“ไหนบอกว่าพร้อมแล้ว จะเอายังไงกันแน่” เหมันต์พยายามอย่างยิ่งที่จะปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนปกติที่สุด ทั้งที่ร่างกายกำลังใกล้จุดพีคอยู่รอมร่อ จุดพีคที่เขาจะไม่สามารถควบคุมความต้องการของร่างกายได้อีกต่อไป“ขวัญขอเวลาอีกสักวันได้มั้ยคะ” เธออ้อมแอ้มถามเขาออกไป ดวงหน้าแดงนวลก่ำ เธอสะดุ้งขยับสะโพกหนีอะไรๆที่มันน่ากลัวของเขาเป็นระยะ แต่มันก็ยังตามมาทิ่มก้นเธออยู่นั่นแหละ...ฮือๆ เหมันต์แอบอมยิ้มในตอนที่หญิงสาวหลับตา แล้วรีบปั้นเป็นใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อดวงตาคู่สวยลืมขึ้นมามองเขา“ไม่! ถ้าไม่ใช่คืนนี้ ก็กลับไปซะ” เพียงขวัญหน้าเสีย สบสายตาคมดุด้วยแววตาหวาดหวั่น“ว่าไง ยอมคืนนี้ หรือกลับบ้าน” คนถูกตะคอกถามอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาเหลือเกิน จอมเผด็จการ เอาแต่ใจ หากแต่ที่ทำได้คือพยักหน้ารับน้อยๆด้วยใบหน้าเศร้าๆ“ยะ...ยอมคืนนี้ก็ได้ค่ะ” พูดจบก็หลับตา รอคอยเพชฌฆาตหน้าหล่อลงทัณฑ์พิศวาสด้วยหัวใจตุ๊มๆต่อมๆ เหมันต์กระตุกยิ้มอย่างพอใจ ชายหนุ่มขยับนั่งตัวตรง มือใหญ่แตะที่แก้มเนียนแผ่วเบา“จูบผมสิ” เสียงสั่นพร่าดังเบาแผ่วออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป เพียงขวัญลืมตามองใบหน้าคมเข้มอย่างกล้าๆกลัวๆ หากแต่พอสบสายตาคมดุ
“นานแล้วนะ ถอดเสร็จหรือยัง ผมรออยู่นะเนี่ย” เพียงขวัญสะบัดค้อนในความมืด เธอเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง แต่กำลังนั่งทำใจอยู่ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่บอกตัวเองในใจว่า ตัดสินใจแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเลือก“เสร็จแล้วค่ะ” เสียงหวานกระแทกกระทั้น“เสร็จแล้วก็ขึ้นมาบนตัวผมสักทีสิ” คนรอคอยเร่งยิกๆ ร่างงามจึงค่อยเคลื่อนกายขึ้นไปนั่งอยู่หน้าท้องแกร่ง หัวใจหญิงสาวกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน รู้สึกเกะกะเหลือเกิน“เอ้า! จูบสิ” เสียงสั่งสั่นพร่าของเหมันต์ทำให้เพียงขวัญสะดุ้ง ขยับกายยุกยิกด้วยความอึดอัด และหวาดหวั่น“ผมรออยู่นะ” นี่ก็ช่างเร่งเสียจริง ให้เวลาเธอทำใจหน่อยก็ไม่ได้“จุ๊บ!” รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด แผ่วเบาดุจปุยนุ่นตกสัมผัสน้ำ คนที่ทำเป็นใจเย็นมานานลืมตาตื่น แล้วพลิกร่างของตนเองคร่อมทับร่างบางไว้ทันที“คุณเหม!” เพียงขวัญดิ้นรน ร้องเรียกชายหนุ่มเสียงหลง“ทำอะไรก็ไม่เป็น ชักช้าจริง เดี๋ยวผมจะสอนเอง”“อื้อ!” ริมฝีปากบางถูกครอบครองทันทีที่จบประโยค เพียงขวัญดิ้นรนเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินเสียงคำรามในลำคอของเหมันต์ ก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม“ถ้าคุณคิดว่าการนอนนิ่งๆคือการไ
