“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะยกเขาให้เธอนะ” หนิงชิงเสว่หัวเราะเบา ๆ"’งั้นเธอหมายความว่า?" จู่ๆ ฉินปิงเยว่ก็ถามอย่างสงสัย“เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ชอบฉู่เฉินเหรอ จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ฉันยังมีพี่สาวอีกหกคน พวกเราได้สัญญากันไว้ตั้งแต่ยังเด็กว่า พวกเราทุกคนจะแต่งงานกับเสี่ยวเฉิน”ทันทีที่คำพูดจบ ฉินปิงเยว่ก็ตาโตทันที“คนเจ็ดมีสามีคนเดียวกัน นี่... เป็นไปได้ยังไง…” ฉินปิงเยว่ตกตะลึงมากจนพูดไม่ออก“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ปิงเยว่ แม้ว่าเธอจะเป็นคนธรรมดา แต่เธอได้เห็นความสง่างามของพวกนักสู้ เธอควรเข้าใจว่าคนอย่างเสี่ยวเฉินไม่สามารถใช้กฏสามีเดียว-ภรรยาในทางโลกได้”คำพูดของหนิงชิงเสว่ทำลายมุมมองของฉินปิงเยว่ทันทีใช่แล้ว ปรมาจารย์ฉู่เป็นคนเช่นนี้ ดังนั้นจะมองในมุมมองของเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ ฉินปิงเยว่ก็ตระหนักว่าหนิงชิงเสว่หมายถึงอะไร และถามด้วยน้ำเสียงลังเล: "เธอหมายถึง เธออยากให้ฉันเป็นภรรยารองเหรอ?"จิตใจของฉินปิงเยว่เต็มไปด้วยภาพจากละครโบราณในโทรทัศน์“ฮ่าๆ ปิงเยว่ ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น ฉันแค่หมายความว่าหากพวกเราทุกคนจะแต่งงานกับคุณฉู่ ก็ยังคงเป็นพี่น้องกันอยู่
ฉู่เฉินคิดเป็นพันครั้ง คาดไม่ถึงว่าฉินปิงเยว่จะพูดคำเช่นนี้ต่อหน้าเขาเช่นเดียวกับที่ฉู่เฉินยังต้องเรียบเรียงคำพูด และเตรียมคิดหาวิธีตอบฉินปิงเยว่ฉินปิงเยว่ไม่เพียงแต่เดินเข้าไปหาฉู่เฉินเท่านั้น แต่ยังถอดเสื้อผ้าของเธอออกทีละชิ้นอีกด้วย“คุณหนูฉิน อย่าทำแบบนี้เลย” ฉู่เฉินรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วอามาคลุมให้ฉินปิงเยว่“คุณฉู่ คุณจะปฏิเสธฉันเหรอ?” ใบหน้าของฉินปิงเยว่เปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะที่เธอมองฉู่เฉินอย่างเขินอาย"ไม่ ผม..."“ในเมื่อคุณฉู่ไม่ได้รังเกียจฉัน ตราบใดที่ร่างกายของฉันสามารถช่วยคุณฉู่ได้ ฉัน... ฉันก็เต็มใจ”ฉินปิงเยว่ก้มศีรษะลงและกัดริมฝีปากแน่น กลัวที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาของฉู่เฉิน“ยิ่งกว่านั้น ปรมาจารย์ฉู่ ฉันหลงรักคุณตั้งแต่คุณมาที่ตระกูลฉิน หลังจากรู้ว่าคุณหมั้นกับชิงเสว่ ฉันก็เสียใจมาตลอด”“ต่อมาฉันได้ยินมาว่าคุณหย่าง ฉันเลยรู้ว่าฉันมีโอกาส เมื่อกี้ชิงเสว่ก็บอกฉันว่าเธอไม่รังเกียจถ้าจะมีฉันเพิ่มมาอีกสักคนด้วย ดังนั้นฉู่เฉิน ฉันชอบคุณ ฉันชอบคุณมานานมากแล้ว คุณชอบฉันไหม?”ฉินปิงเยว่คว้ามือของฉู่เฉินซึ่งกำลังเอาเสื้อผ้าไว้มาคลุมร่างของเธอ และระบายความรู้สึกของเธอ
เมื่อฉู่เฉินและชิงหลงมาถึงทางเข้าดินแดนเร้นลับแล้ว ก็พบว่ามีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่สมาชิกจากตระกูลใหญ่ๆ ของเมืองหลวงที่ตั้งใจจะเข้าสู่ดินเเดนเร้นลับก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ทั้งหมด ฉู่เฉินจำใบหน้าได้สองสามหน้าในหมู่ฝูงชน รวมถึงฉินหยวนไถจากตระกูลฉินและเหยียนอู๋ซวงจากตระกูลเหยียน นอกจากนี้ยังมีนักสู้อิสระจำนวนมาก แต่ทุกคนที่อยู่ในที่นี่ ล้วนแต่เป็นระดับมหากาฬ ซึงไม่มีใครที่อยู่ในระดับปรมาจารย์เลย ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในวัยสามสิบกันทั้งนั้นเมื่อเห็นการมาถึงของชิงหลงและฉู่เฉิน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในขณะนี้ ฉู่เฉินได้สวมหน้ากากที่เหยียนอู๋ซวงมอบให้ เพื่อซ่อนตัวจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ และเขายังเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เรียบง่ายและไม่เป็นจุดสนใจอีกด้วยแน่นอนว่าไม่มีใครจำเขาได้ ยกเว้นเหยียนอู๋ซวง ซึ่งดูเหมือนจะรู้ถึงตัวตนของฉู่เฉิน และพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยฉู่เฉินตอบกลับอย่างลับๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แสงก็ส่องขึ้นมาจากขอบฟ้าทันใดนี้น ร่างทั้งสี่ร่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า คนลึกลับสี่คนลอยอยู่ในอากาศ เปล่งรัศมีที่อธิบายไม่ได้ออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาม
สามัคคีกันไว้ ฉู่เฉินอยากจะหัวเราะเมื่อได้ยินเข้า ถ้าสามัคคีกันได้ ก็คงทำกันไปนานแล้วถ้าไม่ได้ต่อสู้กันจนตัวตายอยู่ข้างใน ก็เป็นเรื่องปกติเมื่อได้สัญญาณให้เข้าไป คนส่วนใหญ่ลังเลและมองซ้ายมองขวาไม่ได้สนใจคนที่อยู่รอบข้าง ฉู่เฉินก้าวเท้าออกมาเป็นคนแรกเข้าสู่หลุมดำ โดยเชื่อว่าดินแดนเร้นลับที่ถูกเปิดโดยบุคคลที่แข็งแกร่งทั้งสี่ ไม่ใช่อะไรที่เป็นการหลอกลวงแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวลขณะที่ท้องฟ้าหมุนไปรอบๆ เมื่อฉู่เฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็อยู่ในโลกใบเล็กอีกใบหนึ่งแล้วสถานที่อันเงียบสงบ คลื่นทรายลอยซัดขึ้นมา และเป็นเวลาพลบค่ำพอดี ฉู่เฉินมองไปรอบๆ และข้างหลังเขานั้น จู่ๆ ชิงหลงก็ปรากฏตัวขึ้น ดูเหมือนว่าชิงหลงจะตามเขาเข้าไปในหลุมดำ จึงพยักหน้าไปทางชิงหลงเและทั้งสองก็มองไปรอบๆ ด้วยกันโลกนี้ที่นี่มีขนาดใหญ่จนน่าประหลาดใจ แตกต่างอย่างมากจากดินแดนเร้นลับที่ฉู่เฉินเคยได้สัมผัสมาก่อนแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยฝุ่นและความแห้งแล้ง แต่พลังจิตวิญญาณก็หนาแน่นมากกว่าในดินแดนเร้นลับทั่วไปมาก หากผู้ใดมาบำเพ็ญเพียรที่นี่เป็นระยะยาว จะพัฒนาเร็วกว่าในดินแดนลี้ลับของนิกายแพทย์ซวนเทียนเสียอีก พลังจ
