บุญญาพรชี้หน้ามัญชุดากับนฤเบศร์อย่างไม่เกรงใจใคร นฤเบศร์จึงหันไปหาทนายกรณ์แล้วพูดว่า
"แบบนี้ผมฟ้องหมิ่นประมาทได้เลยใช่ไหมครับคุณกรณ์ พยานมีเยอะแยะเลย"
"อยากจะฟ้องก็ฟ้องไปเลย ฉันก็จะฟ้องพวกแกหมือนกันที่ปลอมแปลงพินัยกรรม พวกแก แล้วก็แก รวมหัวกันหลอกเอาทรัพย์สินของคุณแม่และตระกูลไตรยานนท์ไปเป็นของตัวเอง ฉันจะฟ้องพวกแกให้หมดเลยคอยดู!"
บุญญาพรยังคงเต้นเร่าไม่ยอมรับฟัง ทนายกรณ์จึงต้องงัดไม้เด็ดออกมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าพินัยกรรมที่ตนประกาศไปเมื่อครู่นั้นเป็นความจริง เขาหันไปคุยบางอย่างกับผู้ติดตามทั้งสองคน จากนั้นผู้ติดตามคนหนึ่งก็หยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดแล้วหันหน้าจอไปให้ทุกคนได้เห็น ทุกคนยกเว้นครอบครัวของมัลลิกาต่างพากันเบิกตากว้าง เพราะภาพเคลื่อนไหวในจอนั้นคือคลิปวิดีโอของโฉมฉายที่ถ่ายเอาไว้ตอนไปพักอยู่ที่บ้านมัญชุดากับนฤเบศร์
"สวัสดีทุกคน วันนี้วันที่ยี่สิบเดือนพฤษภาคม ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านของแม่ดากับพ่อเบศร์ มาพักผ่อนชั่วคราวเพราะแม่มะลิเขาอยากให้ฉันเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ฉันก็เลยถือโอกาสนี้เรียกคุณกรณ์เขามาทำพินัยกรรมด้วยเสียเลย ฉันอายุก็ปูนนี้แล้ว ไม่รู้จะอยู่
เอกสารปึกหนึ่งถูกโยนมาตรงหน้านันทวรรณ จากนั้นคนโยนก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ นันทวรรณมีสีหน้างุนงงไม่น้อย แต่พอพลิกเปิดเอกสารเหล่านั้นอ่านดูเท่านั้น สีหน้าก็ซีดเผือดลงทันที"นี่...มันคืออะไรหรือคะคุณวิน พี่ไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ" เจ้าตัวยังทำเหมือนไม่รู้เรื่อง"ผมหาสาเหตุได้แล้วครับว่าทำไมสินค้าของเราหลายตัวถึงได้ไปเหมือนกับแบรนด์คู่แข่ง ตอนแรกผมนึกว่าเขาลอกเรา แต่ไป ๆ มา ๆ มันไม่ใช่ครับ กลายเป็นเราลอกเขาต่างหากล่ะ" ภาวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ ผลงานแต่ละตัวพี่กับน้อง ๆ ช่วยกันระดมสมองคิดกันเป็นวัน ๆ ไม่ได้ลอกทางฝั่งนู้นมาแน่นอนค่ะ""งั้นหรือครับ แต่ทุกครั้งที่ทีมคุณระดมสมองกัน คนที่ออกไอเดียแรกสุดก็คือคุณไม่ใช่หรือ และคนที่โน้มน้าวให้คนในทีมเห็นด้วยและคล้อยตามสิ่งที่คุณเสนอก็คือคุณนี่ครับ ผมพูดถูกไหม เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะให้ดูอะไร"ชายหนุ่มหยิบเอกสารบางชุดคืนกลับมา ซึ่งเอกสารเหล่านั้นเป็นภาพสินค้าของเจวาร์ และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นเอกสารเกี่ยวกับการนำเสนอชิ้นงานที่เขาไม่อนุมัติให้ผ่าน จากนั้นก็จับคู่กั
ภาวินยังคงพรมจูบไปทั่วหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ลากริมฝีปากขบเม้มเบา ๆ ไปตามติ่งหูและซอกคอจนเธอรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง แขนขาเหมือนไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหลุดปากครางออกไปตอนไหน กว่าหญิงสาวจะมีแรงยกมือขึ้นมาห้ามเขาไว้ได้ก็เป็นตอนที่รู้สึกได้ถึงมืออุ่นร้อนที่ลากไล้ผ่านผิวเนื้อใต้ร่มผ้าจนเกือบถึงหน้าอก...เตลิดจนได้เรา เกือบจับกดตรงนี้ซะแล้วสิ...มัลลิกาหน้าแดงก่ำ ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความวาบหวามรัญจวนผสมปนเปไปกับความตื่นเต้น เธอจับมือเขาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เขาซุกซนอีก แต่นั่นยิ่งทำให้เธอขัดเขินมากขึ้นเมื่อได้อ่านใจของเขา...หนูเอ๊ย อย่ามองพี่ด้วยสายตาแบบนี้สิ สายตาแบบนี้เขาเรียกเชิญชวนนะรู้รึเปล่า...หญิงสาวรีบหลุบตามองช่วงไหล่ของเขาทันที ไม่กล้าสบตาด้วยเพราะเกรงว่าเขาจะพาเตลิดอีกรอบ แต่จู่ ๆ เขาก็ปัดผมเธอไปไว้ด้านเดียวกันทั้งหมด อีกด้านจึงเปิดเผยผิวเนื้อช่วงลำคอระหงและลาดไหล่อย่างชัดเจน"ถ้าวันหนึ่งพี่ทนไม่ไหวขึ้นมาแล้ว..." เขาหยุดพูดพลางยกมืออีกข้างขึ้นลูบแก้มและริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบาก่อนพูดต่อ"แล้วพี่จับ
