อากาศดีมากก็เลยลงไปถ่ายรูปเล่น” ช่อมาลีบอกเขายิ้ม ๆ ไม่กล้าสบตาคมกล้าที่จ้องมองมาไม่เลิก จึงเสไปมองโทรทัศน์ ทำทีเป็นสนใจข่าวที่กำลังนำเสนออยู่“โธ่...ไปคนเดียว ชวนกันสักคำไม่มีเลยนะ” พชรแกล้งทำหน้าง้ำบ่นอุบ ช่อมาลีหัวเราะคิกก่อนจะบอกเขาไป
“ผมไล่คุณออก ผมไม่ให้คุณผ่านโปร คุณช่อมาลี!” พชรยืนจ้องคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสายตากรุ่นโกรธ ช่อมาลีพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดจากแผลที่ถูกแทงบริเวณชายโครงส่วนคนที่ยืนทำหน้าโกรธพอเห็นหญิงสาวหน้าเบ้เพราะเจ็บแผลก็หลุดมาดเข้ม รีบปราดเข้าไปประคองทันที“จะลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก ทำไมชอบหาเรื่องใส่ตัวอย่างนี้นะ” ชายหนุ่มประคองร่างคนป่วยจนนั่งได้ จากนั้นก็กุลีกุจอเอาหมอนมาซ้อนไว้ที่หลังของหญิงสาว แล้วกดปุ่มปรับระดับหัวเตียงให้ยกขึ้น“ดิฉันขอทราบเหตุผลที่ท่านประธานจะไล่ดิฉันออกด้วยค่ะ”ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ เธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เธอก็พยายามทำงานให้เขาชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีขาดตกบกพร่องแท้ ๆ แล้วที่ผ่านมาทั้งหมดมันคืออะไร ที่เขาดีกับเธอเพราะเห็นเป็นแค่ลูกน้องอย่างนั้นหรือช่อมาลีมัวแต่คิดน้อยใจคนตรงหน้า จนลืมนึกไปว่าที่ตนต้องมานอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็เพราะเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อฆาตกรในต
“วันนี้คุณต้องตื่นนะคนสวย ถ้าคุณไม่ตื่นผมก็จะนั่งเฝ้าคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะตื่นนั่นแหละ”พชรพูดกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงอีกด้านมานั่งอยู่ข้างเตียง เขาถือวิสาสะเลิกเสื้อของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยพอให้มองเห็นบริเวณที่เป็นแผล สายตาทอประกายเจ็บปวดเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผ้าพชรคว้ามือของช่อมาลีขึ้นมาแตะริมฝีปากของตนเองลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ประสานนิ้วมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกัน มีเพียงแรงกระเพื่อมจากอกเท่านั้นที่บอกเขาว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับ จนกระทั่งร่างกายเริ่มฝืนความอ่อนล้าต่อไปไม่ไหว สุดท้ายใบหน้าเขาก็เอนซบลงไปบนเตียงของหญิงสาวแรงสะกิดที่ไหล่จากเบา ๆ ก็เริ่มจะหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ จนพชรต้องสะดุ้งตื่น เขาไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของผู้กองชินกฤตกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างจงใจ ข้างกันกับนายตำรวจหนุ่มคือช่อฟ้า มารดาของช่อมาลีที่มองมาทางเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน จนกระทั่งพชรก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ถึงเพิ่งรู
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เนื่องจากว่าคนไข้เสียเลือดไปมาก ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งให้เลือดไป ตอนนี้คงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพราะต้องคอยดูอาการเป็นระยะ ๆ และยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ”แพทย์ผู้ทำการรักษากล่าวจบก็เดินจากไป คนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะเขตไทที่พอฟังจบก็เดินเข้ามาหาพชรแล้วยกมือไหว้อย่างขอบคุณ“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่มากที่ตอนนั้นพี่รีบพาพี่มาลีขึ้นรถมาโรงพยาบาล เพราะผมก็มัวแต่...” เขตไทพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบเสียงลงไปเพราะก้อนสะอื้นเริ่มขึ้นมาจุกที่คอ ตอนนั้นเขามัวแต่เล่นงานคนที่แทงพี่สาวจนลืมนึกไปว่าต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล กลับกลายเป็นพชรที่มาถึงก็รีบช้อนตัวพี่สาวเขาอุ้มขึ้นรถมาทันที“ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง ขอแค่ให้ช่อมาลีเขาปลอดภัยก็พอแล้ว”พชรหันไปยิ้มให้พร้อมกับตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้อนหินหนัก ๆ ที่ถ่วงใจเขาก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้ว“ขอบคุณมากครับคุณ...” ผู้กองชินกฤตเอ่ยขอบคุณพชร พลางยื่นมือออกมา พชรจึงยื่นมื
