…THE PRINCE...
มีสมาชิกวงทั้งหมดห้าคน แนวเพลง เค-ป็อปผสม อาร์แอนด์บีและฮิปฮอปรวมไปถึงร็อกอีกด้วย เป็นบอยแบนด์ที่โด่งดังไม่แพ้ต่างประเทศ มีฐานแฟนคลับทั่วโลก …THE PRINCE..ถูกก่อตั้งมาจากบริษัทTEมีหัวหน้าค่ายยักษ์ใหญ่ที่เป็นอดีตนักร้องนักแต่งเพลงและนักดนตรีชื่อดัง นายธยศ ศรีอำนาจ…. …THE PRINCE..ถูกรับคัดเลือกมาจากการแข่งขัน แต่งเพลง เล่นดนตรีและเต้น คนคนหนึ่งจะต้องมีความสามารถครบถ้วนตามที่ธยศต้องการ …THE PRINCE..ถูกก่อตั้งมาได้3ปีเต็ม และได้ผลตอบรับตั้งแต่ครั้งแรกที่่เปิดตัว เจ้าชายทั้ง5ของTHE PRINCE …THE PRINCE….คือคนที่เหนือกว่าคนธรรมดา นำทีมโดย…. 1.เจ้าชาย….สุขุมนุ่มลึกแห่งราชอาณาจักรอันดับหนึ่ง ไดร์ฟผู้ที่ถูกแฟนคลับและเพื่อนๆในวงต่างเรียกขานเขาว่า ท่านไดร์ฟราชาแห่งเดอะพริ้นซ์ เจ้าชายเหนือเจ้าชาย ไดร์ฟมีหน้าที่เป็นลีดเดอร์ของวงรวมไปถึงร้องหลักอีกด้วยและแร็ปนำ เขาจะแต่งเพลงและแร็ปเองรวมไปถึงทำเมโลดี้ของเพลงเองด้วยบางทีก็คิดค้นท่าเต้นเอง เขามีความเป็นผู้นำสูงมีอายุมากกว่าเพื่อนๆในวงแค่ไม่กี่เดือน เขาจึงถูกเพื่อนๆในวงตั้งให้เป็น ลีดเดอร์ของวง 2.เจ้าชาย…เจ้าพ่อคำคมขวัญใจสาวๆแห่งราชอาณาจักรอันดับสอง ฟีฟ่า ฟีฟ่ามีหน้าที่ร้องนำและเต้นเสริม 3.เจ้าชาย….เจ้าพ่อตลก นักสร้างเสียงหัวเราะของวงแห่งราชอาณาจักรอันดับสาม กวิน หนุ่มอีสานบ้านเฮา เขามีหน้าที่เต้นหลักและร้องเสริม 4.เจ้าชาย…หล่อเลอค่าเขามีหน้าที่แค่ทำหน้าหล่อ เจ้าพ่อศัลยกรรมและเจ้าพ่อนำแฟชั่นแห่งราชอาณาจักรอันดับสี่ ธามไฟท์ เขามีหน้าที่แค่เป็นหน้าเป็นตาของวงเพราะการแต่งตัวของเขาก็โดดเด่นพออยู่แล้ว 5.เจ้าชาย…ขี้เล่น ยิ้มหวานเอาใจเก่งแห่งราชอาณาจักรอันดับห้า เอพริ้ว หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งเศสไทย หน้าตาคมคาย เขาอายุน้อยที่สุดแต่เป็นตัวสร้างสีสันของวง เอพริ้วมีหน้าที่เป็นหนุ่มตัวน้อยของพี่ๆและแฟนคลับ เขาจะเต้นนำและแร็ปเสริม มหาลัยประจำนานาชาติ QW อาคารกิจกรรม การดนตรี…. พรึบ “ไอ้ไดร์ฟ!”เสียงเข้มตึงของผู้ชายวัยรุ่นที่อยู่ในชุดกีฬาพร้อมทำกิจกรรมเอ่ยเรียกผู้ชายวัยรุ่นอีกคนที่เขาตั้งหน้าตั้งตาจดโน้ตเพลงและเเต่งเนื้อเพลงรวมไปถึงทำนองด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและตั้งใจ “ว่า?”ไดร์ฟเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีเศษเรือนผมสีน้ำตาลเข้มใบหน้าเรียวไข่ได้รูปผิวขาวใสริมฝีปากสีชมพูสดดวงตาชั้นเดียวเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนสนิทที่เป็นรูมเมทของเขาอย่างสงสัยที่เห็นเพื่อนวิ่งหน้าตาตื่นตะหนกมาแบบนั้น “มีโทรศัพท์เข้ามาหามึง”ชาญเอ่ยบอกไดร์ฟเพื่อนสนิทของเขาไป ไดร์ฟก็ขมวดคิ้วหนาเข้าหากันอย่างงุนงงว่าใครกันที่โทรมาหาเขา “ใครวะ?” “ไม่รู้….รู้แต่ว่าเรื่องสำคัญ…”ชาญทำสีหน้าจริงจังพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกันกับไดร์ฟเพื่อนของเขาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบจากการวิ่งมาด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร “อ่า…เคๆชอบใจมาก…”ไดร์ฟยื่นมือไปตบไหล่ชาญพร้อมกับเอ่ยขอบคุณและเริ่มเก็บของของเขาลงในกระเป๋าเป้เพื่อจะไปยังห้องพักของอาจารย์ที่นั่นเป็นที่ให้นักศึกษาได้ใช้โทรศัพท์สนทนากับทางบ้านได้ ไดร์ฟก็แอบแปลกใจว่าทำไมคนนั้นไม่โทรเข้าเบอร์มือถือของเขาล่ะ “ดรัณภพครับ….”ไดร์ฟเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาเดินมาถึงห้องพักของอาจารย์แล้ว “อ่ะ…สายของเธอจ้ะ…” “ขอบคุณครับ…อาจารย์^_^”ไดร์ฟเอ่ยพร้อมคลี่ยิ้มอย่างสดใสขอบคุณอาจารย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องนี้ไปพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะและหยิบโทรศัพท์ของมหาลัยขึ้นมาพูดใส่ปลายสายไป “ฮัลโหล…สวัสดีครับ..ผมไดร์ฟพูดสายอยู่ครับ”ไดร์ฟเอาโทรศัพท์แนบหูและเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ ปลายสายที่เงียบเพื่อรอการตอบรับก็เอ่ยตอบกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงของไดร์ฟ (ไดร์ฟ!…นี่ป้าพร…ป้าข้างบ้านของไดร์ฟนะ)ปลายสายร้อนรนเอ่ยพูดออกมาจนรัวเร็ว ทำให้ไดร์ฟรู้สึกงุนงงและสงสัยว่าป้าพรป้าข้างบ้านที่อาศัยอยู่ติดกับบ้านของเขาโทรมามีธุระด่วนอะไร “ครับ…ป้าพรสวัสดีครับ…” (ไดร์ฟ…ทำใจดีๆไว้นะลูก…) (แม่ของไดร์ฟ…ผูกคอตายแล้ว….) ตุ๊บ ไดร์ฟตกตะลึงเผลอปล่อยโทรศัพท์ของทางมหาลัยหลุดมือ เขากำลังอยู่ในอาการช็อคสุดขีด ทันทีที่เขาได้ยินว่าแม่ของเขาผูกคอตายเหมือนโลกทั้งใบในตอนนี้หยุดหมุนและพังทลายลงเพราะเขารู้ดีว่าแม่ของเขา ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงแล้ว แต่ในการเสียใจในครั้งนี้ทำให้ไดร์ฟกำหมัดแน่นแววตาดุดันอย่างโกรธจัดน้ำตาสีใสเอ่อคลอรอบดวงตาคู่สวย เขาขบกรามแน่นนึกโกรธคนเป็นพ่อที่รู้ว่าแม่ของเขาป่วย แต่กลับไม่พาไปรักษาแถมยังให้เขากลับมาอยู่ที่มหาลัยประจำอีก เขาจะกลับบ้านไปหาแม่ของเขาได้ก็ต่อเมื่อมหลาลัยปิดเทอมหรือมีวันหยุดเยอะๆ งานศพของแม่ไดร์ฟ…… “แม่…แม่ครับ…หลับให้สบายนะครับ…”ไดร์ฟพยายามกลั้นน้ำตาที่มันไหลอยู่เต็มด้านในอกของตัวเองไว้ในวันสุดท้ายที่เขาจะส่งแม่ของเขาไปสวรรค์โดยที่ไร้เงาของผู้ชายที่แม่ของเขารักนักรักหนา “วันสุดท้ายของแม่แล้วแท้ๆ…แต่เขาก็ยังไม่มา….”ไดร์ฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับความคับแค้นที่อยู่ในใจ เมื่อนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้นที่ยังคงออกโทรทัศน์ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านกับการจากไปของแม่เขาเลยสักนิด “เราจะกลับมาอยู่ที่นี้เลยหรือเปล่าล่ะไดร์ฟ…?”เสียงอบอุ่นจากป้าพรเพื่อนข้างบ้านเอ่ยถามไดร์ฟที่เขายืนเกาะอยู่ข้างโลงศพของเขาแม่เขาอยู่จึงต้องค่อยๆละใบหน้าหล่อไปมองหน้าของป้าพร คนเดียวที่มางานศพของแม่เขา “ครับ….ผมคงไม่กลับไปเรียนแล้ว….” “ทำไมล่ะไดร์ฟ…” “ป้าว่าแม่ของไดร์ฟไม่อยากให้ไดร์ฟหยุดเรียนนะ…” “ครับ….ถ้าผมไม่หยุดเรียนก็คงกลับมาอยู่บ้านนะครับ…และหางามเสริมทำเอา…” “อืม…ป้าก็เห็นด้วยนะ….” “อยู่ให้ได้นะ….” “ขอบคุณครับ…ป้าพร…”ไดร์ฟยกมือไหว้ป้าพรไปอย่างเคารพ เพราะเขาอยู่กับแม่เขามาแค่สองคนตลอดเวลา โดยแม่ของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสียเขาเรียนจนพักหลังๆมา แม่ของเขามีอาการโรคซึมเศร้าทำให้แม่ของเขาต้องหยุดทำงานและรักษาตัวอยู่ที่บ้าน โดยตลอดเวลาคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของเขากลับไม่เคยมาเยี่ยม เพียงแค่ส่งเงินมาให้เขากับแม่แค่นั้นเอง โดยที่เขาก็แทบจะจำหน้าพ่อตัวเองไม่ได้แล้ว….ถ้าไม่เห็นทางโทรทัศน์นั้น เคยไหมครับ…? อยู่ดีๆก็นึกเบื่อ…? เบื่อโลก…. เบื่อคนรอบตัว…. เบื่อตัวเอง…. เหนื่อย…และล้ากับการ…ที่จะหายใจ เบื่อแม้กระทั่งที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกที่เงียบเหงาเช่นนี้…. เหมือนตัวคนเดียวทั้งๆที่มีผู้คนมากมายรายล้อมรอบๆตัว…คาเฟ่A 13:00น.ไอริส อันฤดี….พรึบ“นี่!”“อะไรยะ?”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของลูกหว้าเพื่อนสนิทสุดซี้ปึ๊กของฉันทันที ที่เธออยู่ๆก็มาตบโต๊ะของฉันที่กำลังนั่งเขียนนิยายหัวสมองแล่นๆอยู่เนี่ยดังสนั่นหวั่นไหวจนแมคบุ๊คของฉันเคลื่อนตัวไปตามแรงกระแทกของเธอ“ไอริสสสสสส”“ลากเสียงยานครางแบบนี้….ต้องมีเรื่องมาเบียดเบียนฉันอีกแล้วใช่ไหม?”ฉันหรี่ตามองใบหน้าหวานของเพื่อนสนิทอย่างรู้ทันทำให้ลูกหว้าเบะปากทันทีที่ฉันเดาทางเธอออกพรึบ“ช่วยซื้อบัตรคอนต่อจากฉันหน่อยจิ”เธอว่าพลางทำแววตาวิ้งๆเป็นประกายอย่างออดอ้อน ฉันก็ใช้มือขยับแว่นตาที่ไม่ใช่แว่นสายตาแต่เป็นแว่นกรองแสงมองหน้าเธอไปอย่างสงสัย“บัตรคอนเสิร์ตอ่ะน่ะ?”ฉันทวนคำพูดของเธอไปอย่างสงสัย “วงลูกทุ่งซัมเมอร์เหรอเปล่า?”“กี่บาทฉันทุ่มไม่อั้น^_^”ฉันว่าเสียงใสอย่างตื่นเต้นเพราะฉันชื่นชอบวงนักร้องลูกทุ่งมากเลยล่ะ “จะบ้าเหรอยะ…ฉันไม่ใช่สายดนตรีเก่าครำ่ครึโบราณอย่างเธอหรอก…”“อ้าว…แล้วบัตรคอนวงอะไร?”ฉันว่าอย่างเสียดาย“วง THE PRINCE ”ลูกหว้าว่าพลางบิดตัวเป็นเกียวหน้าตายิ้มหวานอย่างเขินอาย ฉันก็กระพริบตาปริบๆมองเธออย่างงงๆ“ที่แปลว่าเจ้าชายอ่ะน่ะ?”“เดี๋ย
16:00น.“แกจะไปไหน?”เสียงเรียบตึงของลูกหว้าเอ่ยถามฉันทันทีอย่างไวในขณะที่ฉันเก็บสมุดวาดรูปปากกาดินสอและสีรวมไปถึงไอแพดกับแมคบุ๊คของฉันใส่ลงไปในกระเป๋าเป้ของฉันอย่างเตรียมพร้อม“ก็จะไปคอนเสิร์ตกับแกไง?”ฉันตอบลูกหว้าไป ไหนเธอบอกว่าเขาตรวจบัตรตอนหกโมงเย็นและคอนเสิร์ตจะเริ่มเเสดงตอนสองทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอไง และฉันก็โอนเงินสองหมื่นห้าพันบาทให้เธอไปแล้วด้วย ถ้าไม่ติดว่าฉันจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับแสงสีของคอนเสิร์ตเพื่อมาเขียนในนิยายนะ ฉันไม่มีทางเสียเงินเยอะขนาดนั้นกับเรื่องไร้สาระแบบนี้แน่“ชุดเนี่ย?”ลูกหว้าว่าพลางมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าเท้าจรดหัวด้วยสายตาตกใจ“อืม….ทำไมอ่ะ?”ฉันก็มองเสื้อผ้าของตัวเองที่เป็นกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะหูคีบและเสื้อยืดรูปหมีน้อยน่ารัก“ถ้าแกจะไปงานคอนกับฉัน….กรุณาแต่งธีมเดียวกับฉันด้วยค่ะ…”“ไม่อ่ะ…”ฉันตอบปฏิเสธเธอไปอย่างไวด้วยท่าทางหวาดกลัวเธอ ก็ดูการแต่งตัวของลูกหว้าดิยังกับจะไปงานแฟนตาซีแนวพวกเจ้าหญิงในเทพนิยายอย่างงั้นอ่ะ“ยัยไอ!!”ลูกหว้าเรียกฉันเสียงดังอย่างไม่พอใจฉันที่ฉันกล้าขัดเธอ แต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจในการเบะปากเรียกร้องความสนใจจากเธอกลับหยิบกระเป๋าเป้สีดำของฉ
วนเขาเพิ่งจะรู้จักฉันก็เมื่อตอนที่ฉันไปเที่ยวกองถ่ายและไปเดินสายโปรโมตละครที่นำบทนิยายของฉันไปสร้างเป็นละครน่ะ และฉันที่ชื่นชอบเขาอยู่แล้ว เลยทำให้ฉันสนิทและได้คบหากับพระเอกหนุ่มฮอตคนนั้น จนมาถึงปัจจุบันแต่สถานะของเราก็ต้องเก็บเป็นความลับเพราะเขาเป็นดาราแถวหน้าของเมืองไทยส่วนฉันเป็นแค่นักเขียนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งฉันรู้ดีว่าฉันไม่มีอะไรอาจเอื้อมเขาได้เลยสักนิดเดียวคอนเสิร์ตวง THE PRINCE21:30น.หน้าเวที ในโซนราคาบัตร สองหมื่นห้าพันบาท…“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด”“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดก”ฉันเอามือปิดหูทั้งสองข้างที่รู้สึกแสบแก้วหูกับเสียงกรีดร้องของเหล่าบรรดาแฟนคลับที่พากันยืนแออัดเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องอยู่ด้านหลังของฉันและแรงกระแทกที่ดึงดันเข้ามาทำให้ร่างของฉันแนบชิดไปกับขอบของเวที นี่เหรอราคาบัตรสองหมื่นห้าพันบาทโอ้มายก๊อดดดดด!!!มันเป็นบัตรวีไอพีไม่ใช่เหรอไงฟ่ะ!!มันผิดจากจินตนาการที่ฉันวาดฝันไว้มากเลยนะ ว่ามันจะเป็นบัตรนั่งชมการแสดงอย่างสบายๆน่ะ แต่นี่อะไร!!!ทั้งอึดอัดทั้งหนวกหู ร่างของฉันจะแทบจะเละเป็นปลากระป๋องอยู่แล้วเนี่ย ยัยลูกหว้าก็เอาแต่ยกมือที่มีป้ายไฟเขียนว่า ท่านไดร์ฟขาาา..โชว
หลังเวทีไดร์ฟ ดรัณภพ….10นาทีก่อนขึ้นแสดง…..“ติดตั้งไมค์พร้อมนะ….”เสียงของโปรดิวเซอร์ประจำวงของพวกเราเอ่ยขึ้นถามทีมงาน ผมที่นั่งทอดสายตามองออกไปยังเบื้องหน้าของผมก็ต้องหันกลับมามองยังหน้าตาของโปรดิวเซอร์ที่จัดการชี้แจงรายละเอียดให้พวกเราฟัง“น้ำไหม…ไดร์ฟ?”เสียงเป็นห่วงพร้อมกับขวดน้ำเปล่าถูกยื่นส่งมาตรงหน้าของผม ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าผู้จัดการของวงเราด้วยสายตาเรียบเฉย“นายเป็นอะไร…มองดูเงียบๆนะ…”“เปล่าครับ….”ผมตอบสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินไปรอสแตนบายที่ด้านหลังเวทีเพื่อจะเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ต ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นอะไร รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ ทั้งๆที่มันคือสิ่งที่ผมรักและสิ่งที่ผมทุ่มเทมาเกือบทั้งชีวิต แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ…ฉันว่าวันนี้แฟนคลับฉันต้องเยอะมากแน่ๆ^_^”“หึ….ของฉันต้องเยอะมากกว่าเว้ย!”เสียงพูดคุยกันดังขึ้นอย่างสนุกสนานอารมณ์จากเพื่อนร่วมวงของผมฟีฟ่าและธามไฟท์เอ่ยหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนกันรวมถึงผมด้วยที่เป็นเพื่อนกับพวกมัน เมื่อก่อนจะมีผมร่วมวงอยู่ด้วยแต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากพูดคุยกับใครเล
“มีอะไร?”เสียงเอะอะอย่างสงสัยจากเพื่อนร่วมวงของผมดังขึ้นที่พอร้องเพลงที่หนึ่งพร้อมกับจัดสเต็ปการเต้นจบผมก็ยกมือขึ้นเพื่อทำสัญญาณให้นักดนตรีหยุดเล่นดนตรีสดในครั้งนี้ลงทุกอย่างเงียบสนิทลงรวมไปถึงเสียงของเหล่าบรรดาแฟนคลับที่ต่างซื้อตั๋วราคาแพงแสนแพงมาดูพวกเราร้องเพลงและเต้นโชว์เรือนร่างในวันนี้ด้วย“ผม….ไดร์ฟ….ขอลาออกจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง THE PRINCE”ผมพูดแค่นั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแววตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกมันมีความรู้สึกมากมายโจมตีเข้ามาในความคิดของผมความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย…ผู้คนมากมายที่ยืนรายล้อมรอบๆตัวแต่เหมือนผมกำลังยืนอยู่ตัวคนเดียวในที่ตรงนี้ ผมถามกับตัวเองเสมอว่าผมทำไปเพื่ออะไร ผมทำไปทำไมกัน…พรึบติ๊ดดดดดดด“ไดร์ฟจะไปไหน!!”“กรี๊ดดดดดด”“เกิดอะไรขึ้น?”เสียงดังเอะอะโวยวายอย่างตกใจดังตามไล่หลังผมมา ผมปล่อยไมค์และสายไมค์ต่างๆที่ติดรอบตัวผมทิ้งลงพื้นไปอย่างไร้เยื่อใยและออกแรงวิ่งลงมาจากเวทีอย่างไร้จุดมุ่งหมายซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะวิ่งไปที่ไหนกัน…ผมไม่สามารถรับรู้ความคิดและควบคุมความสติของตัวเองได้ ผมเป็นอะไรกันแน่…?ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไร้ค่าและไม่คู่ควร
“นายทำของฉันพังหมดเลย!”เธอว่าเสียงเเข็งแววตาหวานแข็งกร้าวจับจ้องมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ ผมก็มองไปที่มือของเธอที่โชว์โทรศัพท์เครื่องหรูรุ่นใหม่ล่าสุดที่ราคาเหยียบครึ่งแสนให้ผมดู มันหน้าจอแตกละเอียดยิบเลย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?มันไม่ใช่โทรศัพท์ของผมซะหน่อย“นายวิ่งชนฉัน!”เธอว่าเสียงเข้มหน้าตาบูดบึ้งหนักกว่าเดิม ผมก็ละสายตาจากใบหน้าของเธออย่างไร้เยื่อใย และหันกลับไปมองแม่น้ำต่อ ที่พอมองปุปก็รู้ถึงระดับความลึกของน้ำที่กำลังเชี่ยวเพราะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำจากหลายๆที่มาบรรจบรวบตัวกันทำให้น้ำที่นี่เป็นน้ำวนและลึกมากถึงมากที่สุด ถ้าผมกระโดดลงไปก็คงจะตาย แต่บังเอิญว่าผมว่ายน้ำเป็นและผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของมหาลัยด้วยสิ พรึบ“นี่!”“ยังจะทำเงียบอีก!!”เธอโวยวายเสียงดังอยู่ข้างๆหูผม ผมก็ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เธอและหันกลับไปคิดว่าจะเอาเรื่องเธอแต่แล้วผมก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะเบื้องหลังเธอคนนี้กำลังมีร่างของชายชุดดำวิ่งมาเกือบจะถึงตัวผมแล้วหลายสิบคนพรึบ“นี่….จะชนแล้วหนีเหรอ?”ผมกำลังจะออกตัววิ่งแต่ก็โดนยัยตัวเล็กนี้คว้าชายเสื้อแบรนด์เนมของผมไว้ซะก่อน“หรือว่า….นายกำลังวิ่งหนีเจ้าหนี้เหรอ?”เธอเ
ถ้าคนเราตายแล้วเลือกการเกิดใหม่ได้คุณอยากเกิดเป็นอะไรครับ? แต่สำหรับผมขอแค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกจากคนที่เรียกว่าแม่มีอาหารวางรออยู่บนโต๊ะมีคนที่ผมเรียกว่าพ่อนั่งรอผมทานข้าวอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยใบหน้าที่เปื้อยไปด้วยรอยยิ้มเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อยกันสามคนพ่อแม่ลูกผมขอแค่นี้ก็พอแล้ว…(ไดร์ฟ)ไอริส อันฤดี…..พรึบ“โอ้ย!”ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดที่ร่างของฉันไถลล้มไปกับพื้นปูนซีเมนต์เพราะขาของฉันไร้เรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อแล้วทำให้คนที่ลากร่างของฉันอยู่ต้องหยุดฝีเท้าลงตามฉันไปด้วย เขาก็ปล่อยมือจากข้อมือฉันไปทันที“ฮืฮอออออเจ็บ”ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดแสบกับบาดแผลที่โดนพื้นปูนซีเมนต์บาดเอา เลือดสีแดงสดไหลรินออกซึมๆมาตามท่อนขาของฉันรวมไปถึงข้อศอกของฉันด้วย“ฉันจะตายไหม….”ฉันเอ่ยออกไปพลางมองสำรวจบาดแผลที่อาบโชคไปด้วยเลือดสีแดงสดด้วยท่าทางกลัวตาย“เธอจะกลัวทำไม….กับแค่ตาย…”เสียงเรียบเฉยอย่างไร้อารมณ์ถูกเอ่ยออกมาจากผู้ชายร่างสูงโปร่งที่แต่งตัวเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดเผยให้เห็นรอยสักที่ต้นคอเป็นรูปสมอเรืออยู่ตรงกลางพวงมาลัยเรือและรูปหน้าเสือโคร่งที่หน้
“ฉันก็ไม่ขอบคุณอีกเหมือนเดิม….”ฉันก็เข้าใจที่เขาพูดจึงเอื้อมมือไปหยิบถุงพลาสติกนั้นมาจากมือเขาอย่างไวและเอ่ยบอกเขาไป“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”เขาไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่เขาจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับฉันและนั่งข้างๆฉัน ฉันก็เริ่มเปิดถุงพลาสติกดูว่าเขาเอาอะไรมาบ้าง ก็มีน้ำยาแอลกอฮอล์ล้างแผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแดงใส่แผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแก้ปวดยาแก้อักเสบอย่างละสามชุดและสำลีอีกหนึ่งห่อใหญ่“ทำไม….เธอถึงกลัวตาย….”อยู่ดีๆเขาก็เอ่ยขึ้นถามคำถามที่ฉันไม่คิดว่าคนปกติทั่วไปจะคิดแบบนี้ ใครบ้างล่ะไม่กลัวตายน่ะ ทุกคนกลัวตายกันทั้งนั้นแหละ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคนจะช้าหรือจะเร็วก็แค่นั้นแหละ“ก็ฉันกำลังมีความสุขอยู่กับชีวิตของฉันในตอนนี้มากกกกกก”ฉันบอกเขาไปตามความจริง“ยังไง?”เขาขมวดคิ้วมองหน้าฉันอย่างงุนงงและสงสัย ฉันก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องของฉันที่ฉันมีความสุขให้เขาฟัง ว่าฉันมีความสุขยังไงบ้างกับชีวิตของฉันในตอนนี้^_^“ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันรัก….และฉันชอบมาตั้งแต่ๆเด็กๆ…”“ฉันได้ประสบความสำเร็จตามความฝันของฉัน…ด้วยอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ…ฉันมีความสุขกับชีวิตขอ
มีผู้คนอยู่มากมายแต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกทีแต่เมื่อฉันได้พบกับเธอสิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไรโลกใบใหญ่ใบเดิมกลับไม่เคยต้องเหงาใจแค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้เธอเป็นมากกว่ารักเพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิตฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนานและสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจจากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….ไดร์ฟหันมายิ้มและมองหน้าฉันตลอดเวลาเสียงของเขาที่ขับร้องเพลงนี้ มันช่างเต็มไปด้วยความละมุนนุ่มนวลและความรักที่เขาต้องการจะสื่อความหมายและความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของเขาเพื่อขับร้องออกมาเป็นเนื้อเพลงจริงๆหากว่าเธอนั้นคือความรักก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยายฉันโชคดีเหลือเกินที่มีเธอเดินข้างกายชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายเสียงของเพลงได้เงียบลงไปแต่ไดร์ฟกลับยิ้มให้ฉันและร้องเพลงด้วยเสียงที่ไร้ดนตรีและท่วงทำนองให้ฉันฟังแบบสดๆ“เธอเป็นมากกว่า…เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต…”“ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอ…เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน”“และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ”“จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….”ไดร์ฟร้องจบก็ขยับใบหน้าของเขาเข้ามาหาฉันจ
“อื้อออออไดร์ฟ…”“ฉันยังไม่พร้อมนะ…”“ฉันมีประจำเดือน!!!”ฉันพูดบอกไดร์ฟไปเสียงเข้มพลางหดคออย่างรู้สึกจั๊กจี้เพื่อหนีสัมผัสที่รุกล้ำของไดร์ฟ“ฮึฮ่าๆๆๆๆๆ”เสียงหัวเราะของไดร์ฟที่มันดูอร่อยซะเหลือเกินทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง“ขำอะไร?”ฉันกดเสียงต่ำถามไดร์ฟไป เขาก็พยายามกลั้นขำจนน้ำตาของเขาเอ่อคลอรอบตัวตาคู่สวยทั้งสองข้าง“ก็ขำเธอไง…เธอนี่ก็ช่างจินตนาการนะ…แถมยังลามกอีกตั้งหาก….”“ไดร์ฟ!”ฉันเรียกเขาเสียงเข้มหน้าตาบึ้งตึง ไดร์ฟก็ส่ายศีรษะไปมากับความคิดของฉันที่มันชวนให้ฉันจินตนาการ“นายนั้นแหละ…ลามกให้ฉันจับอะไรของนายก็ไม่รู้!!”ฉันว่าเสียงห้วนพร้อมกับทำไม่พอใจ“ลองมองดูดิ…ว่าที่ฉันให้เธอจับกับสิ่งที่เธอคิดจินตนาการไปไกลแล้วน่ะ…มันใช่อย่างเดียวกันหรือเปล่า…”ไดร์ฟเอ่ยบอกฉันเสียงขำขัน ฉันก็ย่นจมูกใส่เขาและยังไม่ยอมก้มไปมองว่าสิ่งที่ฉันกำลังจับอยู่ในตอนนี้กับสิ่งที่ฉันคิดจินตนาการมันใช่อย่างเดียวกันหรือเปล่า“มองดูสิ….”“หรือเธออยากจะเห็นไอ้สิ่งที่เธอจินตนาการจริงๆ…เธอไม่อยากรู้หรือว่าสิ่งที่เธอคิดกับสิ่งที่เป็นจริง…”“มันจะมีรูปร่างลักษณะเหมือนกันหรือเปล่า….”ไดร์ฟกระซิบเสีย
“ทีนี้…บอกได้ยังครับ…ว่าไองอนไดรฤ์ฟเรื่องอะไร?”ไดร์ฟเอ่ยขึ้นด้วยเสียงละมุน ฉันก็ย่นจมูกใส่เขา “ขี้งอน….”เขากดเสียงต่ำว่าฉัน“เรื่องของฉัน!”ฉันก็ทำหน้ามุ่ยใส่เขาและเถียงเขากลับไป“แหนะ….จะให้ฉันง้อ…ฉันง้อด้วยวิธีของฉันนะ…”ไดร์ฟว่าพลางทำแววตามีเลศนัยและยังมองต่ำลงไปที่หน้าอกของฉันอย่างสื่อให้ฉันรู้ว่าวิธีการง้อของเขาคืออะไร เห้ยไอ้หื่นเอ้ย!!!“ตกลงจะบอกได้หรือยัง…ว่าเธองอนฉันเรื่องอะไร?”ไดร์ฟเอ่ยถามฉันใหม่อีกครั้ง ฉันก็มองหน้าเขาและหรี่ตามองหน้าเขาอย่างจับผิด“นายมีอะไรจะสารภาพกับฉันไหมล่ะ?”ฉันกดเสียงต่ำเอ่ยถามไดร์ฟกลับไป เขาก็ขมวดคิ้วหนาเข้มเข้าหากันอย่างงุนงงและสงสัยกับคำพูดของฉันที่ถามเขา “สารภาพ…?”ไดร์ฟทวนคำถามของฉันใหม่ ฉันก็พยักหน้าหงึกๆเป็นคำตอบให้เขาไป“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วหนิ…ว่าฉันชอบเธอ…”“และอยากคบกับเธอ….”“แต่เธอก็ปฏิเสธฉัน….”ไดร์ฟว่าเสียงอ่อนลงแววตาของเขาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ใช่ฉันยังไม่ได้บอกเขาว่าฉันโสดแล้วหนิ แต่ก็ไดร์ฟไม่ยอมขอฉันคบใหม่อีกครั้งหนิแล้วจะให้ฉันไปตอบตกลงเขาได้ยังไงล่ะ“ไม่ใช่เรื่องนี้….”ฉันเถียงเขากลับ เขาก็ขมวดคิ้วงงหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก ฉันก็ทำหน้าเข้
22:40น.บ้านไอริสไอริส อันฤดี….“เฮ้อ….”ฉันทิ้งตัวลงนอนบนโซฟากลางบ้านอย่างคนหมดแรงและอิดโรยกับความเหนื่อยล้าทั้งวันของฉันในวันนี้ ยัยลูกหว้าเจ้าแม่นักช้อปช้อปจนห้างปิดไปเลยจ้า ไปตั้งแต่ห้างเปิดยันห้างปิด!สุดจริงนางคนนี้“เที่ยวจนลืมฉันไปเลยนะ…”เสียงเรียบๆของผู้ชายที่คุ้นหูของฉันเอ่ยขึ้นดังมาจากทางด้านหลังของฉันตรงบริเวณศีรษะของฉันที่เอนพิงพนักโซฟาอยู่ ฉันจึงรีบลืมตาขึ้นอย่างตกใจกับใบหน้าหล่อของไดร์ฟที่เขายืนอยู่ด้านหลังโซฟาและก้มหน้าลงมามองหน้าฉันทำให้ปลายจมูกของเราสองคนแตะกัน“โอ้ย!”ไดร์ฟร้องเสียงหลงเมื่อฉันใช้มือทั้งสองข้างผลักหน้าหล่อๆของเขาให้ถอยห่างออกไปจากฉันพร้อมกับยันตัวลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“นาย…เข้าบ้านฉันมาได้ยังไง?”ฉันถามไดร์ฟไปอย่างสงสัย ฉันว่าฉันล็อคบ้านแล้วนะ แต่ทำไมไดร์ฟเข้ามาในบ้านของฉันได้ล่ะ “ฉันมานั่งรอเธอตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด…”“จนตอนนี้…จะห้าทุ่มแล้ว…”ไดร์ฟว่าเสียงอ่อนพลางทำสีหน้างอแงใส่ฉัน“แล้วไง…ไม่ได้ใช้ให้รอ…”ฉันพูดเสียงห้วนอย่างคนที่ไม่ค่อยพอใจเขาสักเท่าไหร่ ที่เขาโกหกฉันว่าเขาไม่เคยจูบกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากฉัน!!!“แหนะ….ทำไมหน้างอจัง….”“ฉันอุตส่า
ห้างสรรพสินค้าQ15:30น.ไอริส อันฤดี…..“เฮ้อ….”ฉันผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าและปวดเมื่อยท่อนขาของฉันทั้งสองข้างไปหมดที่เดินตามยัยลูกหว้าเข้าร้านนู้นทีร้านนี้ที จนสองมือของฉันเต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้าของเธอหมดแล้วจ้าพรึบ“ยัยไอ!!!”เสียงเรียกชื่อฉันอย่างดังกังวานมาจากยัยลูกหว้าที่ฉันเลิกเดินตามเธอและเปลี่ยนมานั่งพักตรงกลางของห้างชั้นล่างเเทนด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเต็มทน“ฉันไม่ไหวแล้ว…ยัยลูกหว้า…”ฉันตอบเสียงอ่อนไป ลูกหว้าก็ทำหน้าเบ้ก่อนจะเดินกระทืบเท้ามาหาฉันอย่างเอาเรื่อง“เธอเล่นเดินตั้งสามชั่วโมงเต็มแบบนี้….”ฉันบ่นอุบพลางทำหน้าออดอ้อนยัยลูกหว้าไป เธอก็ผ่อนลมหายใจใส่ฉันก่อนจะเดินมาทิ้งตัวกระแทกนั่งลงข้างตัวฉัน“ก็มันเพลิน…”เธอว่าเสียงอ้อมแอ้มตอบฉันกลับมา“นี่ดีนะ…ที่วันนี้ไม่มีของSaleน่ะ….ไม่งั้นฉันจะต้องเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ…”ฉันบอกยัยลูกหว้าไปพลางนึกถึงตอนช่วงที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ที่ยัยลูกหว้าลากฉันมาด้วยเพื่อให้ฉันมาช่วยเธอยื้อแย่งน่ะฉันเกือบจะโดนเหยียบตายต้องคลานเข่าออกมาจากโซนที่เขาจัดลดราคาแหนะ เพราะฉันไม่ใช่เจ้าแม่สายนักช้อปอย่างยัยลูกหว้าหนิ เลยไม่ค่อยอินกับ
“ไม่ให้มีก็ไม่ให้มีจ้ะ…จะตะโกนทำไมเนี่ย…”ฉันว่าเสียงอ่อยพลางยื่นมือไปลูบต้นแขนของลูกหว้าให้เธอใจเย็นๆลง “เธอรู้ป่ะ…ว่าทางค่ายของไดร์ฟเคยจับให้ไดร์ฟจิ้นกับศิลปินเดี่ยวหญิงในค่าย…”“จะรู้ได้ไง…ฉันเพิ่งจะรู้จักไดร์ฟได้ไม่ถึงสองเดือนเองนะ…”ฉันว่าเสียงอ่อนพลางหลบสายตาดุดันของลูกหว้าอย่างส่อพิรุธสุดๆ“หึ…งั้นฉันจะเล่าให้เธอฟัง…”ลูกหว้าว่าพลางแสยะยิ้มชั่วร้ายอย่างนางร้ายในละครหลังข่าวก่อนจะกรีดตามองหน้าฉันทำให้ฉันรู้สึกแอบเสียวสันหลังวาบขึ้นมา“ศิลปินหญิงคนนั้นชื่อเทียนไข…”“เธอเป็นศิลปินน้องใหม่ของค่ายTE…”“พอเข้ามาปุบ…ทางค่ายก็จัดให้ถ่ายทำMVเพลงให้ของเดอะปรินซ์เลยเพื่อให้เธอเป็นที่รู้จักน่ะ…ซึ่งในMVเพลงนั้นไดร์ฟของฉันโชคร้ายจับฉลากได้เป็นพระเอกMV”“จับฉลากเป็นพระเอกMV?”ฉันทวนคำพูดของลูกหว้าใหม่เพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้ฟังผิดแน่ๆใช่ไหม ทำไมต้องจับฉลากด้วยล่ะ“ใช่…จับฉลากเพราะไดร์ฟของฉันไม่ชอบเล่นฉากเลิฟซีนค่ะ…”ลูกหว้าว่าเสียงเข้มแววตาเป็นประกายพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ว่าเธอกำลังปลื้มปริ่มกับไดร์ฟมาก แต่จะบอกอะไรให้รู้นะ ว่าไอ้คนที่เธอบอกว่าเขาไม่ชอบเล่นฉากเลิฟซีนเนี่ย จูบเก่งและหื่นสุดๆจ้
“ใช่^_^”ลูกหว้ายืดอกและทำหน้าเชิดอย่างคนที่มั่นอกมั่นใจ ฉันก็ยิ้มแหยๆให้เธอไป เพราะฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกไดร์ฟข่าวของเขาจะได้ไม่หลุดอีกหึๆๆ^_^“เธออยากรู้เรื่องของไดร์ฟไม่ใช่เหรอไง?”“ใช่…”“ตั้งแต่เขาเข้ามาประกวดเลยไหมล่ะ?”“ได้…^_^”ฉันพยักหน้าอย่างตื่นเต้น เพราะฉันเองก็พอจะรู้เรื่องของไดร์ฟมาพอคร่าวๆบ้างแล้วแต่ฉันอยากรู้ให้ลึกกว่านี้น่ะ “งั้นเริ่มเลย…”ลูกหว้าว่าพร้อมกับยิ้มกว้างให้ฉันแววตาของเธอเป็นประกาย เธอคงจะชอบไดร์ฟมากจริงๆและถ้าเธอรู้ว่าฉันเองก็ชอบไดร์ฟมาก เธอจะโกรธฉันไหมนะ?“นี่….สมาชิกของวงเดอะปรินซ์…”ลูกหว้าว่าพร้อมใช้มือกางแผ่นรูปขนาดใหญ่ที่ใหญ่พอๆกับที่นอนหกฟุตของเธอลงตรงหน้าฉัน“นี่…ไดร์ฟ…ไดร์ฟเป็นหัวหน้าของวงหรือลีดเดอร์ของวงนั่นเอง….”“ไดร์ฟมีความสามารถครบถ้วนตามที่ท่านประธานค่ายต้องการ….และก็บราๆๆๆ”ลูกหว้าก็เล่าเรื่องราวของไดร์ฟให้ฉันฟังทุกอย่างเท่าที่เธอและแฟนคลับคนอื่นๆรู้ แต่ที่เธอไม่รู้คือ คือเรื่องที่ไดร์ฟป่วยเป็นซึมเศร้า และถ้าจะถามหาสาเหตุจากลูกหว้า เธอก็คงไม่รู้อยู่ดี บางทีฉันควรจะเลิกสงสัยได้แล้ว ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ไดร์ฟป่วยเป็นซึมเศร้าเพราะตอนนี้เขาก็
สองวันต่อมา… 07:00น.คาเฟ่Aบ้านของลูกหว้า ห้องนอนลูกหว้า…“ลูกหว้า….”“อื้ออออ!”เสียงอื้ออึงในลำคอที่แสดงถึงความไม่พอใจจากคนใต้ผ้าห่มที่โดนฉันปลุกเธอแต่เช้าแบบนี้ดังออกมาพรึบ“ตื่นได้แล้วลูกหว้า!”ฉันเรียกลูกหว้าพร้อมกับยื่นมือไปดึงผ้าห่มออกมาจากเรือนร่างของยัยลูกหว้าที่นอนตื่นสายกินบ้านกินเมืองแบบนี้“โอ้ย…นี้มันวันหยุดฉัน!!”ลูกหว้าโวยเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะอาทิตย์หนึ่งเธอมีวันหยุดเพียงแค่วันเดียวยังไงล่ะ“ยัยไอ!!”ลูกหว้าพูดออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นนั่งพรวดมองหน้าฉันอย่างไม่พอใจที่ฉันปลุกเธอและสร้างความรำคาญให้เธอเป็นอย่างมาก เพราะนี่มันวันหยุดของเธอแท้ๆ แต่ฉันอยากรู้เรื่องของไดร์ฟมากและคนคนเดียวที่จะบอกฉันทุกเรื่องเกี่ยวกับไดร์ฟได้นั่นก็คือยัยลูกหว้าเพื่อนสุดเลิฟของฉันคนนี้ยังไงล่ะ^_^“ลูกหว้าจ๋าาาาาาา”“ลูกหว้าจ๊ะ^_^”ฉันทำตาปิ๊งๆและเรียกลูกหว้าเสียงออดอ้อนออเซาะจนยัยลูกหว้าเบะปากและกลอกตามองบนอย่างคนที่หมั่นไส้ฉันมากๆ“มีอะไรยะ!”“มาหาฉันแต่เช้า?”ลูกหว้าว่าพลางเอามือของเธอไปสางผมที่ยุ่งเหยิงของเธอให้เป็นทรง ฉันก็อมยิ้มและมองหน้าเธออย่างมีเลศนัย“ฉันอยากรู้เรื่องของได
เร็วเท่าความคิดฉันผลักหน้าอกไดร์ฟอย่างไวและเเรงด้วยจนทำให้ร่างของไดร์ฟเกือบหงายหลังน่ะ ดีนะที่เขาตั้งตัวทันน่ะ ไม่งั้นไดร์ฟได้เลือดแน่วันนี้พรึบ“ทะลึ่ง!”ฉันว่าเสียงเข้มหน้าตาบึ้งตึง ไดร์ฟที่กำลังยันตัวขึ้นมาก็ทำสายตากรุ้มกริ่มให้ฉัน“เธอเอง..ก็ทะลึ่งเหมือนกันแหละ^_^”“กินไปเลยไดร์ฟ!!”ฉันเสียงดังกลบเกลื่อนเพราะความเขินอายที่ฉันทำเรื่องหน้าอายที่สุดไป ฉันเลิกสนใจไดร์ฟและหันมาก้มหน้าก้มตากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชามของฉันโดยไม่สนใจไดร์ฟที่เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างเรียบร้อยมาก มากซะจนผู้หญิงอย่างฉันดูกินมูมมามไปเลยอ่ะ20นาทีต่อมา….“ไอริส….”ไดร์ฟเอ่ยเรียกฉันเสียงแผ่วเบา“หืม?”ฉันที่เอาชามไปเก็บแล้วก็กลับมานั่งลงข้างๆไดร์ฟที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมก็เอ่ยขานรับเขาไปพลางมองหน้าเขาด้วยความสงสัย“เธอ….”“อะไร?”“ขอไลน์หน่อยดิ^//^”“ขอไปทำไม?”ฉันมองหน้าไดร์ฟที่ยิ้มร่าด้วยความสงสัย “เผื่อเอาไว้โทรหาเธอ..เวลาที่คิดถึงไง…”“เพราะอีกหลายวันแหนะ…กว่าฉันจะมาหาเธอได้อีก…”ไดร์ฟว่าเสียงแผ่วเบาพร้อมกับทำหน้าเศร้าสลดลง ฉันก็พยักหน้าเข้าใจ“ฉันต้องเข้าห้องอัดเสียงน่ะ…จะปล่อยเพลงใหม่”“อืม…”“ไม่ถามในฐ