ไปรมาวางโน้ตบุ๊กของปรีชญาลงบนโต๊ะเพราะคิดว่าน่าจะเจออะไรในนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการนัดหมายกับแฟน หรือการคุยกับเพื่อนสนิท เธอจะได้รู้ว่าบุตรสาวของตนไปไหน ทว่าพอเปิดฝาจอขึ้นก็เห็นกระดาษโน้ตที่จดตัวเลขไว้เก้าตัว และตนก็คิดว่าน่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์แน่นอนเพราะขึ้นต้นด้วยศูนย์สอง จึงลองกดโทรศัพท์ไปที่เบอร์นั้นทันที รอสายไม่นานนักก็มีคนรับ"สวัสดีค่ะ เอ่อ ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าที่นั่นคือที่ไหนหรือ เพราะดิฉันเห็นเบอร์นี้เขียนวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานของดิฉันน่ะค่ะ"ไปรมาโกหกออกไปเพราะเกรงว่าหากถามว่าที่นั่นคือที่ไหน คนรับสายอาจคิดว่าเป็นโทรศัพท์ก่อกวน"บ้านเจริญรัตนะค่ะ ไม่ทราบต้องการเรียนสายกับใครคะ""เจริญรัตนะหรือคะ...ขอโทษค่ะ ลูกน้องดิฉันคงจดเบอร์มาผิด ขอโทษทีนะคะ" ไปรมากดวางสายแล้วถอนหายใจเพราะตนไม่รู้ว่าเพื่อนของปรีชญามีใครบ้าง สุดท้ายจึงลองเข้าบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์กของบุตรสาว ซึ่งเว็บไซต์แรกที่เข้าก็คือเฟซบุ๊กเพราะเคยเห็นปรีชญาเปิดดูบ่อยที่สุดไปรมาพบว่าโพสต์ล่าสุดที่ปรีชญาเขียนเอาไว้คือเมื่อคืนที่ผ่านมา ในเวลาประมาณห้าทุ่ม เป็นประโยคสั้น ๆ ว่า...ในท
รถญี่ปุ่นสีดำสภาพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้าจอดช้า ๆ ตรงหน้าป้อมรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยชายหนุ่มคนนั้นผมยาวสลวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เขาสวมแว่นสายตากรอบดำกอปรกับการแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาและผูกเนกไทสีดำ ส่งผลให้เขาดูภูมิฐานและสุภาพเรียบร้อยดูไม่มีพิษมีภัย"รบกวนแลกบัตรก่อนนะครับ ไม่ทราบว่าจะเข้าไปบ้านเลขที่เท่าไรครับผม" พนักงานรักษาความปลอดภัยในชุดเสื้อฟ้ากับกางเกงสีกรมท่ายกมือตะเบ๊ะเพื่อทำความเคารพ"บ้านเลขที่หนึ่งทับสองห้าครับ นี่ครับบัตรผม"เขายื่นใบขับขี่ส่งให้ พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นรับไปพร้อมกับส่งกระดาษแข็งเคลือบพลาสติกที่พิมพ์คำว่า VISITOR มาให้แทน"รบกวนเอาวางไว้หน้ารถด้วยนะครับ ขอบคุณครับ!"เขาตะเบ๊ะให้คนในรถอีกครั้งก่อนจะกดปุ่มยกไม้กั้นขึ้น จากนั้นก็ยื่นใบขับขี่ไปจ่อใกล้กับกล้องวงจรปิดเพื่อบันทึกภาพ รวมถึงจดชื่อและข้อมูลจากบัตรลงสมุดบันทึก ก่อนจะนำใบขับขี่ไปเสียบไว้ตรงกล่องอะคริลิกสำหรับเก็บบัตรของผู้มาติดต่อ"ใช่คนที่แป
