"เดี๋ยวนะเพื่อน ใจเย็น ๆ ให้พวกกูกลับไปก่อนแล้วมึงค่อยหื่นใส่น้องเขา" ภาวินพูดกลั้วหัวเราะ
"แล้วนี่มึงคิดจะลงมือทำอะไรต่อ" ชินดนัยเป็นฝ่ายถาม ภาวินจึงบอกสิ่งที่ตนวางแผนเอาไว้
"ก่อนอื่นคงต้องยอมขาดทุนทำแพ็กเกจใหม่ทั้งหมดแต่คงสินค้าข้างในไว้ เปลี่ยนชื่อคอลเลกชั่น และคิดคอนเทนต์ใหม่ จะว่าไปก็เหมือนทำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นั่นแหละเพียงแต่เนื้อในคงเดิม"
"กูเห็นด้วย" ปกเกล้าชูนิ้วโป้งให้เพื่อน
"จัดการเรื่องสินค้าเสร็จก็ค่อยมาหาหลักฐานจัดการนกสองหัว จับได้เมื่อไรกูจะเล่นแม่งให้หนัก" ภาวินวางแผนไว้ในหัวเป็นลำดับขั้นตอนว่าจะเล่นงานคนทรยศองค์กรอย่างไรบ้าง
ขณะเดียวกันมัลลิกาเองก็นั่งคิดในใจว่าตนจะหาทางช่วยเหลือภาวินอย่างไรได้บ้าง เธออ่านใจคนได้ก็จริง แต่การจะเอาผิดใครนั้นต้องมีหลักฐานชัดเจนจึงจะจัดการได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงคิดว่าต้องหาวิธีเข้าใกล้อีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน ซึ่งการตีสนิทกับนันทวรรณนั้นสำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เรื่องปากหวานประจบเอาใจ เธอมั่นใจว่าตัวเองยืนหนึ่งในเรื่องนี้
"แล้วถ้าไม่ใช่คนนี้ล่ะ ถ้าเรื่องที่เราสันนิษฐานกันมาผิดพลาดทั้งหมดจะ
เช้าวันต่อมา มัลลิกาไปทำงานพร้อมภาวินด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หญิงสาวต้องโกหกบิดามารดาว่าตนดูซีรีส์สืบสวนสอบสวนเพลินจนนอนดึก พวกท่านจึงไม่ติดใจสงสัยอะไร แต่พออยู่ต่อหน้าภาวิน เขากลับสัมผัสได้ว่าเธอคิดมากเรื่องตติยะจนนอนไม่หลับ"ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ" เขาถามอย่างเป็นห่วง หญิงสาวพยักหน้าแล้วว่า"บอกตามตรงว่าหนูเครียดมากเลยค่ะ หนูคิดว่าตัวเองจำไม่ผิดคันแน่นอน รถที่จงใจขับหาเรื่องพี่เมื่อวานจะต้องเป็นรถของตาลแน่ เพราะวันที่เราไปดูหนังกันแล้วพี่ขับมาจอดหน้าบ้าน หนูจำได้ว่าริมทางเท้าฝั่งตรงข้ามมีรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ ที่หนูจำได้เพราะรถคันนั้นติดฟิล์มดำมืดทั้งคันจนมองไม่เห็นข้างในเลย แต่หนูก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้าน""งั้นก็แสดงว่าผู้ชายคนนั้นคอยตามหนูอยู่ตลอดเหมือนพวกสตอล์กเกอร์"ภาวินหน้าเครียดขึ้นมาทันที เมื่อวานหลังจากที่มีปัญหาบนท้องถนน เขากับมัลลิกาก็หมดอารมณ์ที่จะดูภาพยนตร์จึงขับรถพาเธอไปหาร้านกาแฟบรรยากาศดี ๆ แล้วนั่งคุยกัน หญิงสาวเล่าเรื่องของเพื่อนชายที่ชื่อตติยะให้ฟังอย่างหมดเปลือก รวมถึงข้อสงสัยที่เธอรู้สึกต
"ทำมาแล้วก็ช่างมันครับ ทำใหม่ งานนี้ผมยอมเข้าเนื้อดีกว่าจะให้สินค้าไปเหมือนคู่แข่งอีก แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้สั่งผลิตใหม่ สินค้าเนื้อในพวกอายแชโดว์ ลิปสติกพวกนั้นก็คือของเดิม เราแค่เปลี่ยนแพ็คเกจให้มันใหม่เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เท่าที่ผมรู้ก็คือตัวผลิตภัณฑ์น่ะทำเสร็จแล้ว เหลือแค่ประกอบใส่ตลับหรือแพ็คเกจ ใช่ไหมครับคุณหลิว" ชายหนุ่มหันไปถามผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนติดต่อกับโรงงานผลิตที่อยู่ในประเทศจีน"ใช่ค่ะ และดิฉันก็โทรศัพท์ไประงับการประกอบไว้เรียบร้อยแล้วตามที่คุณวินบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทางนั้นเขาบอกว่าวันนี้จะส่งรูปตัวอย่างแพ็กเกจมาให้เราเลือกว่าจะใช้แบบไหนแทน""ขอบคุณครับคุณหลิว" เขาผงกศีรษะให้ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ กำลังจะเอ่ยปากพูดถึงขั้นตอนต่อไป แต่นันทวรรณก็พูดค้านขึ้นอีกครั้ง"แต่ทางเราจะขาดทุนมากเลยนะคะ แล้วพวกแพ็กเกจกับกล่องต่าง ๆ ที่สั่งมาแล้วจะเอาไปไว้ไหน""ทิ้งครับ ไม่ต้องเก็บไว้ พวกแพ็กเกจเหล่านั้นผมเชื่อว่าเขามีวิธีจัดการของเขา ส่วนพวกลังและกล่องต่าง ๆ ก็ให้โรงพิมพ์เขาเอาไปรีไซเคิลละกัน""นี่คุณนีกับคุณพิทยาทราบเรื่องรึยังคะว่
"อะ...อะไร...อะไรคะ มีอะไร"หญิงสาวถามตะกุกตะกักเพราะตกใจกับความปุบปับที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มยิ้มกริ่มแต่แววตากลับวาววามผิดปกติ"ยายตัวแสบ ร้ายไม่เบานะเรา" เขาบีบจมูกเธอด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเบี่ยงหน้าเข้ามาหอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่ มัลลิกายกมือขึ้นทาบแก้มที่ถูกหอมทันทีพร้อมกับอ้าปากหวอด้วยความคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหอมแก้มตนดื้อ ๆ"ทำหน้าอย่างนี้ระวังจะโดนจูบนะ" เขายื่นหน้ามาราวกับจะทำตามคำพูดแต่หญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าหลบ"พี่วินอย่าแกล้งกันสิคะ อะไรเนี่ย จู่ ๆ ก็เรียกมาทำแบบนี้เฉยเลย""ทำแบบไหน""ก็...""แบบนี้ใช่ไหม" พูดจบเขาก็ถอดแว่นตาของเธอออกแล้วตรงเข้าประกบปากเธอทันที มัลลิกาเบิกตากว้างแทบลืมหายใจ สมองว่างเปล่าขาวโพลนนึกอะไรไม่ออก มือที่กำลังดันอกของเขาก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงจนได้แค่วางแปะเอาไว้เท่านั้น แม้กระทั่งตอนที่ชายหนุ่มจับมือเธอให้กอดคอเขาเอาไว้ก็ยังไม่รู้ตัวหญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกสิ่งไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงความอ่อนนุ่มและอุ่นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาหยอกเย้าดุนดันอยู่ในปากเท่านั้นที่ตนรู้สึกได้ จากนั้นก็รั
ปรีชญากลับถึงบ้านแต่หัววันเพราะตั้งแต่ออกจากบริษัทเอเอ็นเอสมาก็ไม่รู้จะไปไหน แม้บ้านจะหลังใหญ่แต่ในบ้านกลับเงียบเชียบราวกับไม่เคยมีคนอาศัยอยู่ ทว่าหญิงสาวรู้ดีว่าเวลานี้มีคนอยู่ในบ้าน และแน่นอนว่าไม่ใช่มารดาของเธอ เพราะอาทิตย์นี้ท่านไปเที่ยวญี่ปุ่นกับก๊วนเพื่อนสนิท"อ้าว ทำไมกลับแต่วันล่ะ ไหนว่าฝึกงาน"วิศรุตพ่อเลี้ยงของปรีชญาเอ่ยทักขึ้น ร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์นั้นเอนกายเอกเขนกไปกับโซฟาเบดตัวยาวในห้องรับแขกพลางมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาวาววาม"ไม่ไปฝึกแล้ว เบื่อ ขี้เกียจนั่งรถไกล"หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปห้องของตัวเอง แต่คนที่อยู่ข้างล่างกลับเรียกเอาไว้ก่อน"เดี๋ยวสิจะรีบขึ้นไปไหน มาหาอะไรสนุก ๆ ทำกันดีกว่า แม่แกไม่อยู่ทั้งคน""ไว้วันหลังได้ไหมน้าวิศ วันนี้แพตอยากพัก เมื่อคืนแพตก็แทบไม่ได้นอน"หญิงสาวอยากจะกรี๊ดให้ดังลั่นบ้านเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ เมื่อวานมารดาของเธอออกไปสนามบินตั้งแต่หัวค่ำโดยวิศรุตเป็นคนขับรถไปส่ง ครั้นพอส่งมารดาของเธอขึ้นเครื่องไปแล้วเขาก็ขับรถย้อนกลับมาที่บ้าน เล่นงานเ
มัลลิกาสังหรณ์ใจบางอย่าง จับซองดูแล้วรู้สึกว่าด้านในน่าจะเป็นกระดาษแข็งหลายแผ่นซ้อนกัน เธอจึงตัดสินใจขึ้นไปบนห้องของตัวเองแล้วลองแกะออกดู เมื่อเห็นว่าเป็นอะไรหญิงสาวก็อ้าปากค้าง สิ่งที่ถืออยู่ในมือร่วงหล่นกระจัดกระจายบนพื้นห้อง หนึ่งในนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งปนอยู่ด้วย และเหมือนว่าจะมีข้อความบางอย่างเขียนไว้บนนั้นเธอจึงหยิบขึ้นมาอ่าน...I'll be with you forever...ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไปเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นสามครั้งแล้วประตูก็ถูกเปิดออก ภาวินเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์เพราะคิดว่าบิดามารดาเข้ามาหา แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อคนที่เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาคือภาคินน้องชายของตน"อ้าว วันนี้นอนบ้านหรือ" ภาวินมองชุดลำลองสำหรับใส่อยู่บ้านที่น้องชายใส่อยู่ก็พอเดาได้ แต่กระนั้นก็ยังถามเพื่อความแน่ใจ"ครับพี่ อาทิตย์นี้นอนบ้านเพราะจันทร์หน้าจะไปฝึกงานแล้ว" ภาคินเดินไปนั่งเอกเขนกบนโซฟามุมห้องพลางยกเท้าขึ้นพาดไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าภาวินยิ้มอ่อน มองน้องชายมาดเซอร์แล้วก็อดคิดถึงบุตรสาวสุดที่รักไม่ได้ เจ้าตัวเล็กมาค้า
ในห้องนอนสีทึมเพราะอาศัยเพียงแสงไฟจากห้องน้ำ บนพื้นห้องมีข้าวของทิ้งกลาดเกลื่อนราวกับมีใครบางคนรื้อค้นสิ่งของเพื่อหาอะไรบางอย่าง เงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังรื้อตู้เก็บของซึ่งเป็นตู้โชว์ของสะสม ของขวัญที่ได้รับจากผู้อื่น รวมไปถึงรูปถ่ายของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใส่กรอบไว้อย่างดีหลากหลายอิริยาบถ ตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมต้นใส่คอซอง จนกระทั่งเติบโตเป็นนักศึกษาสาวสิ่งของอย่างอื่นชายหนุ่มโยนไปกองรวมกันอย่างไม่ไยดี มีเพียงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวคนนี้เท่านั้นที่เขาจับวางลงกล่องพลาสติกสีทึบใบใหญ่อย่างทะนุถนอม สีหน้าของเขาอมทุกข์ แววตาเศร้าสร้อยราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ เหงื่อกาฬซึมตามไรผมและเสื้อเชิ้ตทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เสียงกลั้นสะอื้นแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากลำคอ แต่สุดท้ายน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างสุดกลั้นตติยะมองรูปถ่ายและของดูต่างหน้าต่าง ๆ ของหญิงสาวคนนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนตัดสินใจปิดฝากล่องแล้วยกไปวางไว้ใกล้ประตู ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะนำไปทิ้งเขาไม่รู้ตัวว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะตื่นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตัวเ
มัลลิกาลงจากรถของภาวินได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ดวงตาแดงก่ำ เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นบิดามารดาและน้องชายนั่งรอในห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว บุพการีทั้งสองมีสีหน้าเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด แต่นฤบดินทร์นั้นไม่แสดงความรู้สึกใด ซึ่งเธอก็พอเข้าใจอยู่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับคุณย่าโฉมฉายเหมือนตน"เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมคุณย่า..." หญิงสาวพูดได้แค่นั้นก้อนสะอื้นก็ขึ้นมาจุกที่ลำคอ"ป้าศรีนวลบอกว่าท่านจากไปอย่างสงบ นอนหลับอยู่ดี ๆ ตื่นมาท่านก็ไปแล้ว" มัญชุดาเป็นคนตอบ"แต่ตอนที่ท่านมาอยู่บ้านเรา ท่านก็ยังดูแข็งแรงดีไม่ใช่หรือคะ"มัลลิกาอดแย้งไม่ได้ ทว่าพอเห็นบุพการีหันมองหน้ากัน เธอก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้แข็งแรงอย่างที่ตนเห็น"คุณย่าน่ะแก่มากแล้วนะมะลิ ท่านมีหลายโรครุมเร้าเพียงแต่ท่านไม่ได้บอกใคร ๆ เท่านั้นเอง มีเพียงป้าศรีนวลที่อยู่ดูแลท่านกับลุงศรเท่านั้นที่รู้ว่าในแต่ละวันคุณย่าต้องกินยาปะทังโรคอะไรบ้าง" มัญชุดาอธิบายให้บุตรสาวฟัง ซึ่งพอมัลลิกาได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าไม่พอใจทันที"สงสารคุณย่าจริง ๆ บ้านหลังใหญ่อยู่กันหลายคนแท้ ๆ แต่คนที่ร
"ฟังจากเสียงแล้วไม่แก่เท่าไรนะ น่าจะอายุพอ ๆ กับพี่หรืออาจมากกว่าหน่อย แต่ที่แน่ ๆ คือพูดไทยไม่ค่อยชัด น่าจะเป็นคนจีนเพราะพี่ไปดูประวัติของแบรนด์เขามา เจ้าของเป็นคนจีนที่ร่วมทุนกับคนไทย"ฟังเขาพูดมาแบบนี้มัลลิกาจึงเดาได้ว่าผู้บริหารฝั่งนั้นก็น่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ในใจรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้มีนัดกับผู้หญิงที่ไหน แม้จะรู้เต็มอกว่าเขาไปเรื่องงาน กระนั้นเธอก็อดหวงเขาไม่ได้ เขาหน้าตาดีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีหญิงสาวกี่คนแล้วที่ทอดสะพานให้เขาอยากเกิดมาสวยบ้างจัง อย่างน้อยเวลาเดินกับเขาจะได้ดูเหมาะสมกันหน่อยภาวินเดินถือกระเป๋าโน้ตบุ๊กเข้าไปในร้านกาแฟชื่อดัง เขากวาดตามองหาคนที่นัดไว้ อีกฝ่ายบอกว่าใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสีขาว ชายหนุ่มจึงเจอได้ไม่ยาก และเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง สิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนที่มีเชื้อสายจีนก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไรนัก เพราะผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะในสุดของร้านเป็นคนหนุ่มน่าจะวัยเดียวกับเขา ผิวขาวจัด รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง และดูท่าทางเจ้าสำอ
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื