วันนี้เป็นวันที่มัลลิกาต้องเริ่มฝึกงานวันแรก หญิงสาวแต่งตัวด้วยเดรสลายขวางสีขาวแดงแล้วคลุมทับด้วยคาร์ดิแกนสีขาวกับรองเท้าคัตชูส้นเตี้ย และเพราะแต่งหน้าไม่เป็น เธอจึงทาเพียงครีมกันแดดที่เป็นเมกอัปเบสในตัวแล้วลงแป้งฝุ่นทับ จากนั้นก็ทาลิปกลอสสีแดงอมส้มที่ภคินีมารดาของภาวินให้มาเมื่อวันก่อนเพื่อให้หน้าดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง เสร็จเรียบร้อยก็คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง
"ค่อย ๆ เดินลงมาก็ได้แม่มะลิ เดี๋ยวก็หกล้มหัวร้างค่างแตกจนได้หรอก"
เสียงบ่นของผู้เป็นย่าดังมาตั้งแต่ยังไม่เจอตัว มัลลิกามองหา เมื่อเห็นว่าท่านกำลังเดินเข้ามาในบ้านจึงปรี่เข้าไปกอดอย่างออดอ้อน
"คุณย่าจะกลับแล้วจริง ๆ หรือคะ น่าจะอยู่ต่ออีกสักเดือน"
"มากไปย่ะ ยังไงย่าก็ต้องกลับไปดูบ้านบ้าง ทิ้งมาหลายวันแล้ว เช้านี้จะกินอะไรก่อนไปทำงานล่ะ" โฉมฉายถามหลานสาวคนโปรด แต่เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วว่า
"คงแค่นมกล่องเดียวก็พอค่ะ ไปถึงที่ทำงานค่อยหาอะไรกินแถวนั้น เพราะฝั่งตรงข้ามบริษัทเป็นตลาดค่ะคุณย่า ของกินเพียบ" ผู้เป็นย่าพยักหน้ารับรู้ เป็นเวลาเดียวกับที่นฤเบศร์เดินลงมา
"เอ่อ...ปกติเจ้านายดุแบบนี้เลยหรือคะ" มัลลิกาถามเสียงอ่อย เพราะไม่เคยเห็นภาวินในรูปแบบเกรี้ยวกราดอย่างนี้มาก่อน"ไม่นะน้องมะลิ ก็อย่างที่เรารู้นั่นแหละว่าคุณวินเขาอารมณ์ดีจะตาย ละก็ใจเย็นด้วย แต่วันนี้คงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้ระเบิดลงน่ะ"จูนมองเข้าไปในห้องประชุมซึ่งเป็นห้องกระจกจึงทำให้เห็นว่าบัดนี้เจ้านายสุดหล่อที่สาวน้อยสาวใหญ่ในออฟฟิศพากันละเมอเพ้อพกนั้นมีสีหน้าท่าทางดุดันแค่ไหน"เรื่องอะไรก็ไม่รู้เนอะ เดี๋ยวแกลองถามพี่เขาสิ" อรุณวตีป้องปากพูดกับมัลลิกา คนถูกใช้ให้ถามส่ายหน้าหวือทันทีโดยไม่ต้องคิด"ไม่เอาหรอกฉันยังไม่อยากตาย เอาไว้อารมณ์ดี ๆ แล้วค่อยถาม"มัลลิกาคิดว่าวันนี้หลังเลิกงานแล้วนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ภาวินจะต้องเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้ตนฟังอย่างแน่นอนบรรยากาศในห้องประชุมดูเคร่งเครียด แม้แต่คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ยังรู้สึกได้ ทุกคนต่างนั่งทำงานของตนไปเงียบ ๆ ส่วนเด็กฝึกงานทั้งสามคนนั้นยังไม่มีใครมอบหมายหน้าที่อะไรให้ทำ จึงได้แต่นั่งศึกษาผลิตภัณฑ์ และระบบการทำงานของแต่ละแผนกที่ตนสังกัดอยู่เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่
"น่ารักจังเลย ดูสิ ๆ กระโดดใหญ่เลย เขาจำพี่ปัณได้ด้วย สามตัวนี้เป็นน้องของที่นี่หรือว่าลูกค้าเอามาฝากไว้คะ"มัลลิกาถามอย่างตื่นเต้นพลางย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าแล้วใช้มือเคาะกระจกทักทายสุนัขขนฟูฟ่องทั้งสามตัว"เป็นของคลินิกครับ เจ้าสามตัวเนี่ยเห็นเล็ก ๆ แบบนี้แต่เป็นขาใหญ่ของที่นี่เชียวนะ" ปัณณวัฒน์โน้มตัวลงมาเคาะกระจกทักทายทั้งสามตัวบ้าง"ขาใหญ่ยังไงคะ" ปรีชญามองสุนัขทั้งสามตัวอย่างเอ็นดู"ก็เวลาที่มีน้องเข้ามารักษา หรือมีคนมาฝากไว้เวลาต้องไปทำธุระ เจ้าสามตัวนี้เขาจะแท็กทีมกันมาทักทายน้องใหม่น่ะครับ มาชวนไปเล่น หรือบางทีก็ทำตัวเป็นไกด์แนะนำสถานที่""น่ารักมาก..." อรุณวตีลากเสียงยาว กำลังคิดอยากจะเข้าไปเล่นกับทั้งสามตัวแต่มัลลิกาก็ดับฝันเสียก่อน"รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้างานสาย วันนี้เรามาทำงานวันแรกนะแก ทำตัวเป็นคนดีกันหน่อย"มัลลิกากับอรุณวตีโบกมือลาชายหนุ่มแล้วพากันรีบเดินขึ้นสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามเพราะเหลือเวลาพักอีกแค่สิบนาที ขณะที่ปรีชญาถือโอกาสนี้คุยกับปัณณวัฒน์"พี่ชอบมะลิหรือคะ" หญิงสาวถามออกไปตามตรงแต่ชายหนุ่มไม่ตอบ เอาแต่ยื
"พี่จะพาหนูไปไหนคะ" มัลลิกาถามคนที่ทำหน้าที่ขับรถโดยมีเธอคอยป้อนขนมปังและน้ำดื่มให้ถึงปาก"พี่นัดเจอเพื่อน ๆ ไว้น่ะ เพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาพวกนั้นสักหน่อย"ภาวินตอบไปตามตรงแต่ไม่ได้บอกว่านัดเจอกันที่ไหน ซึ่งหญิงสาวก็คิดว่าเขาคงนัดเจอเพื่อนที่ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟกระมัง"ความจริงหนูกลับบ้านเองก็ได้นะคะไม่เห็นต้องพาหนูมาด้วยเลย อย่างนี้ถ้าวันไหนพี่ต้องออกมาข้างนอกก็ต้องลากหนูออกมาด้วยทุกทีน่ะสิ หนูเกรงใจพวกพี่ ๆ ในออฟฟิศน่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าโดดงานบ่อย กินแรงเพื่อน""เกรงใจพวกพี่ ๆ ที่ออฟฟิศแต่ไม่เกรงใจพี่หรือ" ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนพูดต่อ"ไม่เป็นไรหรอกน่าอย่าคิดมาก การที่หนูออกมากับพี่หรือการที่เราไปกลับด้วยกันทุกวัน พวกนั้นเห็นเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาว่าหรอก"แม้เขาจะพูดมาอย่างนั้นแต่มัลลิกาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เพราะดูเหมือนตนกำลังใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเพียงเพราะสนิทกับเจ้าของบริษัทรถแล่นมาตามทางเรื่อย ๆ โดยทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก หญิงสาวเองก็มองสองข้างทางอย่
ภาวินแนะนำสองสาวให้รู้จักกัน มัลลิกายกมือไหว้อีกฝ่ายและมองด้วยสายตาชื่นชม เพราะหญิงสาวตรงหน้านั้นสวยจัดเสียจนแทบละสายตาไม่ได้"ยังดูเด็กอยู่เลย พี่วินหลอกน้องเขามารึเปล่าคะเนี่ย"อลินดาแซวยิ้ม ๆ พลางเอื้อมมือกดลิฟต์ ครั้นพอลิฟต์มาถึงหญิงสาวก็เข้าไปก่อน ตามด้วยมัลลิกา และภาวินเป็นคนสุดท้าย"เด็กอะไรที่ไหนกัน ไม่เด็กแล้ว หน้าอ่อนเฉย ๆ หรอก แหม...