"ตอนที่พี่ยังเป็นนักบิน พี่เคยคบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานเดียวกัน ก็แม่หนูพราวนั่นแหละ คบมาได้ปีกว่าจู่ ๆ เขาก็บอกเลิกพี่แล้วก็ลาออกไป พี่เองก็เสียศูนย์อยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจไม่รับรู้ข่าวคราวของเขาจนผ่านมาหลายปี มีอยู่วันหนึ่งพี่ไปหาเพื่อนที่บริษัท หนูจำพี่ชินได้ไหม คนที่มาหาพี่ที่บ้านวันที่หนูมาถ่ายแบบลิปให้พี่น่ะ"
"จำได้ค่ะ ที่มากับแม่ เอ่อ...น้าของหนูพราว" เธอตอบ
"นั่นแหละ พี่ไปหาชินที่บริษัท แล้ววันนั้นคุณจันทร์เขามีความจำเป็นต้องพาหนูพราวไปเลี้ยงที่ทำงานด้วย หนูรู้ไหมว่าหนูพราวแกเป็นคนเดินมาทักพี่ก่อนเลยนะ และคำแรกที่เขาเรียกพี่ก็คือ...คุณพ่อขา"
ภาวินยิ้ม สีหน้าแววตาดูมีความสุขตอนที่นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เขาได้พบหน้าบุตรสาวผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเป็นครั้งแรก เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เขากลับรู้สึกถูกชะตาจนต้องหยุดคุยด้วย และเหนืออื่นใดคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนมีสายใยบาง ๆ มาพันผูกตนเข้าไว้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนั้น
"ตอนแรกพี่แปลกใจมากที่จู่ ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งมาเรียกตัวเองว่าพ่อ พอพี่นั่งลง
ภาวินขับรถมาจอดก่อนถึงประตูรั้วบ้านของมัลลิกาในเวลาประมาณหกโมงเย็น ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวพลางหันไปมองหน้าหญิงสาวที่นั่งข้างตัว...ทำไมวันนี้รถไม่ติดวะ ขัดใจจริง ๆ เลย...มัลลิกาอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงความคิดเขา"ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อออกมาเห็น"...เห็นก็ดีสิ จะได้สมัครตำแหน่งลูกเขยซะเลย...หญิงสาวได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ พลางดึงมือของตัวเองออกจากมืออุ่นร้อนของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย ทั้งยังยกมือเธอขึ้นแล้วทำท่าจะก้มลงมาจูบจนต้องรีบห้ามเขาไว้แล้วฉุดมือตัวเองลงมา"พี่วิน! นี่หน้าบ้านหนูนะ"มัลลิกาหันมองไปรอบตัวอย่างระแวงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า โชคดีที่ไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้ มีเพียงรถเบนซ์ติดฟิล์มดำคันหนึ่งจอดชิดทางเท้าฝั่งตรงข้ามเท่านั้น"สนใจเริ่มงานพรุ่งนี้เลยไหม" เขาถามพลางปล่อยมือของมัลลิกาอย่างอ้อยอิ่ง หญิงสาวส่ายหน้าหวือแล้วว่า"ไม่ดีกว่าค่ะ วันจันทร์หน้านั่นแหละดีแล้ว ช่วงนี้หนูขอนอนขี้เกียจอยู่บ้านดีกว่า"ภาวินได้ยินก็ยิ้มกว้าง "ขี้เกียจมาก ๆ ระวังหลังยา
และก็เป็นดังคาด เพราะทันทีที่เห็นว่าเป็นมัลลิกากับชายหนุ่มคนหนึ่ง นฤเบศร์ก็ก้าวยาว ๆ มาทางหน้าประตูด้วยความเป็นห่วง ครั้นพอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่ตนคุ้นหน้าดีจึงค่อยวางใจ"เธอเองหรือ" นฤเบศร์พยักหน้าให้ตติยะเมื่ออีกฝ่ายยกมือไหว้ทำความเคารพ"ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศก็เลยแวะมาหามะลิน่ะครับ" เขายิ้ม จากนั้นก็หันไปพูดกับมัลลิกาด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน"เราไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน ผมไปก่อนนะครับคุณอา สวัสดีครับ"ประโยคหลังเขาพูดกับพ่อเลี้ยงของหญิงสาว จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถที่จอดไว้แล้วค่อย ๆ ขับออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็วเพราะฟิล์มรถดำมืดจึงทำให้คนภายนอกไม่เห็นสภาพภายในรถ ซึ่งขณะนี้คนที่นั่งหลังพวงมาลัยกำลังหน้าบิดเบี้ยวดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด มือทั้งสองข้างที่จับพวงมาลัยก็เกร็งจนเส้นเลือดปูดโปน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรงราวกับหอบหายใจ"โกหก...นังคนโกหก!""เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีด"นฤเบศร์ถามลูกเลี้ยงด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงมัลลิกายกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองแล้วบอก "คงเพราะ...กลัวมั้งคะ"
หญิงสาวพยายามนึกถ้อยคำที่ได้รับโจทย์มาเพื่อปลุกปลอบเขา แม้จะเจ็บปวดแสนสาหัส แม้จะต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน แต่เมื่อนึกถึงเงินก้อนใหญ่ที่จะได้รับหลังจบงาน "คู่ซ้อม" ตรงนี้ไปก็ถือว่าการเจ็บตัวครั้งนี้คุ้มค่า ทนทรมานแค่สองชั่วโมงแต่ได้เงินมาร่วมแสน ฉะนั้นเธอจึงยอมตติยะจอดรถริมทางเท้าย่านชานเมืองในช่วงกลางดึก เขาปลดล็อกรถเพื่อให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ลงจากรถไป แต่ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถเขาก็พูดขึ้น"ขอบคุณมาก และก็ขอโทษด้วยที่วันนี้หนักมือไปหน่อย""ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นงานของฉันอยู่แล้ว ถ้าวันไหนคุณต้องการใช้บริการอีกก็โทร. มาเรียกได้นะคะ"ชายหนุ่มพยักหน้า รอจนกระทั่งหญิงสาวลงจากรถและปิดประตูให้แล้วจึงขับออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขาขับไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ครั้นพอมองกระจกหลังก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเงาที่สะท้อนออกมานั้นกำลังเหยียดยิ้มมองตนอย่างดูแคลน"เป็นไงไอ้ขี้แพ้!"คนในกระจกส่งเสียงทักทายมา ตติยะจึงรีบจอดรถเข้าข้างทางทันที"มึงสิไอ้ขี้แพ้ กูจะไม่ให้มึงออกมาก่อความเดือดร้อนให้ใครอีกแล้ว" ชายหนุ่มตะคอกกลับไป"โถ ๆ ช่างเ
วันนี้เป็นวันที่มัลลิกาต้องเริ่มฝึกงานวันแรก หญิงสาวแต่งตัวด้วยเดรสลายขวางสีขาวแดงแล้วคลุมทับด้วยคาร์ดิแกนสีขาวกับรองเท้าคัตชูส้นเตี้ย และเพราะแต่งหน้าไม่เป็น เธอจึงทาเพียงครีมกันแดดที่เป็นเมกอัปเบสในตัวแล้วลงแป้งฝุ่นทับ จากนั้นก็ทาลิปกลอสสีแดงอมส้มที่ภคินีมารดาของภาวินให้มาเมื่อวันก่อนเพื่อให้หน้าดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง เสร็จเรียบร้อยก็คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงมาข้างล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง"ค่อย ๆ เดินลงมาก็ได้แม่มะลิ เดี๋ยวก็หกล้มหัวร้างค่างแตกจนได้หรอก"เสียงบ่นของผู้เป็นย่าดังมาตั้งแต่ยังไม่เจอตัว มัลลิกามองหา เมื่อเห็นว่าท่านกำลังเดินเข้ามาในบ้านจึงปรี่เข้าไปกอดอย่างออดอ้อน"คุณย่าจะกลับแล้วจริง ๆ หรือคะ น่าจะอยู่ต่ออีกสักเดือน""มากไปย่ะ ยังไงย่าก็ต้องกลับไปดูบ้านบ้าง ทิ้งมาหลายวันแล้ว เช้านี้จะกินอะไรก่อนไปทำงานล่ะ" โฉมฉายถามหลานสาวคนโปรด แต่เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วว่า"คงแค่นมกล่องเดียวก็พอค่ะ ไปถึงที่ทำงานค่อยหาอะไรกินแถวนั้น เพราะฝั่งตรงข้ามบริษัทเป็นตลาดค่ะคุณย่า ของกินเพียบ" ผู้เป็นย่าพยักหน้ารับรู้ เป็นเวลาเดียวกับที่นฤเบศร์เดินลงมา
"เอ่อ...ปกติเจ้านายดุแบบนี้เลยหรือคะ" มัลลิกาถามเสียงอ่อย เพราะไม่เคยเห็นภาวินในรูปแบบเกรี้ยวกราดอย่างนี้มาก่อน"ไม่นะน้องมะลิ ก็อย่างที่เรารู้นั่นแหละว่าคุณวินเขาอารมณ์ดีจะตาย ละก็ใจเย็นด้วย แต่วันนี้คงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้ระเบิดลงน่ะ"จูนมองเข้าไปในห้องประชุมซึ่งเป็นห้องกระจกจึงทำให้เห็นว่าบัดนี้เจ้านายสุดหล่อที่สาวน้อยสาวใหญ่ในออฟฟิศพากันละเมอเพ้อพกนั้นมีสีหน้าท่าทางดุดันแค่ไหน"เรื่องอะไรก็ไม่รู้เนอะ เดี๋ยวแกลองถามพี่เขาสิ" อรุณวตีป้องปากพูดกับมัลลิกา คนถูกใช้ให้ถามส่ายหน้าหวือทันทีโดยไม่ต้องคิด"ไม่เอาหรอกฉันยังไม่อยากตาย เอาไว้อารมณ์ดี ๆ แล้วค่อยถาม"มัลลิกาคิดว่าวันนี้หลังเลิกงานแล้วนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ภาวินจะต้องเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นให้ตนฟังอย่างแน่นอนบรรยากาศในห้องประชุมดูเคร่งเครียด แม้แต่คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ยังรู้สึกได้ ทุกคนต่างนั่งทำงานของตนไปเงียบ ๆ ส่วนเด็กฝึกงานทั้งสามคนนั้นยังไม่มีใครมอบหมายหน้าที่อะไรให้ทำ จึงได้แต่นั่งศึกษาผลิตภัณฑ์ และระบบการทำงานของแต่ละแผนกที่ตนสังกัดอยู่เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่
"น่ารักจังเลย ดูสิ ๆ กระโดดใหญ่เลย เขาจำพี่ปัณได้ด้วย สามตัวนี้เป็นน้องของที่นี่หรือว่าลูกค้าเอามาฝากไว้คะ"มัลลิกาถามอย่างตื่นเต้นพลางย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าแล้วใช้มือเคาะกระจกทักทายสุนัขขนฟูฟ่องทั้งสามตัว"เป็นของคลินิกครับ เจ้าสามตัวเนี่ยเห็นเล็ก ๆ แบบนี้แต่เป็นขาใหญ่ของที่นี่เชียวนะ" ปัณณวัฒน์โน้มตัวลงมาเคาะกระจกทักทายทั้งสามตัวบ้าง"ขาใหญ่ยังไงคะ" ปรีชญามองสุนัขทั้งสามตัวอย่างเอ็นดู"ก็เวลาที่มีน้องเข้ามารักษา หรือมีคนมาฝากไว้เวลาต้องไปทำธุระ เจ้าสามตัวนี้เขาจะแท็กทีมกันมาทักทายน้องใหม่น่ะครับ มาชวนไปเล่น หรือบางทีก็ทำตัวเป็นไกด์แนะนำสถานที่""น่ารักมาก..." อรุณวตีลากเสียงยาว กำลังคิดอยากจะเข้าไปเล่นกับทั้งสามตัวแต่มัลลิกาก็ดับฝันเสียก่อน"รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้างานสาย วันนี้เรามาทำงานวันแรกนะแก ทำตัวเป็นคนดีกันหน่อย"มัลลิกากับอรุณวตีโบกมือลาชายหนุ่มแล้วพากันรีบเดินขึ้นสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามเพราะเหลือเวลาพักอีกแค่สิบนาที ขณะที่ปรีชญาถือโอกาสนี้คุยกับปัณณวัฒน์"พี่ชอบมะลิหรือคะ" หญิงสาวถามออกไปตามตรงแต่ชายหนุ่มไม่ตอบ เอาแต่ยื
"พี่จะพาหนูไปไหนคะ" มัลลิกาถามคนที่ทำหน้าที่ขับรถโดยมีเธอคอยป้อนขนมปังและน้ำดื่มให้ถึงปาก"พี่นัดเจอเพื่อน ๆ ไว้น่ะ เพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาพวกนั้นสักหน่อย"ภาวินตอบไปตามตรงแต่ไม่ได้บอกว่านัดเจอกันที่ไหน ซึ่งหญิงสาวก็คิดว่าเขาคงนัดเจอเพื่อนที่ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟกระมัง"ความจริงหนูกลับบ้านเองก็ได้นะคะไม่เห็นต้องพาหนูมาด้วยเลย อย่างนี้ถ้าวันไหนพี่ต้องออกมาข้างนอกก็ต้องลากหนูออกมาด้วยทุกทีน่ะสิ หนูเกรงใจพวกพี่ ๆ ในออฟฟิศน่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าโดดงานบ่อย กินแรงเพื่อน""เกรงใจพวกพี่ ๆ ที่ออฟฟิศแต่ไม่เกรงใจพี่หรือ" ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนพูดต่อ"ไม่เป็นไรหรอกน่าอย่าคิดมาก การที่หนูออกมากับพี่หรือการที่เราไปกลับด้วยกันทุกวัน พวกนั้นเห็นเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาว่าหรอก"แม้เขาจะพูดมาอย่างนั้นแต่มัลลิกาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เพราะดูเหมือนตนกำลังใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเพียงเพราะสนิทกับเจ้าของบริษัทรถแล่นมาตามทางเรื่อย ๆ โดยทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก หญิงสาวเองก็มองสองข้างทางอย่
ภาวินแนะนำสองสาวให้รู้จักกัน มัลลิกายกมือไหว้อีกฝ่ายและมองด้วยสายตาชื่นชม เพราะหญิงสาวตรงหน้านั้นสวยจัดเสียจนแทบละสายตาไม่ได้"ยังดูเด็กอยู่เลย พี่วินหลอกน้องเขามารึเปล่าคะเนี่ย"อลินดาแซวยิ้ม ๆ พลางเอื้อมมือกดลิฟต์ ครั้นพอลิฟต์มาถึงหญิงสาวก็เข้าไปก่อน ตามด้วยมัลลิกา และภาวินเป็นคนสุดท้าย"เด็กอะไรที่ไหนกัน ไม่เด็กแล้ว หน้าอ่อนเฉย ๆ หรอก แหม...เห็นพี่เป็นพวกโลลิคอนรึไง" ชายหนุ่มแก้ต่างให้ตัวเองเมื่อขึ้นมาถึงห้องชุดของปกเกล้า อลินดาใช้คีย์การ์ดรูดเปิดประตูห้องแล้วให้แขกทั้งสองคนเข้าไปก่อน ภาวินโอบไหล่มัลลิกาพาเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างคุ้นเคย ส่วนอลินดาก็เดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำและของว่างมาให้แขกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมอาบน้ำกลิ่นเดียวกับอลินดาลอยมาปะทะจมูก ภาวินอมยิ้ม ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าปกเกล้าเดินออกมาจากห้องนอนแล้วปกเกล้าก้าวยาว ๆ มานั่งอีกด้านของชุดรับแขกเพราะอยากเห็นหน้า "เด็กของไอ้วิน" ที่ชินดนัยเคยเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือไหว้ เขาจึงรับไหว้แล้วทักกลับไป"อ้าวหนูพราว ทำไมโตเร็วนักล่ะลูก ไม่เจอกันแค่ไม
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ลามไปทั่วร่างราวกับทุกชิ้นส่วนของร่างกายกำลังถูกจับแยกออกจากกันทำให้คนที่หลับใหลไปหลายวันในห้องผู้ป่วยวิกฤติค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เปลือกตาหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบาก กลิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของโรงพยาบาลทำให้คนที่เพิ่งตื่นจากฝันรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกจากลำคอ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจนไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนบ้าง มัลลิกาพยายามมองไปรอบด้าน แต่เพราะนอนสลบไปหลายวันสายตาจึงยังปรับระยะได้ไม่ดีนัก จนเธอต้องยกมือข้างหนึ่งที่ไม่เจ็บเท่าไรขึ้นมาวางทาบที่เปลือกตาทั้งสองข้างตามความเคยชินทว่าตอนที่เอามือปิดตานั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่บนผิวแก้มข้างซ้ายของตน เธอทั้งเจ็บทั้งตึงบริเวณนี้จึงลองวางมือทาบลงไปบนสิ่งที่ติดอยู่บนแก้มอะไรน่ะ ผ้าปิดแผลหรือ ทำไมใหญ่จัง...มัลลิกาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่ตนพอจะจำได้อยู่เป็นนาน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนนั่งเล่นอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านกับภาวิน นั่งดูพราวนภาตีแบดมินตัน และหลังจากนั้น...จำได้แล้ว! เธอถูกรถชนนั่นเองตอน
นฤเบศร์ขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็ขับต่อไปยังโรงพยาบาลทางจิตเวชที่ตติยะถูกกักตัวไว้เพื่อทำการทดสอบสภาพจิต เมื่อไปถึงเขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าตนขอเข้าเยี่ยม เจ้าหน้าที่จึงพาเขาไปนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ตติยะก็เดินเข้ามาในห้องโดยไร้เครื่องพันธนาการร่างกาย แต่มีเจ้าหน้าที่ชายคอยตามประกบอยู่สองคนนฤเบศร์มองคนที่กำลังยกมือไหว้ตนด้วยสายตาเย็นชา จนกระทั่งตติยะนั่งลงแล้วเขาจึงเอ่ยปากพูด"ดูท่าทางสุขสบายดีนะ""ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำ ผมรักมะลิจะตายใคร ๆ ก็รู้ คุณอาลองไปถามเพื่อนของเธอดูก็ได้ ผมไม่มีทางทำร้ายมะลิแน่นอน ไอ้คนที่ทำ...""มันก็คือมึงนั่นแหละ!"นฤเบศร์ตบโต๊ะเสียงดังอย่างเหลืออดจนตติยะสะดุ้ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้เพราะเกรงว่าเขาจะทำอันตรายผู้ต้องหา นฤเบศร์จึงหันไปบอกกับสองคนนั้น"ผมไม่ทำอะไรมันหรอกไม่ต้องห่วง แม้ว่าผมอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือก็เถอะ" จากนั้นก็หันมาเล่นงานตติยะต่อด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว"มึงมันฉลาดดีนี่ ฆ่าคนมาเท่าไรแล้วล่ะ พอโดนจับได้ก็มาบอกว่าเป็นโรคจิตจำอะไ
"แกไม่ต้องห่วงแม่ดากับหนูมะลิหรอกนะ แม่รับปากว่าจะทำตามที่แกขอเอาไว้ แม่เลี้ยงหนูมะลิมาตั้งหลายปีแม่ก็รักมะลิเหมือนหลานแท้ ๆ นั่นแหละ"มัลลิการ้องไห้ออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจากโฉมฉาย"คุณย่าขา หนูก็รักคุณย่านะคะ"ครั้นพอหญิงสาวร้องไห้ออกมา จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั้งร่างราวกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แขนขาหนักอึ้งกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขมับทั้งสองข้างจากน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงไปรวมกันอยู่ตรงนั้น และที่สำคัญ นอกจากจะเจ็บไปทั่วทั้งตัวแล้วมัลลิกายังรู้สึกว่าบนใบหน้าซีกหนึ่งปวดตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนเมื่อครั้งที่ตนตกจากต้นไม้แล้วหัวเข่าเป็นแผล เพียงแต่ครั้งนี้เจ็บกว่านั้นมากนักพิษจากบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้สติสัมปชัญญะของมัลลิกาค่อย ๆ เลือนไปจนทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง"หลายวันแล้วนะเบศร์ ทำไมยายหนูยังไม่ฟื้นสักที" มัญชุดาได้แต่ยืนมองบุตรสาวที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงคนไข้ ร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำไปทั่วร่าง ขาข้างหนึ่งต้องใส่เฝือก สายน้ำเกลื