"ฮะ?"ฉู่เฉินสัมผัสอย่างระมัดระวังมีหนึ่งตนที่ดูเกือบเหมือนจะเป็นมนุษย์ ยกเว้นหูที่แหลมยาว หน้าตาหล่อเป็นพิเศษและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา รายล้อมไปด้วยกลุ่มคน ตาคนอื่นๆ ดูเหมือนคนดึกดำบรรพ์ ซึ่งลากสัตว์ป่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลายตัวด้วยเกวียนไปข้างหลังฉู่เฉินซ่อนกลิ่นอาย ทำตัวเหมือนคนธรรมดา ขณะที่หยุดอยู่ริมถนนไม่นานนัก กลุ่มนี้ก็เข้ามาใกล้ฉู่เฉิน และเมื่อเห็นเขา พวกเขาก็กระซิบกันเอง คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำ ก็เดินเข้ามาและพูดด้วยภาษามนุษย์“น้องชาย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ในเวลากลางคืน จะมีอสูรออกเดินเตร่ ดูจากระดับวรยุทธของเจ้าแล้ว เจ้าดูไม่เหมือนปรมาจารย์เลยนะ ข้าขอแนะนำให้เจ้ากลับไปที่เผ่าของเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ เถอะ” เขาแนะนำอย่างใจดีที่แท้ก็เป็นพวกชนเผ่า!เป็นไปได้ไหมว่าโลกนี้ยังอยู่ในยุคหินใหม่?ฉู่เฉินคิดแผนการในใจก่อน จากนั้นพูดว่า: "พูดตามตรง ข้าออกไปล่าสัตว์กับพวกพี่ชาย และถูกลมพัดมาที่นี่อย่างอธิบายไม่ได้ สงสัยว่าข้าจะหลงทางเสียแล้ว" ฉู่เฉินมองไปที่ขบวนซึ่งส่วนใหญ่มีอุปกรณ์ของนักล่า“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง เจ้ามาจากไหนล่ะน้องชาย เจ้าเป็นคนเผ่าไหนกัน?” ชาย
สถานการณ์ในชนเผ่าก็เป็นเหมือนกัน ค่อนข้างหายากที่จะมีปรมาจารย์ที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นบางชนเผ่าที่ไม่มีบุคคลทรงพลัง จึงจำเป็นต้องเลือกที่จะถวายเครื่องบัญชาการให้แก่คนที่แข็งแกร่งกว่าจากชนเผ่าอื่น เพื่อมาคอยคุ้มครองและปกป้องชนเผ่าของตนเอง แต่ความแข็งแกร่งของผู้พิทักษ์เหล่านี้แตกต่างกันอย่างมาก“น้องฉู่เฉิน ข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ ด้วยอายุที่น้อย ขนาดนี้ เจ้าก็ได้ออกไปล่าสัตว์กับชนเผ่าแล้ว” ชายคนนั้นพูดด้วยความเชื่อที่ว่า ฉู่เฉินนั้นเป็นคนธรรมดาเหมือนกับรูปลักษณ์ และคิดว่าฉู่เฉินเพียงแค่ติดตามปรมาจารย์ของชนเผ่าออกมา เพื่อหาสั่งสมประสบการณ์ฉู่เฉินเดินตามไปและตอบ: “มันไม่มีทางเลือกน่ะ พี่เฉิน พวกข้าเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ พวกเราต้องทำเช่นนี้เพื่อความอยู่รอด”จากการสนทนา ฉู่เฉินได้รู้ว่าชายคนนั้นชื่อเฉินปังตลอดระยะเวลาที่ได้พูดคุยกัน จึงได้รู้ว่าคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเร้นลับนั้น อาศัยการล่าสัตว์และสัตว์ประหลาดเป็นอาหาร และในขณะเดียวกัน สัตว์ประหลาดก็ล่ามนุษย์ เพื่อกินเช่นกันในที่สุดก็เดินผ่านป่า ฉู่เฉินก็เห็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และเมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนมันจะสูงจน
บนต้นไม้ใหญ่ เอลฟ์รัตติกาลกำลังจับตามองอย่างไม่ละสายตา ซึ่งเป็นเอลฟ์รัตติกาลตนเดียวกับที่เคยพบมาก่อน โดยที่กำลังสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขาแน่นอนว่า แม้ว่าเขาจะติดตามชนเผ่านี้ไปโดยที่เอลฟ์ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงลอบสังเกตตัวเขาในความมืดและไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ถูกสะกดเอาไว้เมื่ออยู่ในดินแดนเร้นลับ โดยมีระยะการรับรู้น้อยกว่าในต้าเซี่ยครึ่งหนึ่ง เมื่อฉู่เฉินรับรู้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์บนต้นไม้ เขาสัมผัสได้ว่ามีสถานที่หนึ่งบนยอดต้นไม้ ที่เขาเองก็ไม่สามารถสัมผัสได้สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วยจิตใจที่หนักหน่วง ฉู่เฉินบอกราตรีสวัสดิ์เฉินปัง เตรียมที่จะนอนหลับเหมือนคนปกติ เนื่องจากเขาแสร้งทำเป็นคนธรรมดา เขาจึงต้องทำตัวเหมือนคนธรรมดาให้แนบเนียนมากที่สุดแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณก็ตามจนกระทั่งกลางดึก ฉู่เฉินสัมผัสได้ว่าเอลฟ์ค่อยๆถอยออกไป จะอึดอะไรขนาดนี้ จากนั้นฉู่เฉินก็ผ่อนคลายลงได้มีบางสิ่งที่เขาต้องถามเหยาหลิงเฉิน“ผู้อาวุโส คุณช่วยตรวจสอบที่นั่นได้ไหม?” ฉู่เฉินถามในใจ“ฉันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน!”ฉู่เฉินรู้สึกประหลาดใจอย่
เมื่อได้ยินว่าฉู่เฉินกับคนนี้รู้จักกัน คนกลุ่มนั้นที่กำลังล้อมนับสิบคนก็ลดความระมัดระวังลงเฉินปังยังคงถามต่อ: “พวกเจ้าสองคนมาจากเผ่าเดียวกันเหรอ? แล้วก็บังเอิญเจอกันที่นี่?”“ใช่ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกรึ? พี่เฉิน ข้าต้องขอบคุณจริงๆ ถ้าท่านไม่พาข้ามาที่นี่ ข้าคงไม่ได้พบกับพี่หวังไคอีกแล้วแน่นอน” ฉู่เฉินตอบ แสดงละครออกมาแล้วก็ต้องไปให้สุด“พี่เฉิน ท่านคือผู้มีพระคุณของฉันจริงๆ ถ้าไม่ใช้เพราะท่านพาข้ามาที่นี่ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร และถ้าไม่ได้พี่หวังไคคอยดูแล ข้าก็คงไม่สามารถกลับไปยังเผ่าของข้าได้อย่างปลอดภัย…” ฉู่เฉินยังคงพูดต่อ โดยอธิบายอย่างละเอียดว่าชนเผ่าของพวกเขาไปล่าสัตว์แล้วพลัดหลงกันได้อย่างไรดังนั้น ด้วยคำอธิบายจากใจจริงของฉู่เฉิน เรื่องที่แต่งขึ้นมากลับดูสมจริง และฉู่เฉินเองก็เกือบจะเชื่อในโกหกของตัวเองเช่นกันในที่สุดเอลฟ์รัตติกาลก็ลดระดับการป้องกันลงชั่วคราว จากนั้นบินทยานขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่และหายไป ฉู่เฉินก็รู้ได้เลยว่าสถานการณ์ตึงเครียดนั้นได้จบลงแล้วเต็นท์ของเฉินปังไม่สามารถรองรับได้ทั้งฉู่เฉินและพี่ชายหวังไค เฉินปังจึงหาเต็นท์ว่างให้พวกเขาพักค้างคืนช่วงกลาง