"เดี๋ยวพี่มะลิไปเก็บให้ค่ะ หนูพราวไม่ต้องไป"เธอตะโกนบอกพราวนภา แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังวิ่งดุ่ม ๆ ลงไปบนถนน พลันนั้นเสียงเร่งเครื่องรถยนต์กับเสียงล้อรถที่เสียดสีกับผิวถนนก็ดังลั่นขึ้นมา ครั้นพอหันไปมองตามเสียง มัลลิกาก็ต้องใจหายวาบ เพราะรถยนต์คันนั้นแล่นตะบึงเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ โดยที่พราวนภายังคงยืนอยู่กลางถนนด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูก"หนูพราว!"วินาทีนั้นหญิงสาวคิดอะไรไม่ออก แต่ร่างกายนั้นขยับพรวดเข้าไปผลักเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่กลางถนนจนร่างเล็ก ๆ นั้นกระเด็นไปฟุบอยู่ริมทางเท้าอีกฝั่งโครม!ผลจากการวิ่งตัดหน้ารถทำให้มัลลิกาถูกชนเข้าอย่างจัง ร่างของหญิงสาวลอยละลิ่วข้ามตัวรถไปตกอยู่บนหน้ารถอีกคันที่จอดอยู่จนกระจกหน้าแตกกระจายท่ามกลางเสียงหวีดร้องระงมของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ส่วนรถคันที่ก่อเหตุนั้นเร่งเครื่องหายไปจากที่เกิดเหตุแล้วเรียบร้อยภาวินวิ่งหน้าตื่นออกมาจากบ้านเพราะได้ยินเสียงคนกรีดร้อง เขาเห็นบุตรสาวนั่งร้องไห้อยู่ริมถนน หัวเข่ามีรอยถลอกจนเลือดซึมออกมาจึงรีบวิ่งไปอุ้มมากอดไว้แนบอกเพื่อปลอบขวัญ เพราะเขาคิดว่าพราวนภาคงเกือบถูกรถชนจ
"จะดูกล้องวงจรปิดก็ได้นะครับ กล้องจับภาพเอาไว้อยู่" พนักงานอีกคนรีบเสนอ ภาวินจังพยักหน้ารับ"ครับ ขอผมดูหน่อย" เขาคิดว่าคนทำเรื่องนี้น่าจะเป็นตติยะ ดูจากการใช้ใบขับขี่ของคนอื่นและปลอมตัวเข้ามาในหมู่บ้าน ยิ่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดเขาก็ยิ่งมั่นใจ แม้จะเคยเจอหน้ากันระยะใกล้แค่ครั้งเดียวตอนอีกฝ่ายมาส่งมัลลิกาหน้าบ้าน แต่เขาก็จำได้ไม่เคยลืม"คนเดียวกันนั่นแหละครับ" เขาเปรยขึ้นเบา ๆ อย่างมั่นใจ แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที จึงเอ่ยต่อไปอีกว่า"ผมไม่ได้โทษพวกคุณนะที่ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้เข้ามา เขาปลอมตัวมาขนาดนั้นแถมยังปลอมเหมือนเจ้าของบัตรอีก เป็นใครก็คงดูไม่ออกถ้าไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน เอาเป็นว่าผมจะไปแจ้งความไว้ที่สน. คุณช่วยเก็บคลิปจากกล้องวงจรปิดไว้ก่อนละกันนะ แล้วถ้าตำรวจเขาถามอะไรก็ตอบเขาไปตามความจริงเลย""ครับ ได้ครับ" ทั้งสองคนรีบรับปากทันที ภาวินจึงเดินมาขึ้นรถแล้วขับไปสถานีตำรวจเป็นเป้าหมายต่อไปนฤเบศร์แทบนั่งไม่ติดที่ เขาเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ มัลลิกาเข้าไป
ความรู้สึกอบอุ่นเบาสบายรอบตัวทำให้มัลลิกาไม่อยากขยับตัวและลืมตาตื่นขึ้นมาตอนนี้ คล้ายกับว่าร่างกายของตนเบาหวิวราวกับกำลังนอนอยู่บนปุยเมฆอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่เธอรู้เต็มอกว่าก้อนเมฆคือกลุ่มไอน้ำที่รวมตัวกัน ไม่มีทางที่ตนจะมานอนอุตุอยู่บนนั้นได้แต่เพราะความอยากรู้ว่าตนกำลังอยู่ที่ไหนเพราะไม่ใช่ห้องนอนแน่ จึงทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิด และภาพแรกที่เห็นคือเพดานสีฟ้า มีแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าส่องเข้ามาจากหน้าต่างกระทบลงบนเพดานนั้นจนทำให้ทั่วทั้งห้องดูอบอุ่นและสว่างไสวมัลลิกาลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบกาย เธอจำที่นี่ได้ ห้องนี้คือห้องนอนที่บ้านเก่านั่นเองหญิงสาวเปิดประตูห้องแล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง เพราะบ้านหลังนี้เป็นทาวน์เฮาส์ขนาดกะทัดรัดจึงทำให้กวาดตามองเพียงผ่าน ๆ ก็เห็นไปทั่วทั้งบ้านแล้ว พลันนั้นมัลลิกาก็ได้ยินเสียงคนกำลังพูดคุยหัวเราะคิกคักกันอยู่ในครัว เป็นเสียงของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่หญิงสาวรู้สึกว่าช่างคุ้นหูเหลือเกิน จึงอดเดินเข้าไปดูไม่ได้"เอ๊ะ...คุณพ่อคุณแม่!"มัลลิกาเปล่งเสียงเรียกพวกท่านอย่างลืมตัว แต่ท่านทั้งส
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื