แม้แต่พนักงานขายทั้งสองคนก็ยังอิจฉาอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้แค่พาไปงานวันเกิดด้วย ก็ได้สามารถรับของได้ขนาดนั้น ใครบ้างล่ะที่จะไม่อิจฉา?เรื่องสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนฉู่เฉินพูดอย่างเย็นชา"ไปให้พ้น"ทันทีที่คำพูดพูดออกไป ฉีอันน่าก็ช็อคทันทีพนักงานขายสองคนก็ตกใจเช่นกันผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเลือกที่จะปัดมันทิ้งผู้ชายที่อยู่ข้างๆ คุณหนูฉีตะโกนด้วยเสียงที่แหบเหมือนเป็ด: "เจ้าหนู แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกกำลังคุยกับใครอยู่ ท่านนี้คือลูกสาวที่สามของตระกูลฉีแห่งเมืองหลวง และมีฐานะไม่เหมือนคนธรรมดา ซึ่งด้วยฐานนะนี้คนธรรมดายังไม่กล้าสบตาด้วยเลย กล้าดียังไงมาดูหมิ่นเธอขนาดนี้ แกยังอยากมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลวงอยู่หรือเปล่า?”ชายคนนั้นดูโกรธมากกว่าฉีอันน่า“นี่มันไร้สาระ หากนายต้องการลดตัวลงมา นั่นก็เป็นเรื่องของนาย อย่าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนนาย” ฉู่เฉินพูด โดยไม่ให้โอกาสทั้งสองคนโต้ตอบ แค่เดินผ่านพวกเขาและไปหาพนักงานขายเสี่ยวเหวิน“เอาแค่เสื้อผ้าแบบนี้ ใส่ถุงมาสิบชุด”"ฮะ!"เสี่ยวเหวินรู้สึกสับสน“มีไม่พอเหรอ?” ฉู่เฉินถามด้วยความงุนงง“มีค่ะ… ฉันจะเตรียมให้คุณ
เมื่อกลับมาที่โรงฝึก เฉินเฟยอวิ๋นก็กลับมาแล้ว ตอนที่เห็นฉู่เฉินก็รีบเชิญเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วด้วยความเคารพบนชั้นสอง ลูกศิษย์สองคนของเฉินเฟยอวิ๋นก็ได้สติกลับมาแล้ว แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะยังคงฟกช้ำอยู่ แต่กำลังภายในของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงการพัฒนาขึ้น ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อฉู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นเขา ไม่เพียงแต่เรียกเขาด้วยความเคารพว่า ปรมาจารย์เท่านั้น แต่ยังเสิร์ฟชาให้เขาอย่างไม่เขินอาย“พูดมา นายเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่เฉินไล่ศิษย์ทั้งสองคนออกไป แล้วถามเฉินเฟยอวิ๋นเฉินเฟยอวิ๋นดูละอายใจและลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดตามความจริง“ปรมาจารย์ฉู่ วันนี้ฉันได้ไปที่ตระกูลเหยียน แต่ก่อนที่ฉันจะเข้าไปได้ ตระกูลเหยียนก็ขังฉันไว้ข้างนอก หลังจากนั้นก็ถูกตระกูลเหยียนขับไล่ออกมา”เมื่อมาถึงจุดนี้ เมื่อเห็นใบหน้าของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา เฉินเฟยอวิ๋นก็รีบพูดเพิ่มเติมเข้ามาว่า“แม้ว่าวันนี้ฉันจะเข้าประตูตระกูลเหยียนไม่ได้ แต่ฉันก็ได้รับคำเชิญไปงานเลี้ยงของตระกูลฉีในวันพรุ่งนี้”เฉินเฟยอวิ๋นมีท่าทางภาคภูมิใจ หยิบการ์ดเชิญที่มีลายนูนสีทองออกมา"ฉั
การมาถึงของฉู่เฉินไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนในงาน เขาหยิบแก้วไวน์ถาดของพนักงานเสิร์ฟ แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งเพื่อรอการมาถึงของพระเอกในงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆขณะที่ฉู่เฉินต้องการเก็บตัวเงียบๆ แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น“ไม่คาดคิดว่าแกจะแอบเข้ามาด้วย เมื่อวานแกดูถูกเหยียดหยามไว้มากไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมวันนี้แกถึงเสนอหน้ามาอยู่ที่นี่อย่างหน้าด้านๆ ได้ล่ะ?”กลุ่มชายสามคน คนหนึ่งสังเกตเห็นฉู่เฉินและพูดจาถากถางเขาเสียงดังฉู่เฉินหันกลับไปและเห็นว่าเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เจอในห้างสรรพสินค้าเมื่อวานนี้ฉู่เฉินไม่อยากสนใจ และเตรียมที่จะเดินจากไป“พี่หมิง เขาคือใครกัน ถึงจู่ๆ ต้องไปสนใจเขาด้วย?”