มีคนตบหน้าตัวเองด้วยฝามือชายร่างกำยำไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า และตบหน้าตัวเองให้ตื่นความเจ็บปวดบนใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ได้กำลังฝันไปขณะที่ฉู่เฉินวางบาร์เบลลงแล้วเดินไป ชายร่างกำยำก็ถอยหลังกลับไป“นายต้องขอโทษเดี๋ยวนี้!” ฉู่เฉินพูดเบา ๆ“ขะ... ขอโทษ ฉันเข้าใจนายผิดไป” ชายร่างกำยำรู้ดีว่า ถ้าไม่ขอโทษ คนที่แข็งแกร่งคนนั้น แค่ปล่อยหมัดออกมาส่งๆ เขาอาจจะตายหรือได้รับบาดเจ็บสาหัดก็ได้ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับคนคนนี้ แต่ตอนนี้รู้ว่าความคิดนั้นโง่เขลาเพียงใดฉู่เฉินเห็นว่าชายร่างกำยำได้ขอโทษแล้ว ก็เลยไม่ได้บีบคั้นไปกว่านี้ ยังไงซะที่นี่ยังคงเป็นร้านเฉินเฟยอวิ๋น ฉู่เฉินเดินจากทุกคนไปและเดินออกไปจากที่นี่เมื่อเดินไปตามถนน บางครั้งมีคนมองมาที่เขา และฉู่เฉินก็ตระหนักว่านี่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และเขาก็สวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นมาตลอด ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสื้อผ้าที่เก็บไว้ในจี้มังกรหยกด้วยคงถึงเวลาไปห้างสรรพสินค้าเพื่อช็อปปิ้งแล้วสินะโบกแท็กซี่มาหนึ่งคัน หลังจากนั้นไม่นาน แท็กซี่ก็พาฉู่เฉินไปยังห้างสรรพสินค้า
ทันทีที่พนักงานขายได้ยิน ดวงตาก็เป็นประกายวิบวับขึ้น ตราบใดที่เธอดูแลคนนี้อย่างดี ค่าคอมมิชชันจากการขายเธอในวันนี้ก็จะมากมายมหาศาลดังนั้นจึงเริ่มเคลียร์ร้านทันทีการเคลียร์ร้านหมายความว่านอกจากพวกเขาทั้งคู่แล้ว ก็มีคือฉู่เฉินอีกคนพนักงานขายที่ดูแลคุณหนูฉีเดินตรงไปหาฉู่เฉิน “คุณคะ ร้านถูกจองแล้ว กรุณาออกไปก่อนค่ะ”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูดได้เสี่ยวเหวินซึ่งอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยขึ้น “พี่ซ่ง สุภาพบุรุษท่านนี้ได้เลือกชุดนี้แล้ว ให้เขาขอลองก่อนออกไปได้ไหม?” เสี่ยวเหวินอ้อนวอนพี่ซ่งเหลือบมองชุดในมือของเสี่ยวเหวิน แล้วมองฉู่เฉินหัวจรดเท้า จากนั้นก็พูดอย่างเหยียดหยาม: “ไม่ต้องลองใส่หรอก ชุดนี้ราคาหกหมื่นบาท ยาจกคนนี้ไม่มีเงินจ่ายหรอก เสี่ยวเหวิน ฉันช่วยเธอไว้และให้เธอฝึกงานที่นี่ด้วย ดังนั้นรีบพาเขาออกไปเลย หรือถ้าคุณหนูฉีโกรธ ฉันคงปกป้องเธอไม่ได้”เมื่อได้ยินชื่อของคุณหนูฉี เสี่ยวเหวินก็เริ่มสับสนแต่ยังคงรวบรวมความกล้าที่จะขอร้อง “พี่ซ่ง ก็แค่ลองชุดเดียว ใช้เวลาไม่นานหรอก”หากขายชุดนี้ไป เธอก็สามารถได้รับค่าคอมมิชชันเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เธอได้แจ้งราคาให้ลูกค้าทราบแล้ว และเขาย
แม้แต่พนักงานขายทั้งสองคนก็ยังอิจฉาอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้แค่พาไปงานวันเกิดด้วย ก็ได้สามารถรับของได้ขนาดนั้น ใครบ้างล่ะที่จะไม่อิจฉา?เรื่องสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนฉู่เฉินพูดอย่างเย็นชา"ไปให้พ้น"ทันทีที่คำพูดพูดออกไป ฉีอันน่าก็ช็อคทันทีพนักงานขายสองคนก็ตกใจเช่นกันผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเลือกที่จะปัดมันทิ้งผู้ชายที่อยู่ข้างๆ คุณหนูฉีตะโกนด้วยเสียงที่แหบเหมือนเป็ด: "เจ้าหนู แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกกำลังคุยกับใครอยู่ ท่านนี้คือลูกสาวที่สามของตระกูลฉีแห่งเมืองหลวง และมีฐานะไม่เหมือนคนธรรมดา ซึ่งด้วยฐานนะนี้คนธรรมดายังไม่กล้าสบตาด้วยเลย กล้าดียังไงมาดูหมิ่นเธอขนาดนี้ แกยังอยากมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลวงอยู่หรือเปล่า?”ชายคนนั้นดูโกรธมากกว่าฉีอันน่า“นี่มันไร้สาระ หากนายต้องการลดตัวลงมา นั่นก็เป็นเรื่องของนาย อย่าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนนาย” ฉู่เฉินพูด โดยไม่ให้โอกาสทั้งสองคนโต้ตอบ แค่เดินผ่านพวกเขาและไปหาพนักงานขายเสี่ยวเหวิน“เอาแค่เสื้อผ้าแบบนี้ ใส่ถุงมาสิบชุด”"ฮะ!"เสี่ยวเหวินรู้สึกสับสน“มีไม่พอเหรอ?” ฉู่เฉินถามด้วยความงุนงง“มีค่ะ… ฉันจะเตรียมให้คุณ
เมื่อกลับมาที่โรงฝึก เฉินเฟยอวิ๋นก็กลับมาแล้ว ตอนที่เห็นฉู่เฉินก็รีบเชิญเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วด้วยความเคารพบนชั้นสอง ลูกศิษย์สองคนของเฉินเฟยอวิ๋นก็ได้สติกลับมาแล้ว แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะยังคงฟกช้ำอยู่ แต่กำลังภายในของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงการพัฒนาขึ้น ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อฉู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นเขา ไม่เพียงแต่เรียกเขาด้วยความเคารพว่า ปรมาจารย์เท่านั้น แต่ยังเสิร์ฟชาให้เขาอย่างไม่เขินอาย“พูดมา นายเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่เฉินไล่ศิษย์ทั้งสองคนออกไป แล้วถามเฉินเฟยอวิ๋นเฉินเฟยอวิ๋นดูละอายใจและลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดตามความจริง“ปรมาจารย์ฉู่ วันนี้ฉันได้ไปที่ตระกูลเหยียน แต่ก่อนที่ฉันจะเข้าไปได้ ตระกูลเหยียนก็ขังฉันไว้ข้างนอก หลังจากนั้นก็ถูกตระกูลเหยียนขับไล่ออกมา”เมื่อมาถึงจุดนี้ เมื่อเห็นใบหน้าของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา เฉินเฟยอวิ๋นก็รีบพูดเพิ่มเติมเข้ามาว่า“แม้ว่าวันนี้ฉันจะเข้าประตูตระกูลเหยียนไม่ได้ แต่ฉันก็ได้รับคำเชิญไปงานเลี้ยงของตระกูลฉีในวันพรุ่งนี้”เฉินเฟยอวิ๋นมีท่าทางภาคภูมิใจ หยิบการ์ดเชิญที่มีลายนูนสีทองออกมา"ฉั
การมาถึงของฉู่เฉินไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนในงาน เขาหยิบแก้วไวน์ถาดของพนักงานเสิร์ฟ แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งเพื่อรอการมาถึงของพระเอกในงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆขณะที่ฉู่เฉินต้องการเก็บตัวเงียบๆ แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น“ไม่คาดคิดว่าแกจะแอบเข้ามาด้วย เมื่อวานแกดูถูกเหยียดหยามไว้มากไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมวันนี้แกถึงเสนอหน้ามาอยู่ที่นี่อย่างหน้าด้านๆ ได้ล่ะ?”กลุ่มชายสามคน คนหนึ่งสังเกตเห็นฉู่เฉินและพูดจาถากถางเขาเสียงดังฉู่เฉินหันกลับไปและเห็นว่าเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เจอในห้างสรรพสินค้าเมื่อวานนี้ฉู่เฉินไม่อยากสนใจ และเตรียมที่จะเดินจากไป“พี่หมิง เขาคือใครกัน ถึงจู่ๆ ต้องไปสนใจเขาด้วย?”“ใช่แล้ว พี่หมิง ตอนนี้พี่รับการไว้วางใจคุณหนูฉีและอนาคตของพี่ก็โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว หากพี่ได้ดิบได้ดีแล้ว อย่าลืมพวกน้องๆ นะ”เมื่อเห็นเช่นนี้ พรรคพวกสองคนก็ก้าวไปข้างหน้า เพื่อขวางทางฉู่เฉินทันที“ไอ้หนู พี่หมิงกำลังคุยกับแกอยู่ รีบตอบเร็วเข้า”ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม : "นายไม่ได้บอกพวกลูกกระจ๊อกของนายเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้? ฉันอยู่ที่นี่นายก็ยังไม่
"ไปให้พ้น!"ฉู่เฉินหลบและพูดสองคำนี้อย่างไม่แยแสท่าทางนี้ได้ทำให้รอยยิ้มออกจากใบหน้าของฉีอันน่าทันที ซึ่งจากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ "นายไม่มาหาฉันเหรอ?"“เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันถึงมาที่นี่เพราะเธอ หยุดเพ้อเจ้อสักที”เมื่อเห็นว่าฉีอันน่ายังคงพยายามเกาะแกะ ฉู่เฉินจึงเตรียมที่จะเดินผ่านเธอไป“รู้ไหมว่านี่คือที่ไหน เมื่อวานอยู่ที่ห้าง วันนี้ฉันอยู่บ้าน กล้าดียังไงมาทำให้ฉันขายหน้าแบบนี้? นายกำลังมองหาที่ตายเหรอ?” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉินเสียงของฉีอันน่าดึงดูดความสนใจของแขกหลายๆ ในงานทันทีชายคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ฉีอันน่าก่อนหน้านี้ก็รีบเข้ามา“เด็กน้อย การได้รับความสนใจจากน้องสามถือเป็นโชคครั้งใหญ่สำหรับแกแล้ว ฉันแนะนำให้แกอย่าเล่นตัวและทำตามที่น้องสามต้องการซะ”ใบหน้าของชายคนนั้นมีสีหน้าสบายๆ โดยทราบดีถึงความชอบของน้องสามจากคำพูดของชายคนนั้น ฉู่เฉินก็ยืนยันว่านี่คือพระเอกของงานเลี้ยง ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉี ฉีอันปังมองไปที่ชายในวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับความแกร่งกล้าของตระกูลฉี โดยที่คนรุ่นเยาว
เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมสามครั้งดังก้อง และเมื่อทุกคนคิดว่าจัดการฉู่เฉินเสร็จแล้วฉู่เฉินพูดอย่างเย็นชา: “ในเมื่อนายมีเรื่องที่ต้องจัดการตอนนี้ ฉันก็จะกลับมาทีหลัง”หลังจากจบแล้ว เขาก็หันหลังกลับพร้อมที่จะออกไป"ฮะ?"ตอนนั้นเองที่ทุกคนสังเกตเห็นว่าไม่ใช่ฉู่เฉินที่ล้มลงกับพื้น แต่เป็นคนของตระกูลฉีทั้งสามคนพวกเขาทั้งหมดหันศีรษะไปมอง“ไอ้หนู แกเป็นใครกันแน่?” ในที่สุดฉีอันปังก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและกระโดดไปข้างหน้า ขวางทางของฉู่เฉินเอาไว้“แกทำให้คนของตระกูลฉีบาดเจ็บและยังมีหน้าจะออกไปอีก? คิดว่ากำลังเล่นตลกอยู่สินะ”พูดจบ ฉีอันปังก็ตะปบไปที่เอวของฉู่เฉินด้วยกรงเล็บ“นายน้อยฉีลงมือด้วยตัวเอง เด็กคนนี้จบสิ้นแล้ว”“ใช่แล้ว ในเมืองหลวง ใครจะไม่รู้ว่ากรงเล็บมังกรของนายน้อยฉีนั้นไร้เทียมขนาดไหน แม้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเอาชนะนักสู้สามคนระดับทะลวงเส้นลมปราณได้ แต่เขาอาจไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าของคนระดับปรมาจารย์ได้”ในขณะที่ทุกคนสงสัยว่าฉู่เฉินสามารถเอาชนะนักสู้ระดับทะลวงเส้นลมปราณสามคนได้อย่างไร เมื่อเห็นนายน้อยฉีลงมือ พวกเขาก็มองที่ฉู่เฉินราวกับว่ามองคนตายร่
ฉู่เฉินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้เช่นกัน และมีสีหน้าเย็นชาในตอนแรก ฉู่เฉินคิดว่าการมาที่นี่เพื่อถามคำถามนั้นค่อนข้างจะกะทันหัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาใจดีเกินไปในขณะนี้ ฉีอันปังก็โจมตีอีกครั้งแววตาของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา แทนที่จะหลบ เขากำหมัดแน่น เมื่อกรงเล็บของฉีอันปังเข้ามาถึงใบหน้า ฉู่เฉินก็สวนหมัดออกไป กระแทกไปที่ฝ่ามือของฉีอันปังโดยตรงสำหรับคนดู เหมือนว่าฉีอันปังจับกำปั้นของฉู่เฉินด้วยกรงเล็บ“เด็กคนนี้เสร็จแล้ว การถูกจับด้วยมือกรงเล็บมังกรของนายน้อยฉี มือของเขาต้องถูกทำร้ายไปแล้วแน่”“ใช่แล้ว แต่เด็กคนนี้ควรจะรู้สึกภูมิใจที่นายน้อยฉี ใช้ถึงสามกระบวนท่าเพื่อจัดการเขา”“แต่เขาต้องเอาชีวิตรอดก่อนถึงจะอวดเรื่องนี้ได้ เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของนายน้อยฉีแล้ว การเอาชีวิตรอดไม่น่าจะเป็นไปได้”นายน้อยหลายคนทั่วทั้งบริเวณกำลังพูดคุยกันเรื่องนี้กันมีเพียงไม่กี่คนในระดับมหากาฬที่สามารถเห็นบางสิ่งผิดปกติ และกำลังจะบินขึ้นไป เพื่อพิสูจน์ความจริงมีลมกระโชกแรงพัดมาแขนของฉีอันปังสลายไปกับสายลมภาพนี้ทำให้ทุกคนตะลึง“อ๊ะ! กล้าดียังไงมาหักแขนฉัน แกตาย แกต้องตาย