ทันทีที่ส่งตัวช่อมาลีถึงมือแพทย์ พชรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดเรี่ยวแรง ในใจได้แต่ปลอบตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าถึงมือหมอแล้วเธอต้องปลอดภัย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักชายหนุ่มเหลือบมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องที่ช่อมาลีกำลังเข้ารับการรักษา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนขวาแล้วหยดลงพื้นแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจมันเท่าไร พชรจึงเดินไปจับไหล่อีกข้างแล้วบีบเบา ๆ“ชื่อเขตใช่ไหมเรา พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เลือดไหลใหญ่แล้วนะ” พชรมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่มีส่วนละม้ายกับพี่สาวอยู่มากอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เขารู้มาจากช่อมาลีว่ายังตามตัวของเขตไทไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็กลับโผล่มาเสียเอง ใจนึกอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดที่ว่าตัวเขายังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวนี้อยู่ จึงไม่สมควรไปก้าวก่าย“แต่ผมเป็นห่วงพี่มาลี พี่ผมจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมไปทำแผลแล้วเกิดหมอเขาต้องการเลือดด่วนล่ะ” เขตไทบอกกับพชรด้วยสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงพี่สาวจนลืมอาการปวดที่บาดแผลของตนเองไปเสียสิ้น“ถึงมือหมอแล้วยังไงพี่สาวนายก็ต้องปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้
“จะเป็นสายจากโรงพักรึเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รู้สึกใจกระตุกแปลก ๆ กับสายที่โทร. เข้ามาเมื่อครู่ แล้วก็ให้เสียดายที่ไม่ได้กดรับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสายเมื่อครู่น่าจะเป็นเขตไท น้องชายของเธอที่โทร. เข้ามา หรืออาจเป็นสายจากตำรวจที่ทำคดีของน้องชายเธออยู่หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ กะเอาไว้ว่าจะไปเอนหลังนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องล็อกเกอร์สักหน่อย ก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังพอดีจึงหันไปตามเสียงเรียก“ม็อท คุณโอมให้ไปหาที่รถแน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปกินบะหมี่อะไรเนี่ยแหละ เขารออยู่”“อ้าวงั้นหรือ ขอบคุณนะคะ” คราวแรกช่อมาลีนึกระแวงไม่น้อย แต่พออีกฝ่ายพูดถึงบะหมี่ที่เคยพาพชรไปกินด้วยกันแล้วจึงคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกหาอยู่จริง ๆ เพราะเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้หญิงสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้านหลังที่จะออกไปสู่ลานจอดรถสำหรับพนักงาน สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พอไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาจึงค่อยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบก้าวเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงรถยุโรปคันหรูที่จำได้ติดตา แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องสว่างในบริเวณลานจอดรถนั้นช่ว
เสียงสั่นพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มขณะกำลังพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เขาเอาหน้าผากแนบกับเธอแล้วระดมจูบย้ำ ๆ ที่เรียวปากนุ่มหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสาวที่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝันดูเหมือนจะไม่รับรู้ถ้อยคำจากเขาเท่าไร นัยน์ตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มดูล่องลอยกำลังปลุกแรงปรารถนาในกายเขาขึ้นอีกครั้ง“อย่าทำหน้าอย่างนี้ถ้าไม่อยากถูกผมลักพาตัวขึ้นไปข้างบน”เขาพูดไปในขณะที่ปากก็พร่ำจุมพิตไปทั่วหน้า หญิงสาวมองเขาที่เคลื่อนไหววนเวียนอยู่แถว ๆ ใบหน้าและซอกคอไม่ยอมหยุดจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าเขาไว้“คุณโอมก็หยุดสิคะ อย่าแกล้งม็อท เดี๋ยวม็อทต้องขึ้นแสดงแล้ว”ให้ตายเถอะ เสียงของเธอหายไปไหนหมดนี่ เมื่อครู่สาบานได้ว่าเธอพยายามที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมมันถึงได้สั่นพร่าจนฟังเหมือนกระซิบมากกว่าอย่างนี้เล่า“คนที่โดนแกล้งคือผมมากกว่า คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้าเพราะต้องการคุณ รู้บ้างรึเปล่า” เขากดสะโพกเธอให้เข้ามาบดเบียดแก่นกายร้อนผ่าวอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด“เดี๋ยวม็อทต้องไปแล้วค่ะคุณโอม” เธอดันอกกว้างของเขาให้ถอยห่างอย่างมีชั้นเชิง ปลายนิ้ว
ช่อมาลีนั่งมองเพื่อนชายที่ยืนกอดอกจ้องไปทางบูธดีเจตาแทบไม่กะพริบด้วยความสงสัย ครั้นพอหันมองตามสายตาของคริสไป หญิงสาวก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน“ไอ้จิล เราตกข่าวอะไรไปรึเปล่าวะ” เวลาอยู่กับเพื่อน เธอมักจะพูดจาแบบนี้เสมอด้วยความเคยชิน เพราะเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมา“อืม...คริสมันกำลังตกอยู่ในห้วงรัก” จิลตอบเพื่อนยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในบูธดีเจช่อมาลีทำตาโตราวกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติเห็นคริสควงแต่สาวเซ็กซี่ร้อนแรง แล้วนึกอย่างไรถึงได้มาลงเอยกับสาวใส ๆ แบบมิวได้“วู้...ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวได้แต่อุทานเบา ๆ ไม่ใช่ว่าดีเจมิวไม่สวย จากที่เห็นด้วยตา มิวจัดว่าหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเพราะเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ นัยน์ตากลมโต จมูกเล็ก ๆ แก้มป่อง ปากอิ่มสีสดจนเธอนึกอิจฉา รูปร่างก็กะทัดรัดดูน่าทะนุถนอม แต่ที่เธอแปลกใจก็เพราะไม่คิดว่าคริสจะมาแพ้ทางสาวสไตล์นี้เข้าจนได้“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ แ
ขาไปกลับระหว่างที่นี่กับที่คลับเขาก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนในวงของเธอมารับส่งถึงที่อยู่แล้ว เขารู้ดี“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง”ช่อมาลียกมือไหว้ขอบคุณเขาแต่กลับไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อครู่ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เขาก็ดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ตลอดเวลา จะชักออกก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขาโกรธ“อืม...ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวผมกลับแล้ว” ชายหนุ่มยืนเอาหลังพิงตัวรถ มือสอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองอย่าง เพราะกลัวมันจะยืดยาวไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้ช่อมาลีหมุนตัวเดินเข้าไปแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเพื่อเข้าไปด้านใน อะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขายืนพิงรถมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งลิฟต์มาแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไปทันทีเมื่อมาถึงห้อง ช่อมาลีคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟามากอดแน่น รอยยิ้มระบายเต็มวงหน้าทั้งปากทั้งตาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงได้หักห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้สักที แม้ไม่รู้ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะเอ็นดูเธอในฐานะลูกน้อง หรืออะไรก็ตาม เ
“หิวสิถึงได้รีบกลับมานี่ไง นึกว่าคุณยังไม่กินเสียอีกจะได้กินด้วยกัน” พูดพลางเอื้อมมือไปถือจานกับถุงอาหารเสียเอง แต่ไม่ยอมถือแก้วโกโก้เย็นที่เขาสั่งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในห้องทำงานเพื่อให้เลขาฯ สาวเดินตามเข้าไปแต่โดยดี“ดิฉันนึกว่าท่านประธานจะกินมาจากข้างนอกเสียอีก” ช่อมาลีเดินเข้าไปวางแก้วโกโก้บนโต๊ะตรงหน้าเขา“ไม่ล่ะ อยากกินข้าวกับคุณมากกว่า งานยุ่งไหมวันนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่แฝงความนัยในถ้อยประโยค ทำเอาคนฟังรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ หญิงสาวจับกรอบแว่นตาให้เข้าที่ตอนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตาเขา ก่อนจะตอบคำถามไปแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง“ก็...ไม่เท่าไรค่ะ ทำไปเรื่อย ๆ”“งั้นก็ดีเลย มานั่งเป็นเพื่อนผมกินข้าวหน่อยสิ” พชรพูดพลางเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าหญิงสาวย้ายเอาไปไว้อีกมุมโต๊ะเพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่ ช่อมาลีไม่อยากนั่งเพราะไม่อยากให้ตนเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าขัดจึงหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแต่โดยดีหญิงสาวตวัดตามองเขาแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ เพราะกลัวเขารู้ว่าเธอแอบมอง ในขณะที่คนถูกแอบมองกลับเงยหน้าขึ้น