“นางนพมาศต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ค่ะ” ใช่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ตอนนี้เธอคิดได้แค่นี้“มันไม่มีเครื่องตรวจเยื่อพรหมจรรย์บนเวทีหรอกน่า”“แต่ถ้าคนอื่นเขารู้ล่ะคะ”“ใครๆก็รู้ว่าคุณเป็นเมียผม คงไม่มีใครคิดว่าคุณเป็นสาวบริสุทธิ์หรอก”“ถึงไม่มีใครเชื่อแต่เราก็ไม่ควรทำให้งานนี้แปดเปื้อนนะคะ อีกอย่างงานนี้เป็นงานบุญด้วย ขวัญก็อยากจะได้บุญแบบเต็มๆ คุณก็จะได้บุญด้วยไงคะ ทำอะไรก็จะได้เจริญรุ่งเรือง”“คนอื่นที่เข้าประกวดก็ไม่รู้จะเป็นสาวพรหมจรรย์หรือเปล่าเหอะ” “คนอื่นก็ช่างเขาสิคะ เรารู้ตัวเราเองว่าบริสุทธิ์ก็เป็นพอ” เมื่อพูดจบเพียงขวัญก็แทบกลั้นหายใจ รอคอยว่าเขาจะตอบกลับมายังไง ในเมื่ออะไรๆของเขายังทิ่มน้องสาวเธออยู่ ถึงแม้จะแค่ภายนอกก็เถอะ มันก็ทำให้เธอไม่วางใจอยู่ดีเหมันต์พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ขบกรามสะกดกั้นอารมณ์อย่างยิ่งยวด แม่ตัวดีเล่นเอาบาปบุญมาอ้าง นักบุญอย่างเขาจึงกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเดินหน้าต่อเต็มกำลัง หรือจะรอคอยวันที่เจ้าหล่อนลงมาจากเวทีประกวดก่อนดี“คุณจะต้องชดใช้ความรู้สึกของผมเพียงขวัญ และผมจะให้คุณชดใช้จนสาสมเลย คอยดูเถอะ...ลงจากเวทีเมื่อไหร่ อย่าหวังว่าจะได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน” ร่า
“ผมถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง” สายดุและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มทำให้หลายคนสะดุ้ง“เกิดจากตัวเชื่อมค้ำยันหลุดไปหนึ่งตัวครับ แต่ฐานเครนยังยึดแน่นอยู่กับจุดรับน้ำหนัก เครนไม่ล้มแน่นอนครับ ตอนนี้ผมได้สั่งให้รีบแก้ไข และเพิ่มตัวเชื่อมค้ำยันอีกสองตัวแล้วครับ” เหมันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ตั้งใจฟังในสิ่งที่นิธิกำลังบอก เขาถอนหายใจหนักหน่วง“หน่วยงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับเราด้วย และเพื่อความมั่นใจของประชาชน เราจะจัดงานแถลงข่าวตอนสองทุ่ม คุณเหมต้องอยู่ด้วยนะครับ” เหมันต์พยักหน้ายอมรับกับการจัดการปัญหาต่างๆของนิธิ ท่าทีแข็งกร้าวจึงค่อยลดลง ผู้เข้าร่วมประชุมก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย“หลังจากผู้เข้าประกวดได้เดินอวดโฉมกันครบทุกคนในรอบแรกไปแล้ว ต่อจากนี้เราจะให้เหล่าสาวงามไปยืนโชว์ที่ด้านหน้าเวทีกันอีกครั้ง ใครเชียร์หรือชอบคนไหนก็ซื้อดอกกุหลาบสีแดงที่ขายอยู่ซุ้มข้างเวทีมาให้ได้เลย ดอกละหนึ่งร้อยบาทนะครับ” สิ้นเสียงของพิธีกร เหล่าผู้เข้าประกวดที่ยืนเรียงแถวกันอยู่บนเวทีก็เริ่มขยับเดินไปยืนเรียงแถวที่ด้านหน้าเวที แต่ละคนก็ได้ดอกกุหลาบกันไปตามสมควร เพียงขวัญเ
“ทีนี้ก็เหลือชุด” เพียงขวัญตะครุบมือที่ยื่นมายุ่มย่ามกับเข็มขัดทองของตนไว้ได้ทัน ก่อนที่เหมันต์จะปลดมันออก ชายหนุ่มส่งสายตาดุให้เธอทันทีที่ถูกขัดใจ“เอ่อ...ขวัญถอดเองได้ค่ะ” คนอยากจัดการชุดสวยที่แสนจะเกะกะตาใจแทบขาดไหวไหล่ ยินยอมทำตาม แล้วถอยหลังไปสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอกจ้องมองร่างงามไม่วางตา“คุณเหมไปอาบน้ำก่อนขวัญก็ได้นี่คะ พอขวัญถอดชุดเสร็จจะได้อาบต่อพอดีเลย”“จะถอดเองหรือให้ผมถอดให้” เขาไม่ฟังสิ่งที่เธอบอกสักนิดใช่มั้ย คนเอาแต่ใจ เมื่อร่างสูงขยับตัวเพียงขวัญก็ถอยหลังหนีไปสองก้าว ละล่ำละลักตอบออกไปด้วยเสียงสั่นน้อยๆ “ถะ...ถอดเองค่ะ”เหมันต์ยืนใจสั่น เครียดเกร็งไปทั้งร่าง ขณะที่จ้องมองชุดสวยค่อยๆหลุดออกจากร่างงามไปกองอยู่ที่เท้า ผิวขาวเนียนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อภายใต้แสงไฟสว่างโร่อย่างเห็นได้ชัด เขาสังเกตเห็นเจ้าของร่างมือไม้สั่น และพยายามก้มหน้ามองพื้นอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดก็เหลือเพียงชั้นในสองชิ้นปกปิดร่างงดงามไว้เท่านั้น“พอหรือยังคะ” คนขี้อายอยากจะมุดกายแทรกพื้นหนีไปเสียตอนนี้ ลำแขนเรียวยกขึ้นกอดตัวเองไว้หวังเพื่อปกปิดบางส่
“เลือกเอาว่าจะออกไปดื่มน้ำก่อน แล้วกลับมาอยู่บนเตียงกับผมแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนถึงเช้า หรือจะไปอยู่บนเตียงกับผมก่อนสักครึ่งชั่วโมง ไม่สิ...น่าจะสักสองสามชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นผมก็จะไม่กวนคุณอีก ตอนนั้นคุณค่อยออกไปดื่มน้ำก็ได้” เพียงขวัญเลิกคิ้วเรียวสูง ปรายตามองนาฬิกาที่ติดอยู่กับผนังห้อง มันบอกเวลาสองนาฬิกากับอีกสามสิบนาที หญิงสาวกำลังสงสัยว่าข้อเสนอทั้งสองของเขามันแตกต่างกันตรงไหนนะ เพราะไม่ว่ายังไงแล้ว บทสรุปของอิสรภาพทางร่างกายของเธอก็จะได้รับอีกครั้งในตอนตะวันขึ้นแน่ๆ“เอ่อ...ขวัญว่า...” เพียงขวัญต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปในลำคอแทบทันทีเมื่อริมฝีปากของเธอถูกครอบครองอย่างเอาแต่ใจด้วยปากของคนตัวโต วงแขนแกร่งกอดรัดเอวคอดแน่นขึ้น มือใหญ่ยกขึ้นประคองท้ายทอยเธอ ตรึงใบหน้างามไว้ไม่ให้หลีกหนีจุมพิตแสนหวามไปได้เหมันต์ละเลียดชิมความหวานจากโพรงปากนุ่มอยู่นาน ล่อหลอกให้คนตัวเล็กหลงใหลไปกับความหวามไหว ก่อนจะบดเบียดดูดดื่มตวัดลิ้นสากอย่างมีชั้นเชิง สำรวจไปทั่วปากบางจิ้มลิ้มทุกซอกมุม กวาดต้อนรุกไล่เอาลิ้นเล็กเข้ามาในโพรงปากร้อน ดูดดึงเกี่ยวกระหวัดรัดรึงราวกับจะเอามาเป็น
เหมันต์กดใบหน้าซุกไซ้ดุดัน จมูกโด่งฝังลงไปบนกลีบดอกไม้บอบบาง ริมฝีปากดูดดึงขบเม้มเกสรรักสีสวย ก่อนจะคายลิ้นร้อนออกมาป่ายปัดจุ่มจ้วงรัวเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาฝังลึกแนบชิดคลุกเคล้าอยู่กลางร่างสาวอย่างหลงใหล ซุกไซ้ดูดดึงจนเกิดเสียงดังที่ทำให้กายแกร่งยิ่งตื่นตัว เพียงขวัญดิ้นพล่าน ส่ายศีรษะเร็ว ครวญครางเสียงหวานครั้งแล้วครั้งเล่า มือทั้งสองดึงทึ้งผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อระบายอารมณ์ซ่านกระสันรุนแรง“คุณเหม อื๊อ!” เหมันต์เหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าสวยซึ่งบิดเบ้เหยเกเพราะฝีมือตนเอง แต่ไม่ยอมละจากความหวานล้ำที่กำลังดื่มกิน ยิ่งสะบัดปลายลิ้นพลิกพลิ้วเร่งเร็วเท่าไหร่ เสียงหวานๆก็เปล่งออกมาให้เขาได้ยินดังขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มละสายตาจากดวงหน้าของหญิงสาว กดฝังใบหน้าลงกับความอุ่นนุ่มชุ่มฉ่ำ เร่งปรนเปรอหญิงสาวเพื่อส่งเธอไปยังปลายทางวิมานแสงดาว“คุณเหม คุณเหม อ๊ะ...อ๊าย!” เพียงขวัญกรีดร้องเสียงหลงออกมาในที่สุด แสงดาวพราวระยับอยู่รอบกาย หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าล่องลอยอยู่บนเวิ้งฟ้าไกล หวามไหวแต่อุ่นซ่านสุขสม คนที่นำพาเธอมาถึงปลายทางอย่างงดงามได้รางวัลเป็นความหวานหอมที่กลั่นอ
เพียงขวัญขยับตัวด้วยความเมื่อยขบไร้สิ้นเรี่ยวแรง ความทรงจำสุดท้ายก่อนจะหลับใหลไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วคือ เสียงกรีดร้องยาวนานของตนเอง กับร่างกายที่เกร็งสะท้านหวามไหวจนแทบขาดใจ แล้วใบหน้านวลก็เห่อร้อนขึ้นมาทันใดเมื่อจำได้ว่า เหมันต์ไม่ได้ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ เขาไม่ได้เอาแต่ใจ ชายหนุ่มอ่อนโยนในตอนแรก ปลอบประโลมเธอจนโอนอ่อน เขารอจนเธอพร้อม แล้วจึงชักนำเธอไปบนเส้นทางสิเน่หา ปรนเปรอด้วยความเร่าร้อน และที่สำคัญเธอร่วมมือไปกับเขา ตอบสนองเขาด้วยความเต็มใจ เพียงขวัญไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความสุขซ่านจากรสรักจะทำให้ตัวเองเผลอไผลและหลงใหลไปได้ขนาดนั้นหญิงสาวสลัดความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาทิ้ง สะบัดส่ายหน้าแรงๆสองสามครั้ง เหลียวมองรอบห้อง เมื่อไม่เห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอไร้สิ้นเรี่ยวแรงและนอนตื่นสาย จึงค่อยยันกายลุกขึ้นช้าๆ โดยไม่ลืมที่จะดึงรั้งผ้าห่มผืนใหญ่ที่ปกปิดร่างกายขึ้นมาไว้แนบอกด้วย ห้องน้ำคือจุดหมายแรก...เธอต้องอาบน้ำชำระล้างร่างกายก่อน แล้วค่อยไปทำอาหารมื้อเช้าให้เหมันต์ ป่านนี้คนชอบดุไม่เตรียมคำพูดไว้มาเชือดเฉือนเธอได้เป็นกระบุงโกยแล้วเหรอกลิ่นอาหารโชยมาเข้าจมูกทันทีที่เ
“พี่แดน!” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวงอน จนเผลอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มบูดบึ้งจนน่าขำ“ดูทำหน้าสิ ไม่น่ารักเลย”“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก พี่แดนอยากมาหัวเราะพี่ข้าวก่อนทำไม” บุรินทร์วางจอบที่แบกไว้บนบ่าลง แล้วกอดอกพิงหลังกับต้นทองกวาว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีหม่น กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าบูธสีดำ โดยมีผ้าขาวม้าคาดเอวไว้ด้วย เพราะเขาถือว่ามันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ต้องคาดติดเอวไว้ตลอดเวลา“พี่ไม่ได้หัวเราะพี่ข้าวสักหน่อย พี่หัวเราะไอ้หน้าแหลมโน่น” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปยังควายเพศผู้ที่และเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล ไอ้หน้าแหลมเป็นควายที่บุรินทร์รับซื้อมาตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าของเดิมเป็นชาวบ้านแถวนี้ขอร้องให้เขารับซื้อมันไว้เพราะเดือดร้อนเงิน ชายหนุ่มจึงรับซื้อไว้ด้วยความสงสาร และเลี้ยงมันมาจนโต“ไอ้หน้าแหลมมันจะทำอะไรให้พี่แดนหัวเราะได้ ในเมื่อมันก้มหน้าก้มตากินหญ้าอยู่อย่างเดียว”“อ้าว! ก็พี่ข้าวมัวแต่เซลฟี่อยู่ไง ก็เลยไม่เห็น ควายอะไรไม่รู้กินหญ้าอยู่ดีๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตัวเดียว เดี๋ยวก็ทำแก้มป่อง เดี๋ยวก็ขยิบ
“แก้วจ๋า” คนไม่อยากนอนเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน“พ่อง่วง เลิกคุยกันเสียที” หนุ่มสาวสะดุ้งจ้องมองตากันในความมืด ทำได้แค่เพียงนอนจับมือกันไว้แค่นั้น เข้าหอคืนแรกก็โดนพ่อตากันท่าซะแล้ว แล้วคืนพรุ่งนี้ และคืนต่อๆไปล่ะ ถ้าพ่อตาเข้ามานอนด้วยทุกคืน เขาจะทำเช่นไร บดินทร์อยากจะกรีดร้อง มันแน่นอกมากปังๆๆ เสียงทุบประตูยามดึกสงัดดังจนคนทั้งสามสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง บดินทร์ลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที“พี่กำนัน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” กำนันเกื้อเหลียวหน้าเหลียวหลัง ก็นึกว่าเมียหลับแล้ว เลยแอบย่องออกมาเป็นไม้กันหมาให้ลูกสาว คนเกรงใจเมียหน้าซีดเผือด“พี่กำนันจะออกมาดีๆ หรือออกมาด้วยน้ำตา” เสียงตวาดแหวถามเข้ามาทำเอากำนันเกื้อสะดุ้งโหยง“พ่อดิน พ่อลูกเขยคนดี พ่อยอดขมองอิ่มของพ่อ ช่วยบอกแม่ติ๋มให้ทีว่าพ่อหลับแล้ว แล้วก็อย่าเปิดประตูนะ” บดินทร์สบสายตาเว้าวอนของพ่อตา ชายหนุ่มมีสีหน้าเห็นใจ“ได้ครับพ่อตา” ร่างสูงเดินไปใกล้ประตูแล้วเอ่ยเสียงดังให้ได้ยินทั้งคนข้างนอกข้างใน“แม่ติ๋มครับ พ่อตาให้บอกว่าพ่อตาหลับแล้วครับ” กำนันเกื้อถึงกับสะดุ้ง มองหน้าลูกเขยด้วยความแค้นใจ
“แดนมาก็ดีเหมือนกัน พี่ขวัญฝากให้อยู่เป็นเพื่อนพี่ข้าวแป๊บหนึ่งนะคะ พี่ขวัญจะพาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถ นี่เริ่มงอแงแล้ว สงสัยจะหิวนม” เด็กหนุ่มยิ้มบาง“ครับ”“พี่ข้าวอยู่กับพี่แดนก่อนนะลูก คุณแม่พาน้องขิงไปเอาขวดนมที่รถแป๊บเดียวนะคะ”“ค่า” เด็กหญิงตอบรับเสียงสดใสเมื่ออยู่ลำพังสองคน บดินทร์ขยับเข้าใกล้ไกวชิงช้าเบาๆ เด็กหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของน้องน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน“พี่แดนค้า ไกวชิงช้าแรงๆหน่อยสิค้า พี่ข้าวอยากไกวแรงๆ”“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวตก” เด็กหญิงเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ“พี่แดนใจร้าย พี่ข้าวอยากไกวชิงช้าแรงๆ ฮึกๆ” เมื่อเห็นน้องน้อยร้องไห้บุรินทร์จึงใจอ่อน“เอาอย่างนี้นะครับ พี่แดนจะนั่งด้วย แล้วให้พี่ข้าวนั่งตัก เราถึงจะไกวชิงช้าแรงๆได้” เด็กหนุ่มแหงนมองเชือก ดูความแข็งแรงของชิงช้าและกิ่งไม้ใหญ่ ประเมินแล้วว่ามันแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักเขาและเด็กหญิงได้แน่นอน หทัยรักยิ้มกว้างทั้งน้ำตา“พร้อมมั้ยครับเจ้าหญิงน้อย” เมื่อคนที่มีฐานะเป็นพี่นั่งก่อนแล้วให้น้องน้อย
“แก้วจ๋า แก้วของพี่สวยเหลือเกิน” ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับความสวยงามที่เขาพร่ำเพ้อ แก้วใจสะท้านไปทั้งร่าง สองมือจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เธอไม่กล้าส่งเสียงน่าอายออกไปทั้งที่หวามไหวซ่านกระสันแทบคลั่ง “แก้วจ๋า หวานหอมที่สุด” บดินทร์ครางแนบชิดเนื้อนาง จูบซ้ำๆ ดูดดึงและซอกซอนรีดเค้นเอาความหวานจากร่างเล็ก แก้วใจเกินจะเก็บกักความวาบหวามไว้ในอกได้ หญิงสาวครวญครางแว่วหวาน กระถดสะโพกหนีความซ่านหวิวที่ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ หากแต่ถูกดึงรั้งตรึงเอาไว้มั่น เธอจึงทำให้แค่เพียงส่ายสะบัดหน้าเร็วๆและกรีดร้องออกมาในที่สุด “อ๊า! พี่ดิน! กรี๊ดดด!” หน้าท้องแบนราบเกร็ง ร่างกายเบาหวิวปลิดปลิวไปกับสายลมรัก บดินทร์เคลื่อนกายขึ้นมาคร่อมร่างบางไว้ พรมจูบไปบนใบหน้าชื้นเหงื่อจนทั่ว ไปหยุดอยู่ตรงปากนุ่มๆ คลอเคลียดูดดึงเบาๆ ก่อนจะปรนเปรอเจ้าสาวของตนด้วยจูบ แสนหวานปานจะกลืนกินเธอลงท้องเสียให้ได้ “พี่รักแก้ว” ชายหนุ่มกระซิบคำบอกรักแนบอยู่กับกลีบปากบาง แก้วใจลืมตาขึ้นมาสบตาเข
หลังจากเสร็จพิธีบายศรีสู่ขวัญและผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้ว ก็เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ในห้องกันลำพังเพื่อให้บ่าวสาวได้พักผ่อน ก่อนจะออกมาต้อนรับแขกอีกครั้งในงานเลี้ยงตอนเย็นแก้วใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบแดงรูปหัวใจสองดวง โดยมีเจ้าบ่าวนอนกอดตัวเธออยู่ ประตูห้องถูกปิดลงเมื่อสักครู่ แว่วเสียงพ่อเจ้าบ่าวกับพ่อเจ้าสาวถกเถียงกันจะไม่ยอมให้ล็อกประตู หากแต่สุดท้ายแล้วแม่ ติ๋มก็จัดการล็อกประตูจากด้านนอกจนได้“พะ...พี่ดิน” หญิงสาวขยับกาย พยายามขยับออกห่างจากร่างใหญ่ที่กอดเธอไว้เสียแน่น แต่เขาไม่ยอมปล่อย“หืม...ว่าไงครับ” ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบลงบนหน้าผากมน แก้วใจเงยหน้าขึ้นสานสบกับดวงตาวาววับคู่คมแล้วสะเทิ้นอาย จนต้องก้มหน้าหลบเสียเอง“เขาออกกันไปหมดแล้ว ลุกขึ้นได้แล้วค่ะ”“อยากนอนกอดแก้วแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ขอกอดต่ออีกนิดนะ” บดินทร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกนิด“ฮื่อ...แก้วเมื่อย ลุกเถอะค่ะ” ร่างใหญ่ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี คนที่ตื่นเต้นกับสัมผัสแนบชิดจนแทบจะเป็นลมรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาม วงแขนแข็งแรงรีบกอดเกี
“อือ...” การขานรับในลำคอแบบไม่ค่อยเต็มใจของสามีทำให้แม่ติ๋มส่ายหน้า คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักหน่อย เดี๋ยวคงทำใจยอมรับลูกเขยได้เองเหมันต์และเพียงขวัญมาร่วมงานแต่เช้า โดยมีลูกๆทั้งสามติดตามมาด้วย หทัยรักหรือพี่ข้าวของน้องๆลูกสาวคนโตอายุสี่ขวบ หทัยกานต์หรือเข้มลูกชายคนกลางอายุสองขวบ และหทัยชนกหรือน้องขิงลูกสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบ คุณแม่ยังสาวจัดชุดครอบครัวใส่โทนสีเดียวกันคือสีฟ้า ลูกสาวทั้งสองอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าลายดอกไม้สีขาวเล็กๆ ลูกชายและสามีสวมเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงยีนส์และรองเท้าหนังสีน้ำตาล ส่วนเธอสวมชุดเดรสสีฟ้ายาวคลุมเข่าสวมรองเท้าสานสีขาวเหมือนกับลูกสาวทั้งสองนิธิและเพียงฟ้าพานิดาหรือหนูดาลูกสาวคนโตวัยสี่ขวบกว่า และนทีหรือนทวัยหนึ่งขวบมาร่วมงานด้วย เพียงฟ้าได้กล่าวคำขอโทษกับแก้วใจ เรื่องที่เธอเคยทำร้ายหญิงสาวเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและตกลงนับถือกันเป็นพี่น้องพิธีการเริ่มขึ้นหลังจากวางสินสอดซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวจัดมาสมกับฐานะเจ้าสาวแล้ว ขณะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เหมันต์และเพียงขวัญจึงพาลูกๆเลี่ยงไปนั่งเล่น
“ตื่นกันหรือยังคะ” เพียงขวัญส่งเสียงดังมาก่อน“ตื่นแล้วครับ” นิธิตอบกลับไป ยกมุ้งครอบขึ้น พาตัวเองลงมายืนอยู่ข้างศาลาเรือนไทย หนุ่มใหญ่จัดการสวมชุดให้ตัวเองและภรรยาหลังจากที่บทเพลงรักสุดท้ายจบลงอย่างเร่าร้อน จึงไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาเห็นภาพที่ไม่สมควรเห็น“ป๊ะป๊า” ลูกสาวส่งเสียงเรียกอย่างดีใจ เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ นิธิยื่นมือออกไปรับลูกมาไว้ในอ้อมกอด“ว่าไงคะ หนูดาดื้อกับป้าขวัญหรือเปล่าลูก” คุณพ่อหอมแก้มลูกสาวอย่างรักใคร่“หนูดาเพิ่งตื่นค่ะ ตื่นมาไม่เจอคุณพ่อคุณแม่ แกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขวัญเลยอุ้มมานี่ล่ะค่ะ เอ่อ...ฟ้ายังไม่ตื่นเหรอคะ” เพียงขวัญชะเง้อคอมองเข้าไปในมุ้งครอบ เห็นแต่ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างน้องสาวอยู่“ยังครับ” นิธิตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย“เอ่อ...เดี๋ยวขวัญไปเตรียมอาหารเช้ารอนะคะ”“ขอบคุณครับ” หนุ่มใหญ่กล่าวคำขอบคุณแล้วพาลูกน้อยมุดเข้าไปในมุ้งครอบหลังใหญ่ เพียงขวัญมองแล้วอมยิ้ม ก่อนจะเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้านแรงดูดจ๊วบๆที่ยอดอกทำให้คุณแม่ที่หลับใหลอยู่สะดุ้งตื่น แล้วหลุบตามองหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจเล็กน
“ก็ฟ้าหมายถึงเมื่อก่อนนี้ ไม่ได้หมายถึงตอนนี้” แก้ตัวอุบอิบ“งั้นก็ไม่ต้องไปง้อ เพราะฟ้าไม่ผิด คุณนิธิเข้าใจผิดไปเอง” เพียงขวัญสรุปแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ ก่อนเอนกายลงนอน หันหลังให้น้องสาว“อ้าว!” เพียงฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจนำผ้าห่มผืนหนามากั้นฝั่งตัวเองไว้ แล้วก้าวลงจากเตียง เปิดประตูห้องออกไป เพียงขวัญหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นเปิดไฟมองดูความเรียบร้อยบนเตียงกว้างอีกครั้ง“นอนกับป้านะคะหนูดา ให้คุณพ่อคุณแม่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์สักคืนนะคะ อุ๊ย!” วงแขนแกร่งที่กอดรัดเอาร่างตัวเองลอยขึ้นจากเตียงทำให้เพียงขวัญอุทานตกใจ“คุณเหม”“ฟ้าออกไปหาคุณนิธิแล้ว เราลงไปนอนพื้นกันเถอะ ปล่อยให้เด็กๆนอนบนเตียง”“นอนด้วยก็ได้ แต่ไม่ทำอะไรนะคะ เกรงใจลูกกับหลาน” เพียงขวัญต่อรอง ขณะยืนมองสามีปูที่นอนลงข้างเตียง“อือ...” เหมันต์ส่งเสียงในลำคอ เมื่อปูที่นอนเสร็จก็หันมารวบร่างภรรยาเอนกายลงนอนพร้อมกัน“คุณเหม...” เพียงขวัญปรามเสียงเบา เพราะกลัวลูกกับหลานจะตื่นขึ้นมา“ครับ”“ไหนบอกไม่ทำอะไรไงคะ”“ใครบอก”
“เดี๋ยวเรียกป้าโอ๋มาอยู่เป็นเพื่อนหนูดาก็ได้นะคะ” เพียงฟ้าหันมายิ้มให้สามี“ไม่เป็นไร ลุงนิจะอยู่กับลูกเองนะคะ” หญิงสาวหน้างอง้ำ สะบัดหน้าหนีงอนๆ“ลูกหลับอยู่ เรารึก็อุตส่าห์จะอาบน้ำให้ แต่ถ้าลุงนิอยากอยู่กับลูกก็ตามใจนะคะ” พูดจบก็เดินสะบัดก้นออกจากห้องไปทันที หนุ่มใหญ่ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ มองประตูห้องปิดลงงงๆ หลังจากนั้นไม่ถึงห้าวินาที เพียงฟ้าที่เดินขึ้นบนบ้านไปก่อนก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงสามีตะโกนดังลั่นบ้าน“ป้าโอ๋! ป้าโอ๋ครับ ป้าโอ๋อยู่หนายยย”เช้าวันต่อมานิธิไปส่งลูกเมียไว้ที่บ้านสวนของเหมันต์ แล้วรีบกลับเข้าเมืองไปทำงานทันที เพียงฟ้ากับลูกน้อยจึงอยู่กับเพียงขวัญ เหมันต์และเด็กหญิงหทัยรัก“อ้อนให้คุณนิธิพามาส่งจนได้นะเราน่ะ” เพียงขวัญเอ่ยกับน้องสาวยิ้มๆ ขณะที่นั่งป้อนข้าวลูกสาวอยู่ที่ศาลาเรือนไทยหลังบ้าน“ก็ฟ้าอยากคุยกับขวัญ อยากพาหนูดามาเล่นกับน้องข้าว” น้องสาวอ้อนพี่สาวยิ้มๆ“น้องข้าวคิดถึงน้าฟ้ากับหนูดามั้ยคะ” หทัยรักฉีกยิ้มกว้าง เด็กหญิงแย่งช้อนในมือมารดามาถือไว้ แล้วยื่นไปใกล้ปากเด็กหญิงอีกค