“ใช่แล้ว พี่หมิง ตอนนี้พี่รับการไว้วางใจคุณหนูฉีและอนาคตของพี่ก็โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว หากพี่ได้ดิบได้ดีแล้ว อย่าลืมพวกน้องๆ นะ”เมื่อเห็นเช่นนี้ พรรคพวกสองคนก็ก้าวไปข้างหน้า เพื่อขวางทางฉู่เฉินทันที“ไอ้หนู พี่หมิงกำลังคุยกับแกอยู่ รีบตอบเร็วเข้า”ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม : "นายไม่ได้บอกพวกลูกกระจ๊อกของนายเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้? ฉันอยู่ที่นี่นายก็ยังไม่
"ไปให้พ้น!"ฉู่เฉินหลบและพูดสองคำนี้อย่างไม่แยแสท่าทางนี้ได้ทำให้รอยยิ้มออกจากใบหน้าของฉีอันน่าทันที ซึ่งจากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ "นายไม่มาหาฉันเหรอ?"“เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฉันถึงมาที่นี่เพราะเธอ หยุดเพ้อเจ้อสักที”เมื่อเห็นว่าฉีอันน่ายังคงพยายามเกาะแกะ ฉู่เฉินจึงเตรียมที่จะเดินผ่านเธอไป“รู้ไหมว่านี่คือที่ไหน เมื่อวานอยู่ที่ห้าง วันนี้ฉันอยู่บ้าน กล้าดียังไงมาทำให้ฉันขายหน้าแบบนี้? นายกำลังมองหาที่ตายเหรอ?” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉินเสียงของฉีอันน่าดึงดูดความสนใจของแขกหลายๆ ในงานทันทีชายคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ฉีอันน่าก่อนหน้านี้ก็รีบเข้ามา“เด็กน้อย การได้รับความสนใจจากน้องสามถือเป็นโชคครั้งใหญ่สำหรับแกแล้ว ฉันแนะนำให้แกอย่าเล่นตัวและทำตามที่น้องสามต้องการซะ”ใบหน้าของชายคนนั้นมีสีหน้าสบายๆ โดยทราบดีถึงความชอบของน้องสามจากคำพูดของชายคนนั้น ฉู่เฉินก็ยืนยันว่านี่คือพระเอกของงานเลี้ยง ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉี ฉีอันปังมองไปที่ชายในวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับความแกร่งกล้าของตระกูลฉี โดยที่คนรุ่นเยาว
เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมสามครั้งดังก้อง และเมื่อทุกคนคิดว่าจัดการฉู่เฉินเสร็จแล้วฉู่เฉินพูดอย่างเย็นชา: “ในเมื่อนายมีเรื่องที่ต้องจัดการตอนนี้ ฉันก็จะกลับมาทีหลัง”หลังจากจบแล้ว เขาก็หันหลังกลับพร้อมที่จะออกไป"ฮะ?"ตอนนั้นเองที่ทุกคนสังเกตเห็นว่าไม่ใช่ฉู่เฉินที่ล้มลงกับพื้น แต่เป็นคนของตระกูลฉีทั้งสามคนพวกเขาทั้งหมดหันศีรษะไปมอง“ไอ้หนู แกเป็นใครกันแน่?” ในที่สุดฉีอันปังก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและกระโดดไปข้างหน้า ขวางทางของฉู่เฉินเอาไว้“แกทำให้คนของตระกูลฉีบาดเจ็บและยังมีหน้าจะออกไปอีก? คิดว่ากำลังเล่นตลกอยู่สินะ”พูดจบ ฉีอันปังก็ตะปบไปที่เอวของฉู่เฉินด้วยกรงเล็บ“นายน้อยฉีลงมือด้วยตัวเอง เด็กคนนี้จบสิ้นแล้ว”“ใช่แล้ว ในเมืองหลวง ใครจะไม่รู้ว่ากรงเล็บมังกรของนายน้อยฉีนั้นไร้เทียมขนาดไหน แม้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเอาชนะนักสู้สามคนระดับทะลวงเส้นลมปราณได้ แต่เขาอาจไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าของคนระดับปรมาจารย์ได้”ในขณะที่ทุกคนสงสัยว่าฉู่เฉินสามารถเอาชนะนักสู้ระดับทะลวงเส้นลมปราณสามคนได้อย่างไร เมื่อเห็นนายน้อยฉีลงมือ พวกเขาก็มองที่ฉู่เฉินราวกับว่ามองคนตายร่
ฉู่เฉินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้เช่นกัน และมีสีหน้าเย็นชาในตอนแรก ฉู่เฉินคิดว่าการมาที่นี่เพื่อถามคำถามนั้นค่อนข้างจะกะทันหัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาใจดีเกินไปในขณะนี้ ฉีอันปังก็โจมตีอีกครั้งแววตาของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา แทนที่จะหลบ เขากำหมัดแน่น เมื่อกรงเล็บของฉีอันปังเข้ามาถึงใบหน้า ฉู่เฉินก็สวนหมัดออกไป กระแทกไปที่ฝ่ามือของฉีอันปังโดยตรงสำหรับคนดู เหมือนว่าฉีอันปังจับกำปั้นของฉู่เฉินด้วยกรงเล็บ“เด็กคนนี้เสร็จแล้ว การถูกจับด้วยมือกรงเล็บมังกรของนายน้อยฉี มือของเขาต้องถูกทำร้ายไปแล้วแน่”“ใช่แล้ว แต่เด็กคนนี้ควรจะรู้สึกภูมิใจที่นายน้อยฉี ใช้ถึงสามกระบวนท่าเพื่อจัดการเขา”“แต่เขาต้องเอาชีวิตรอดก่อนถึงจะอวดเรื่องนี้ได้ เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของนายน้อยฉีแล้ว การเอาชีวิตรอดไม่น่าจะเป็นไปได้”นายน้อยหลายคนทั่วทั้งบริเวณกำลังพูดคุยกันเรื่องนี้กันมีเพียงไม่กี่คนในระดับมหากาฬที่สามารถเห็นบางสิ่งผิดปกติ และกำลังจะบินขึ้นไป เพื่อพิสูจน์ความจริงมีลมกระโชกแรงพัดมาแขนของฉีอันปังสลายไปกับสายลมภาพนี้ทำให้ทุกคนตะลึง“อ๊ะ! กล้าดียังไงมาหักแขนฉัน แกตาย แกต้องตาย
……ชายชราผงะเมื่อฉู่เฉินแนะนำตัวเองหลังจากนั้น เขาก็พูดอย่างเย็นชา "แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ฉู่ แต่คุณต้องให้คำอธิบายในการบุกเข้ามาในตระกูลฉีและทำร้ายนายน้อยด้วย"ฉู่เฉินแบมืออย่างเมินเฉยและพูดว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขา ก็เขาเอาแต่พุ่งใส่ฉันและบอกว่าเขาต้องการจะฆ่าฉัน”ฉีอันปังดูโกรธเคืองและหน้าซีดมาก ชี้ไปที่ฉู่เฉิน “ถ้าก่อนหน้านี้นายบอกว่านายเป็นปรมาจารย์ฉู่ ฉันจะลงมือกับนายได้ยังไง!”“ถ้าฉันไม่ใช่ฉู่เฉิน ฉันควรปล่อยให้นายปลิดชีพฉันใช่ไหม?” ฉู่เฉินโต้กลับฉีอันปังไม่รู้ว่าจะปฏิเสธได้อย่างไร และชี้ไปที่ฉู่เฉินแล้วพูดว่า "แก..."เขาเป็นลมหมดสติทันทีเมื่อเห็นนายน้อยเป็นลม ชายชราก็ต้องอดทนต่ออาการบาดเจ็บและถ่ายทอดกำลังภายในจากนั้น ก็พูดกับฉู่เฉิน: “ปรมาจารย์ฉู่ อะไรทำให้คุณมาที่ตระกูลฉีในวันนี้?”ฉู่เฉินก็เหลือบมองฝูงชนที่อยู่ตรงนั้นและพูดออกมา“แซ่ของฉันคือฉู่ และฉันมาที่เมืองหลวงเพื่อตามสืบเกี่ยวกับเหตุการณ์ตระกูลฉู่เมื่อหลายปีก่อน ใครสามารถบอกฉันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้บ้าง!”ทันทีที่ฉู่เฉินพูดจบทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นนั
ฉู่เฉินหนีออกจากตระกูลฉี ด้านหลังร่างของฉีหู้กัวก็ไล่ตามเขาอย่างกระชั้นชิดฉู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา และเขารู้ดีว่าหากเขาถูกคนที่อยู่ข้างหลังตามทัน เขาอาจจะสิ้นชื่อในวันนี้เขาพยายามบินให้สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉู่เฉินพยายามหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังถูกไล่ทันในระดับความสูงหลายพันเมตร“ฉู่เฉิน ทำไมถึงต้องหนีเมื่อเห็นฉันด้วยล่ะ?” ฉีหู้กัวหยุดฉู่เฉินและไม่ได้ลงมือทันที มีเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าแทนที่ระดับความสูงหลายพันเมตร ลมหนาวก็พัดโหมกระหน่ำ ถ้ามองจากที่นี่ แม้แต่พื้นที่อันกว้างใหญ่ของเมืองหลวงก็สามารถมองเห็นได้เพียงปลายเท้าของทั้งสองคน“คุณไล่ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมต้องหนี”“ถ้านายไม่หนี แล้วจะฉันตามทำไม?”“เอาล่ะ หยุดได้แล้ว ผู้เฒ่า คุณหยุดฉันทำไม?” ฉู่เฉินหยุดการตั้งคำถามอย่างรวดเร็วและถามอย่างตรงไปตรงมาฉู่เฉินไม่เชื่อว่าฉีหู้กัวจะไล่ตาม เพียงเพราะเขาทำให้แขนของฉีอันปังพิการ หรือเพื่อล้างแค้นให้กับนายน้อยของตระกูลฉี“เจ้าหนู รู้อยู่แล้วยังจะถามอีกเหรอ?”“ผู้เฒ่า ได้โปรดระบุให้เจาะจงกว่านี้หน่อย ผมไม่เข้าใจจริงๆ”“นายไม่ได้มาที่นี่