เห็นพี่เป็นพวกโลลิคอนรึไง" ชายหนุ่มแก้ต่างให้ตัวเองเมื่อขึ้นมาถึงห้องชุดของปกเกล้า อลินดาใช้คีย์การ์ดรูดเปิดประตูห้องแล้วให้แขกทั้งสองคนเข้าไปก่อน ภาวินโอบไหล่มัลลิกาพาเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างคุ้นเคย ส่วนอลินดาก็เดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำและของว่างมาให้แขกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมอาบน้ำกลิ่นเดียวกับอลินดาลอยมาปะทะจมูก ภาวินอมยิ้ม ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าปกเกล้าเดินออกมาจากห้องนอนแล้วปกเกล้าก้าวยาว ๆ มานั่งอีกด้านของชุดรับแขกเพราะอยากเห็นหน้า "เด็กของไอ้วิน" ที่ชินดนัยเคยเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือไหว้ เขาจึงรับไหว้แล้วทักกลับไป"อ้าวหนูพราว ทำไมโตเร็วนักล่ะลูก ไม่เจอกันแค่ไม
"เดี๋ยวนะเพื่อน ใจเย็น ๆ ให้พวกกูกลับไปก่อนแล้วมึงค่อยหื่นใส่น้องเขา" ภาวินพูดกลั้วหัวเราะ"แล้วนี่มึงคิดจะลงมือทำอะไรต่อ" ชินดนัยเป็นฝ่ายถาม ภาวินจึงบอกสิ่งที่ตนวางแผนเอาไว้"ก่อนอื่นคงต้องยอมขาดทุนทำแพ็กเกจใหม่ทั้งหมดแต่คงสินค้าข้างในไว้ เปลี่ยนชื่อคอลเลกชั่น และคิดคอนเทนต์ใหม่ จะว่าไปก็เหมือนทำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นั่นแหละเพียงแต่เนื้อในคงเดิม""กูเห็นด้วย" ปกเกล้าชูนิ้วโป้งให้เพื่อน"จัดการเรื่องสินค้าเสร็จก็ค่อยมาหาหลักฐานจัดการนกสองหัว จับได้เมื่อไรกูจะเล่นแม่งให้หนัก" ภาวินวางแผนไว้ในหัวเป็นลำดับขั้นตอนว่าจะเล่นงานคนทรยศองค์กรอย่างไรบ้างขณะเดียวกันมัลลิกาเองก็นั่งคิดในใจว่าตนจะหาทางช่วยเหลือภาวินอย่างไรได้บ้าง เธออ่านใจคนได้ก็จริง แต่การจะเอาผิดใครนั้นต้องมีหลักฐานชัดเจนจึงจะจัดการได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงคิดว่าต้องหาวิธีเข้าใกล้อีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน ซึ่งการตีสนิทกับนันทวรรณนั้นสำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เรื่องปากหวานประจบเอาใจ เธอมั่นใจว่าตัวเองยืนหนึ่งในเรื่องนี้"แล้วถ้าไม่ใช่คนนี้ล่ะ ถ้าเรื่องที่เราสันนิษฐานกันมาผิดพลาดทั้งหมดจะ
เช้าวันต่อมา มัลลิกาไปทำงานพร้อมภาวินด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หญิงสาวต้องโกหกบิดามารดาว่าตนดูซีรีส์สืบสวนสอบสวนเพลินจนนอนดึก พวกท่านจึงไม่ติดใจสงสัยอะไร แต่พออยู่ต่อหน้าภาวิน เขากลับสัมผัสได้ว่าเธอคิดมากเรื่องตติยะจนนอนไม่หลับ"ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ" เขาถามอย่างเป็นห่วง หญิงสาวพยักหน้าแล้วว่า"บอกตามตรงว่าหนูเครียดมากเลยค่ะ หนูคิดว่าตัวเองจำไม่ผิดคันแน่นอน รถที่จงใจขับหาเรื่องพี่เมื่อวานจะต้องเป็นรถของตาลแน่ เพราะวันที่เราไปดูหนังกันแล้วพี่ขับมาจอดหน้าบ้าน หนูจำได้ว่าริมทางเท้าฝั่งตรงข้ามมีรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ ที่หนูจำได้เพราะรถคันนั้นติดฟิล์มดำมืดทั้งคันจนมองไม่เห็นข้างในเลย แต่หนูก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้าน""งั้นก็แสดงว่าผู้ชายคนนั้นคอยตามหนูอยู่ตลอดเหมือนพวกสตอล์กเกอร์"ภาวินหน้าเครียดขึ้นมาทันที เมื่อวานหลังจากที่มีปัญหาบนท้องถนน เขากับมัลลิกาก็หมดอารมณ์ที่จะดูภาพยนตร์จึงขับรถพาเธอไปหาร้านกาแฟบรรยากาศดี ๆ แล้วนั่งคุยกัน หญิงสาวเล่าเรื่องของเพื่อนชายที่ชื่อตติยะให้ฟังอย่างหมดเปลือก รวมถึงข้อสงสัยที่เธอรู้สึกต
"ทำมาแล้วก็ช่างมันครับ ทำใหม่ งานนี้ผมยอมเข้าเนื้อดีกว่าจะให้สินค้าไปเหมือนคู่แข่งอีก แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้สั่งผลิตใหม่ สินค้าเนื้อในพวกอายแชโดว์ ลิปสติกพวกนั้นก็คือของเดิม เราแค่เปลี่ยนแพ็คเกจให้มันใหม่เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เท่าที่ผมรู้ก็คือตัวผลิตภัณฑ์น่ะทำเสร็จแล้ว เหลือแค่ประกอบใส่ตลับหรือแพ็คเกจ ใช่ไหมครับคุณหลิว" ชายหนุ่มหันไปถามผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนติดต่อกับโรงงานผลิตที่อยู่ในประเทศจีน"ใช่ค่ะ และดิฉันก็โทรศัพท์ไประงับการประกอบไว้เรียบร้อยแล้วตามที่คุณวินบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทางนั้นเขาบอกว่าวันนี้จะส่งรูปตัวอย่างแพ็กเกจมาให้เราเลือกว่าจะใช้แบบไหนแทน""ขอบคุณครับคุณหลิว" เขาผงกศีรษะให้ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ กำลังจะเอ่ยปากพูดถึงขั้นตอนต่อไป แต่นันทวรรณก็พูดค้านขึ้นอีกครั้ง"แต่ทางเราจะขาดทุนมากเลยนะคะ แล้วพวกแพ็กเกจกับกล่องต่าง ๆ ที่สั่งมาแล้วจะเอาไปไว้ไหน""ทิ้งครับ ไม่ต้องเก็บไว้ พวกแพ็กเกจเหล่านั้นผมเชื่อว่าเขามีวิธีจัดการของเขา ส่วนพวกลังและกล่องต่าง ๆ ก็ให้โรงพิมพ์เขาเอาไปรีไซเคิลละกัน""นี่คุณนีกับคุณพิทยาทราบเรื่องรึยังคะว่
"อะ...อะไร...อะไรคะ มีอะไร"หญิงสาวถามตะกุกตะกักเพราะตกใจกับความปุบปับที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกริ่มแต่แววตากลับวาววามผิดปกติ"ยายตัวแสบ ร้ายไม่เบานะเรา" เขาบีบจมูกเธอด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเบี่ยงหน้าเข้ามาหอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่ มัลลิกายกมือขึ้นทาบแก้มที่ถูกหอมทันทีพร้อมกับอ้าปากหวอด้วยความคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหอมแก้มตนดื้อ ๆ"ทำหน้าอย่างนี้ระวังจะโดนจูบนะ" เขายื่นหน้ามาราวกับจะทำตามคำพูดแต่หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าหลบ"พี่วินอย่าแกล้งกันสิคะ อะไรเนี่ย จู่ ๆ ก็เรียกมาทำแบบนี้เฉยเลย""ทำแบบไหน""ก็...""แบบนี้ใช่ไหม" พูดจบเขาก็ถอดแว่นตาของเธอออกแล้วตรงเข้าประกบปากเธอทันที มัลลิกาเบิกตากว้างแทบลืมหายใจ สมองว่างเปล่าขาวโพลนนึกอะไรไม่ออก มือที่กำลังดันอกของเขาก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงจนได้แค่วางแปะเอาไว้เท่านั้น แม้กระทั่งตอนที่ชายหนุ่มจับมือเธอให้กอดคอเขาเอาไว้ก็ยังไม่รู้ตัวหญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกสิ่งไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงความอ่อนนุ่มและอุ่นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาหยอกเย้าดุนดันอยู่ในปากเท่านั้นที่ตนรู้สึกได้ จากนั้นก็รั
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื