“เธอนี่มันปากกล้าจริงๆ ไม่รู้เป็นพยาบาลได้ยังไง ซื้อใบประกอบวิชาชีพมารึเปล่า”
“อ้าวคุณ พูดแบบนี้หมิ่นประมาทกันชัดๆ เลยนะคะเนี่ย ไม่ดี ไม่เอาไม่พูด”
หญิงสาวทำหน้าทะเล้นไม่ได้สนใจหรือสะทกสะท้านกับคำพูดของเขา ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ระวังไม่ให้เขาเดินสะดุดล้ม
“หึ.. ถ้าอย่างนั้นก็คงติดสินบนครูผู้สอนจนจบมาได้ ฉันเคยได้ยินมาว่าบางคนเอาเหล้าขาวหนึ่งขวด กับไก่ต้มหนึ่งตัว หรือไม่ก็หัวหมูหนึ่งหัวไปให้ เขาก็ให้ผ่านแล้ว”
วาสิฏฐีหัวเราะก๊ากกับคำเปรียบเปรยของชายหนุ่ม นี่เขาไปจำมาจากไหนกันเนี่ย
“โอ๊ย คุณ.. คุณนี่ไทยแท้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าไปอยู่อิตาลีตั้งแต่เด็กๆ ถามจริงๆ ไปจำไอ้เรื่องพวกนี้มาจากไหน วงเหล้าไหนเขาโม้ให้ฟัง”
ธีรดลขึงตามองคนที่สูงเพียงไหล่กว้างของตนอย่างหมั่นไส้ อารมณ์ที่เดือดปุดๆ อยู่แล้ว ดูเหมือนจะเดือดยิ่งขึ้นไปอีก
“นี่เธอ พูดมากจริง มีใครเคยบอกเธอมั้ย”
“มีเยอะแยะไป คนไข้บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนตัวพยาบาลเลยก็มี” หญิงสาวยอมรับหน้าตาเฉย
“หน้ามึนหน้าด้าน”
“โอ้โห.. นี่คุณ ปากจัดกว่าผู้หญิงอีกนะเนี่ย ข้าน้อยนับถือๆ”
วาสิฏฐียังมีแก่ใจจะยั่วโมโหเขาขณะช่วยประคองเขาเดินไปตามเส้นทางที่ทำไว้สำหรับให้เขาฝึกเดิน บรรยากาศร่มรื่นและแวดล้อมด้วยสวนดอกไม้ที่คุณนรากับวิกานดาสะใภ้ใหญ่ของบ้านช่วยกันปลูกนั่นเอง
“ประสาท... ดูหนังจีนมากไปละ”
“ข้าน้อยมิกล้าๆ” วาสิฏฐีหัวเราะกับคำพูดของเขา ธีรดลปรายตามองคนที่ทำหน้าทะเล้นให้เขาอย่างหมั่นไส้
“โอ้ยๆๆ นี่คุณ เดินดีๆ สิ เดี๋ยวก็พากันล้ม”
“อยากเกิดมาตัวเล็กทำไมล่ะ ตอนเด็กๆ ไม่ได้กินนมบ้างเหรอ”
“บังเอิญบ้านยากจนน่ะค่ะ แม่เลี้ยงด้วยนมข้นหวานละลายน้ำให้กิน บางวันก็ได้กินน้ำข้าวผสมน้ำตาลทราย บางครั้งก็อดมื้อกินมื้อ ถ้าฉันเกิดมารวยเหมือนคุณคงตัวสูงใหญ่เหมือนคุณนี่ล่ะน่า ว่าแต่คุณเคยกินน้ำข้าวผสมน้ำตาลทรายมั้ย อร่อยมากเลยนะคุณ สมัยฉันเป็นเด็กนะเวลาที่หุงข้าวแบบเช็ดน้ำน่ะ เราจะต้องเทน้ำข้าวทิ้งหรือไม่ก็เอาไว้เลี้ยงหมูต่อใช่ไหม แต่เราก็เอาน้ำข้าวที่มันเราหุงจนมันเดือดข้าวแตกเม็ดแล้วนั่นน่ะ ค่อยๆ รินใส่หม้อหรือแก้ว กลิ่นน้ำข้าวที่ต้มใหม่ๆ นี่มันหอมมากเลยนะคุณ ยิ่งถ้าเป็นข้าวหอมมะลินะ โอ้โห้หอมฟุ้งไปแปดบ้านสิบบ้าน หลังจากนั้นนะ เราก็เอาน้ำข้าวที่เราเทออกมา สมมุติว่าเป็นนมสดจากเต้า ใส่เกลือนิดหน่อย ผสมน้ำตาลทรายนิด มากน้อยแล้วแต่ใครจะชอบ แต่ฉันชอบหวานน้อยก็ใส่น้ำตาลนิดเดียว จากนั้นเราก็ชนแก้ว ดื่มมมม” หญิงสาวอธิบายพร้อมทำท่าประกอบจริงจังไปอีก
“เฮ้อออ.. ฉันขี้เกียจคุยกับเธอแล้ว”
ธีรดลถอนใจหนักๆ ยอมรับโดยดีว่าเขาไม่สามารถต่อปากต่อคำเถียงเธอได้สำเร็จ ส่วนวาสิฏฐียิ้มพรายอย่างผู้ชนะ
ธีรดลนั่งอ่านเอกสารสำคัญที่เลขาเอามาให้พิจารณาเพราะเป็นเรื่องสำคัญ ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด วาสิฏฐีนำอาหารและยามาให้เขาก็รับรู้ถึงความเคร่งเครียดของเขาด้วย
“มีอะไรคะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว”
“งานมีปัญหานิดหน่อย”
“จริงๆ แล้วเนี่ย คุณก็อาการดีขึ้นบ้างแล้ว จะเข้าบริษัทก็สามารถทำได้นะคะถ้ามันเป็นงานสำคัญ เดี๋ยวฉันจะตามไปดูแลคุณเอง” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแล้ววางปากกาในมือลง
“ดูเธอจะดูแลคนไข้ดีมากเลยนะ มีแผนอะไรรึเปล่า”
“นี่คุณมองฉันในแง่ดีมากเลยนะ ขอบคุณๆ เอาล่ะค่ะ พักก่อน มากินข้าวก่อน จะได้กินยา ร่างกายคุณแม้จะดีขึ้นแล้วแต่ก็ต้องบำรุงร่างกายอยู่นะคะ จะได้แข็งแรงเร็วๆ”
“ดูเหมือนเธออยากจะให้ฉันหายเร็วๆ เหลือเกินนะ ทำไม เบื่อคนไข้ที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจเแบบฉันแล้วหรือไง”
“แน่นอนสิคะ ใครจะอยากมาอยู่กับคนไข้เอาแต่ใจอย่างคุณกัน เสียสุขภาพจิต”
ยอมรับหน้าตาเฉยไปอีก ธีรดลทำหน้าเบื่อหน่ายกับความตรงไปตรงมาของเธอเสียนัก จะพูดจาอ้อมค้อมให้เขารู้สึกดีกว่านี้สักนิดอย่าได้หวัง
“เธอนี่มันจริงๆ เลย”
“ฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ” หญิงสาวบอกแล้วจะเดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มจึงเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิ”
“คะ มีอะไรจะให้ฉันรับใช้คะ”
“มีน่ะมีแน่...”
“ว่ามาเลยค่ะ”
“วันนี้ฉันทำงานมาทั้งวัน เมื่อยไปหมด ช่วยป้อนข้าวหน่อย”
“หา...” วาสิฏฐีเสียงสูงมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อหู แล้วหันมามองเขาอย่างสงสัย ทั้งยังเดินวนรอบกายสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง อย่างพิจารณา ทั้งยังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ไว้ใจเพราะดูท่าทางแล้วเขาไม่ได้มีท่าทางว่าเหนื่อยอ่อนเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเรียบเฉยไร้พิรุธ
“มีพิรุธนะคุณน่ะ”
“อะไรของเธอ”
“อย่างคุณน่ะเหรอจะอ่อนแอจนกินข้าวเองไม่ได้”
“ทำไม... คนอย่างฉันจะอ่อนแอบ้างไม่ได้เหรอ”
“อย่างคุณน่ะไม่ได้เรียกว่าอ่อนแอหรอก แต่เรียกว่าแสดงละครเก่ง แต่เอาเถอะ ฉันจะป้อน งั้นรีบมานั่งตรงนี้เร็วๆ ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ...”
หญิงสาวพูดพลางจูงมือเขาไปนั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร ทั้งยังจับเขานั่งเหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์
“อ้าปาก” เธอทำหน้าขึงขัง ธีรดลถอนใจหนักๆ
“นี่เธอแน่ใจนะว่าเต็มใจ”
“ไม่เต็มใจ”
“แล้วทีตอนนั้นทำไมจะต้องมาบังคับจะป้อนข้าวฉันล่ะ”
“ก็ตอนนั้นคุณดื้อนี่นา ถ้าไม่บังคับก็จะทำให้เสียงาน” เธอบอกพร้อมทั้งจ่อช้อนที่ปากของเขาที่ยังไม่ยอมอ้าปากเสียที
“นี่คุณ ฉันเมื่อยมือแล้วนะ ตกลงจะกินไม่กินลีลาเยอะเหลือเกิน” หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาเหมือนมองเด็กดื้อคนหนึ่ง
“เธอออกไปเถอะ ฉันกินเองจะดีกว่า ป้อนเหมือนยัดแบบนี้ฉันกลัวจะสำลักตายก่อน”
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง กินดีๆ นะเด็กดื้อ...”
วาสิฏฐียิ้มกว้างแล้วตบแก้มสากเบาๆ อย่างทะเล้น ธีรดลขึงตามองเธอ อย่างไม่พอใจก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาแพ้ให้กับเธอสินะ
“ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ”
“รู้จักแต่คุณตัวสูง แต่ฉันตัวเตี้ย”
“ไปๆ รีบๆ ออกไปเลยก่อนที่ฉันจะหักคอเธอ”
วาสิฏฐีหัวเราะร่าแล้วเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อลับหลังของวาสิฏฐีแล้วใบหน้าที่เรียบเฉยดั่งรูปปั้นน้ำแข็งก็ผุดรอยยิ้มบางๆ มุมปาก โดยที่เจ้าตัวก็แทบจะไม่รู้ตัวว่ายิ้มออกมา…
“ยายบ้า กวนประสาทชะมัด”
ตอนที่1.วาสิฏฐี ถอนใจไม่รู้เป็นรอบที่เท่าแล้วของวันหลังจากที่คนรับใช้ต่างวิ่งกระหืดกระหอบมาหาตนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น จนเธอต้องทั้งปลอบและให้กำลังใจพวกเจ้าหล่อนทุกครั้งที่สาวใช้วิ่งมาหา และทุกครั้งก็จะจบลงด้วยการที่เธอต้องเป็นคนไปกำราบ คนไข้ จอมดื้อรั้นและเอาแต่ใจที่สุดอย่าง ธีรดล ลูกชายของ คุณนรา นายจ้างที่มีพระคุณต่อเธอมาก และท่านก็รักและเอ็นดูเธอมากๆ เรียกได้ว่าเป็นเสมือนหนึ่งลูกสาวของคุณนรานับตั้งแต่ก้าวเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของท่าน ด้วยการชักชวนของ วิกานดา สาวรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน ภรรยาของ ธีร์ ธีรเทพ พี่ชายคนโตของตระกูล ลูเซียโน่ เฉิน ซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้าน จนเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณนรา ไปโดยปริยาย ก่อนหน้านี้เธอมีหน้าที่ดูแลคุณนราในฐานะพยาบาลประจำตัวของท่าน แต่เมื่อต้นปีก่อนลูกชายคนเล็กของคุณนราประสบอุบัติเหตุที่ประเทศอิตาลี อาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน และผลพวงจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ ธีรดลขาหักทั้งสองข้างและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานกว่าอาการโดยรวมจะหายดี แต่เขาไม่สามารถเดินได้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเดิน และไม่ยอมทำกายภาพบำบัด คุณนราจึงให้ลูกชายค
ตอนที่2.“หูไม่ได้แตกและได้ยินทุกคำ” “ได้ยินแล้วยังจะมายุ่งอีก” “ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะนี่คือหน้าที่ของฉัน เอาล่ะอย่าพูดมาก มากินข้าวได้แล้วค่ะ” หญิงสาวไม่สนใจท่าทางเหมือนเด็กสามขวบของเขาแต่ตักข้าวมาตรงปากของเขา “อ้าปากสิคะ” วาสิฏฐีบอกพร้อมด้วยสีหน้าขึงขัง ธีรดลตวัดสายตาคมเข้มมองอย่างไม่ชอบใจ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเจ้าปั้นแต่งแดงก่ำด้วยความกราดเกรี้ยว หากเป็นคนอื่นคงกลัวจนหัวหด แต่ขอโทษ ไม่ใช่เธอแน่นอน วาสิฏฐีฉีกยิ้มหวานให้เขา“กินเองไม่ได้ก็ต้องป้อนไงคะ คุณหนูธีม...”นอกจากไม่กลัวแล้วยังมีหน้าใจกล้ายั่วแหย่เขาอีก ธีรดลมองเธอตาขุ่นเข้ม “ไม่ต้องมายุ่ง” “ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะคุณเป็นคนไข้ของฉัน” “คุณราวีคนไข้ไม่เลิกแบบนี้ทุกคนเลยรึไง” “อะไรกันคุณ นี่เขาเรียกว่าดูแลเอาใจใส่คนไข้อย่างดีต่างหากล่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างจนตาหยีไม่ยี่หระต่อสายตาขวางๆ ของเขา “เอ้า อ้าปาก กินข้าวเสียทีสิคะ จะได้กินยา ฉันมีอย่างอื่นต้องทำต่อ ไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กที่จะต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำคุณทั้งวัน”“ฉันไม่กิน และฉันก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ”“เฮ๊อะทำตัวยิ่งกว่าเด็กสามขวบอีก” หญิงสาวพูดเบาๆ พลางย่นจมูกใส่เขา ธีรดลเห็นท่าท
ตอนที่3.พูดจบเธอก็ยัดกระดาษตารางการทำกายภาพบำบัดใส่มือของเขาแล้วเดินหนีไปอย่างไม่ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวของคนไข้จอมเอาแต่ใจ สนใจทำไมล่ะ ในเมื่อสิทธิ์ในการดูแลรักษาเขานั้นอยู่ในกำมือเธอทั้งหมด และคนที่กุมอำนาจสูงสูดในบ้านก็เป็นพวกเดียวกันกับเธอ คนที่จะต้องยอมก็คือธีรดลต่างหาก หญิงสาวยิ้มอย่างได้ใจและไปบอกข่าวนี้แก่คุณนรา สองสาวต่างวัยต่างหัวเราะชอบใจกับแผนการของพวกตนที่กำลังจะลุล่วงด้วยดีในขณะที่ธีรดลมองตามหลังหญิงสาวไปอย่างโมโหฉุนเฉียวที่วิสฏฐีไม่ยอมตามใจเขา เป็นเขาที่ต้องทำตามที่เจ้าหล่อนต้องการ นี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลย คนที่เคยเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง เป็นผู้คุมเกมมาเสมอเริ่มรับไม่ได้และอยากจะยอมรับความพ่ายแพ้นี้“ยายตัวแสบ คิดว่าจะชนะฉันได้เหรอ หึ.. คอยดูเถอะ ฉันทำกายภาพบำบัดจนเดินเองได้เมื่อไหร่ เธอเสร็จฉันแน่ จะเอาคืนให้สาสมเลย” ชายหนุ่มหมายมาดในใจ และตั้งมั่นเพื่อจะเอาชนะวาสิฏฐีให้ได้ แล้วการฝึกทำกายภาพวันแรกผ่านไปด้วยดีจนน่าแปลกใจ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปทุกอย่างก็ดีราวปาฏิหาริย์ แม้คนไข้ของเธอจะดื้อดึงบ้าง แต่ทุกออย่างก็ผ่านไปด้วยดี คนไข้ของเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนน่าแปลกใจเลยทีเดีย
ตอนที่4.“เธอนี่มันปากกล้าจริงๆ ไม่รู้เป็นพยาบาลได้ยังไง ซื้อใบประกอบวิชาชีพมารึเปล่า” “อ้าวคุณ พูดแบบนี้หมิ่นประมาทกันชัดๆ เลยนะคะเนี่ย ไม่ดี ไม่เอาไม่พูด”หญิงสาวทำหน้าทะเล้นไม่ได้สนใจหรือสะทกสะท้านกับคำพูดของเขา ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ระวังไม่ให้เขาเดินสะดุดล้ม “หึ.. ถ้าอย่างนั้นก็คงติดสินบนครูผู้สอนจนจบมาได้ ฉันเคยได้ยินมาว่าบางคนเอาเหล้าขาวหนึ่งขวด กับไก่ต้มหนึ่งตัว หรือไม่ก็หัวหมูหนึ่งหัวไปให้ เขาก็ให้ผ่านแล้ว”วาสิฏฐีหัวเราะก๊ากกับคำเปรียบเปรยของชายหนุ่ม นี่เขาไปจำมาจากไหนกันเนี่ย “โอ๊ย คุณ.. คุณนี่ไทยแท้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าไปอยู่อิตาลีตั้งแต่เด็กๆ ถามจริงๆ ไปจำไอ้เรื่องพวกนี้มาจากไหน วงเหล้าไหนเขาโม้ให้ฟัง”ธีรดลขึงตามองคนที่สูงเพียงไหล่กว้างของตนอย่างหมั่นไส้ อารมณ์ที่เดือดปุดๆ อยู่แล้ว ดูเหมือนจะเดือดยิ่งขึ้นไปอีก“นี่เธอ พูดมากจริง มีใครเคยบอกเธอมั้ย” “มีเยอะแยะไป คนไข้บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนตัวพยาบาลเลยก็มี” หญิงสาวยอมรับหน้าตาเฉย “หน้ามึนหน้าด้าน” “โอ้โห.. นี่คุณ ปากจัดกว่าผู้หญิงอีกนะเนี่ย ข้าน้อยนับถือๆ”วาสิฏฐียังมีแก่ใจจะยั่วโมโหเขาขณะช่วยประคองเขาเดินไปตาม
ตอนที่3.พูดจบเธอก็ยัดกระดาษตารางการทำกายภาพบำบัดใส่มือของเขาแล้วเดินหนีไปอย่างไม่ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวของคนไข้จอมเอาแต่ใจ สนใจทำไมล่ะ ในเมื่อสิทธิ์ในการดูแลรักษาเขานั้นอยู่ในกำมือเธอทั้งหมด และคนที่กุมอำนาจสูงสูดในบ้านก็เป็นพวกเดียวกันกับเธอ คนที่จะต้องยอมก็คือธีรดลต่างหาก หญิงสาวยิ้มอย่างได้ใจและไปบอกข่าวนี้แก่คุณนรา สองสาวต่างวัยต่างหัวเราะชอบใจกับแผนการของพวกตนที่กำลังจะลุล่วงด้วยดีในขณะที่ธีรดลมองตามหลังหญิงสาวไปอย่างโมโหฉุนเฉียวที่วิสฏฐีไม่ยอมตามใจเขา เป็นเขาที่ต้องทำตามที่เจ้าหล่อนต้องการ นี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลย คนที่เคยเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง เป็นผู้คุมเกมมาเสมอเริ่มรับไม่ได้และอยากจะยอมรับความพ่ายแพ้นี้“ยายตัวแสบ คิดว่าจะชนะฉันได้เหรอ หึ.. คอยดูเถอะ ฉันทำกายภาพบำบัดจนเดินเองได้เมื่อไหร่ เธอเสร็จฉันแน่ จะเอาคืนให้สาสมเลย” ชายหนุ่มหมายมาดในใจ และตั้งมั่นเพื่อจะเอาชนะวาสิฏฐีให้ได้ แล้วการฝึกทำกายภาพวันแรกผ่านไปด้วยดีจนน่าแปลกใจ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปทุกอย่างก็ดีราวปาฏิหาริย์ แม้คนไข้ของเธอจะดื้อดึงบ้าง แต่ทุกออย่างก็ผ่านไปด้วยดี คนไข้ของเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนน่าแปลกใจเลยทีเดีย
ตอนที่2.“หูไม่ได้แตกและได้ยินทุกคำ” “ได้ยินแล้วยังจะมายุ่งอีก” “ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะนี่คือหน้าที่ของฉัน เอาล่ะอย่าพูดมาก มากินข้าวได้แล้วค่ะ” หญิงสาวไม่สนใจท่าทางเหมือนเด็กสามขวบของเขาแต่ตักข้าวมาตรงปากของเขา “อ้าปากสิคะ” วาสิฏฐีบอกพร้อมด้วยสีหน้าขึงขัง ธีรดลตวัดสายตาคมเข้มมองอย่างไม่ชอบใจ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเจ้าปั้นแต่งแดงก่ำด้วยความกราดเกรี้ยว หากเป็นคนอื่นคงกลัวจนหัวหด แต่ขอโทษ ไม่ใช่เธอแน่นอน วาสิฏฐีฉีกยิ้มหวานให้เขา“กินเองไม่ได้ก็ต้องป้อนไงคะ คุณหนูธีม...”นอกจากไม่กลัวแล้วยังมีหน้าใจกล้ายั่วแหย่เขาอีก ธีรดลมองเธอตาขุ่นเข้ม “ไม่ต้องมายุ่ง” “ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะคุณเป็นคนไข้ของฉัน” “คุณราวีคนไข้ไม่เลิกแบบนี้ทุกคนเลยรึไง” “อะไรกันคุณ นี่เขาเรียกว่าดูแลเอาใจใส่คนไข้อย่างดีต่างหากล่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างจนตาหยีไม่ยี่หระต่อสายตาขวางๆ ของเขา “เอ้า อ้าปาก กินข้าวเสียทีสิคะ จะได้กินยา ฉันมีอย่างอื่นต้องทำต่อ ไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กที่จะต้องมานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำคุณทั้งวัน”“ฉันไม่กิน และฉันก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ”“เฮ๊อะทำตัวยิ่งกว่าเด็กสามขวบอีก” หญิงสาวพูดเบาๆ พลางย่นจมูกใส่เขา ธีรดลเห็นท่าท
ตอนที่1.วาสิฏฐี ถอนใจไม่รู้เป็นรอบที่เท่าแล้วของวันหลังจากที่คนรับใช้ต่างวิ่งกระหืดกระหอบมาหาตนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่น จนเธอต้องทั้งปลอบและให้กำลังใจพวกเจ้าหล่อนทุกครั้งที่สาวใช้วิ่งมาหา และทุกครั้งก็จะจบลงด้วยการที่เธอต้องเป็นคนไปกำราบ คนไข้ จอมดื้อรั้นและเอาแต่ใจที่สุดอย่าง ธีรดล ลูกชายของ คุณนรา นายจ้างที่มีพระคุณต่อเธอมาก และท่านก็รักและเอ็นดูเธอมากๆ เรียกได้ว่าเป็นเสมือนหนึ่งลูกสาวของคุณนรานับตั้งแต่ก้าวเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของท่าน ด้วยการชักชวนของ วิกานดา สาวรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน ภรรยาของ ธีร์ ธีรเทพ พี่ชายคนโตของตระกูล ลูเซียโน่ เฉิน ซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้าน จนเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณนรา ไปโดยปริยาย ก่อนหน้านี้เธอมีหน้าที่ดูแลคุณนราในฐานะพยาบาลประจำตัวของท่าน แต่เมื่อต้นปีก่อนลูกชายคนเล็กของคุณนราประสบอุบัติเหตุที่ประเทศอิตาลี อาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน และผลพวงจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้ ธีรดลขาหักทั้งสองข้างและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานกว่าอาการโดยรวมจะหายดี แต่เขาไม่สามารถเดินได้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเดิน และไม่ยอมทำกายภาพบำบัด คุณนราจึงให้ลูกชายค