……ในห้องประมูลสวรรค์ชั้น 3ฉู่เฉินหยิบสิ่งของต่างๆออกมา ได้แก่ เลือดนกพิราบวิญญาณ ชาด เครื่องรางสีเหลืองและของที่เขาถือติดตัวออกมา“ตอนนี้ปากกาวิญญาณก็อยู่ในมือแล้ว ก็ถึงเวลาวาดยันต์ชำระวิญญาณให้กับป้าหลานแล้ว”เขาหยิบปากกาวิญญาณนั้นขึ้นมาและถ่ายทอดแก่นแท้ที่แท้จริงของเขาลงไป จากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มวาดยันต์ชำระวิญญาณยันต์เป็นเทคนิคเวทมนตร์ในลัทธิเต๋า ซึ่งอาจฟังดูเป็นความเชื่อโชคลางศักดินาเล็กน้อย แต่การดำรงอยู่ของมันนั้นมีมรดกทางประวัติศาสตร์มีต้นกำเนิดมาจากหมอผีและปรากฏตัวครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก แม้ในยุคปัจจุบันที่ทุกคนเห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์ แต่ว่าการมีอยู่ของมันก็ยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบันเช่นพิธีศพ ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ของลัทธิเต๋าจะเห็นได้ว่าการดำรงอยู่ของมันไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ สาเหตุที่คนเข้าใจผิดเป็นเพราะมีคนนำไปใช้หลอกลวงมากเกินไปเมื่อเวลาผ่านไป แก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณของฉู่เฉินก็ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว จับปากกาวิญญาณและเขียนอย่างรวดเร็วแต่ทุกครั้งที่ยันต์ชำระวิญญาณกำลังจะประสบความสำเร็จ กระดาษยันต์ก็จะจุดไฟโดยไม่มีไฟจากนั้นก็กลายเป็นกองขี้เ
ฉู่เซี่ยงตงหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาทันทีโดยไม่ลังเลและตามเรียกพรรคพวกอย่างไรก็ตามโทรศัพท์นั้นไม่ได้ถูกรับหัวใจของเขากำลังจมดิ่งลง“แกไม่จำเป็นต้องโทรหาใครอีกแล้ว”หัวโล้นอู่หัวเราะเยาะ "ถนนสายหลักที่มาที่นี่ได้ถูกทำลายโดยคนของฉันไปแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนของแกจะไม่สามารถมาที่นี่ได้"“แม้จะเพียงครึ่งชั่วโมง แต่แกก็ยังหนีความตายไม่พ้น!”"ฮ่าๆๆ!"เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกไป ฉู่เซี่ยงตงและลูกน้องหลายสิบคนก็ถอดสีหน้ากันหมดมีเพียงฉู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งและใจเย็นหัวโล้นอู่พูดอีกครั้ง "ฉู่เซียงตง ขอฉันพูดเป็นครั้งสุดท้าย: มอบปากกาวิญญาณนั่นมาซะ ไม่เช่นนั้นฉันจะฆ่าทั้งครอบครัวของแก!"ทันใดนั้น เสียงที่ดูถูกเหยียดหยามก็ดังขึ้น: "แม้แต่คนเลวก็สมควรได้รับปากกาวิญญาณ?"ขณะที่ทุกคนมองไปรอบ ๆ พวกเขาเห็นนักพรตลัทธิเต๋านำสวี่ป๋อเหวินและจ้าวขุยเดินออกมา“เป็นพวกแกเองหรอ!”การจ้องของหัวโล้นอู่กลายเป็นเย็นชา และเขาก็จำจ้าวขุยได้ทันทีว่าเป็นคนของตระกูลจ้าวที่เพิ่งแข่งขันกับเขาในการประมูลจ้าวขุยผยองมากตามด้วยพูดว่า
หัวโล้นอู่กัดฟันและอดไม่ได้ที่จะหันไปหาอาจารย์บารูที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า "ท่านอาจารย์บารู โปรดลงมือด้วยครับ!"อาจารย์บารูเดินออกไปช้าๆพร้อมกับไม้เท้าและมองดูนักพรตหนานฮวาอย่างไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมาตามด้วยพูดว่า "นี่ท่าน ให้ฉันได้สอนคุณสักหน่อยสิ"“แค่แกงั้นเหรอ?”แม้ว่านักพรตหนานฮวาจะแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่เขาก็ยังเดาได้อย่างคลุมเครือว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องไม่ธรรมดาดังนั้นเขาจึงลงมือแบบก่อนหน้านี้อีกครั้งแล้วตะโกนเสียงดัง "ขอลมให้ฉันหน่อย!"ชั่วครู่หนึ่ง ลมแรงก็พัดออกมาจากแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง และโจมตีอาจารย์บารูโดยตรง"ปัง!"อาจารย์บารูเอนกายบนไม้เท้าอย่างหนัก ราวกับว่าเขาหยั่งรากลึกลงบนพื้น และร่างของเขายังคงไม่สั่นไหวในสายลมที่รุนแรงนี้เลยเมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของหนังพรตหนานฮวาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากัดปลายลิ้นของเขาและออกแรงทั้งหมดกับกระบวนท่าเดิมอีกครั้งลมแรงพัดมาอีกครั้งด้วยพลังที่รุนแรงกว่าเดิมคราวนี้ อาจารย์บารูก็เดินไปหาเขาทีละก้าว“อ่อนแอเกินไป แกนี่มันอ่อนแอเกินไปจริงๆ!”“แม้แต่มดปลวกที่รู้เทคนิคเพียงผิวเผินก็ยังกล้ามาสั่งสอนฉัน!”อาจารย์บารูส่ายหัวเบา ๆ
อาจารย์บารูโกรธจัดและพูด "เจ้าหนู แกจวนจะตายอยู่แล้ว ยังจะกล้าพูดจาไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง?"“ ไม่ต้องห่วง ฉันจะปล่อยให้แกได้สัมผัสถึงความรู้สึกของเลือดเนื้อในร่างกายของแกที่ถูกโกรธแค้นกัดกินอย่างเจ็บปวด”“เมื่อแกตายไป ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนของแกจะไม่มอบปากกาวิญญาณให้พวกเขา”เขายิ้มเศร้าๆ และเปิดผนึกออกจากขวดสีดำในมือของเขาอีกครั้งพร้อมกับลมกระโชกที่มืดมน มวลอากาศสีดำหนาก่อนหน้านี้ที่หนาเท่ากับแขนก็คำรามออกมาอีกครั้งลำแสงสีดำควบแน่นเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวขนาดเท่ากะละมังล้างหน้า บางครั้งก็แสดงหน้าไม่พอใจ บางครั้งก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง“สิ่งนั้นได้ออกมาอีกแล้ว!”ในขณะนี้เอง ฉู่เซี่ยงตง ฉินเหวินเทียน ฉินเปิงเยว่และคนอื่น ๆ นั้นต่างก็หวาดกลัวไปตามๆกันพวกเขาเห็นด้วยตาของตัวเองว่า จ้าวขุยถูกกินทั้งเป็นโดยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา“นี่คือเทคนิคการเลี้ยงผีในตำนานงั้นเหรอ? น่ากลัวจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสิ่งแบบนี้ในโลกจริงๆ...”"ผี!"และผู้เฝ้าดูจากระยะไกลก็หวาดกลัวเช่นกัน บางคนก็หวาดกลัวจนฉี่ราด ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้“ลูกรัก ไปกินเลือดและเนื้อของมันซะ”อาจารย์บารูเอื
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ทั้งสองคนตกใจเพราะแม้ว่าพลังปราณโลหิตของผู้ฝึกวรยุทธธรรมดาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่พวกมันก็มีอยู่ในตันเถียนและหลอดเลือดในร่างกายเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็บรรลุเป้าหมายในการป้องกันหยินชั่วร้ายจากการรุกรานตอนนี้ ฉู่เฉินเองก็ได้นำพลังปราณโลหิตออกจากร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาดใจ และใช้มันเพื่อฆ่าผีโดยตรงนี่คือ... นี่คือขั้นตอนที่ปรมาจารย์วรรยุทธเท่านั้นที่สามารถทำได้!ฉู่เฉินเคลื่อนย้ายพลังปราณโลหิตกลับเข้าไปในร่างกายของเขา เอาถือไขว้หลังไว้ข้างหนึ่งและเดินไปหาเขาทีละก้าวและพูดว่า "ฉันบอกแกแล้วไงว่า ของเล่นระดับต่ำๆของแก จะทำอะไรให้ฉันระคายเคืองได้?"“หากความสามารถของแกมีจำกัดอยู่แค่นี้ วันนี้แกก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”หัวโล้นอู่กลัวจนเป็นบ้าไปแล้ว หลังจากที่เห็นการเคลื่อนไหวของฉู่เฉิน เขาก็กลัวมากจนฉี่ราดออกมาและคุกเข่าลงบนพื้นดวงตาของอาจารย์บารูหดตัวอย่างรุนแรง เมื่อรู้ว่าฉู่เฉินมีจิตสังหารในตัวเขา“เจ้าหนู นี่คือสิ่งที่แกบังคับให้ฉันทำ!”เขากัดฟันกะทันหันและยกขวดสีดำในมือขึ้น โยนมันลงบนพื้นอย่างแรงทันใดนั้นเอง ก็ได้สำแลงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรา
ฉู่เฉินตะโกนออกมา ราวกับว่ากำลังแสดงเจตนาของสวรรค์ ทำให้เกิดฟ้าร้องสายฟ้าผ่า"ครืน ครืน..."ทันใดนั้นเองลมและเมฆก็เกิดการเปลี่ยนสี และลมแรงก็พัดมา ฟ้าร้องดังก้องมาจากบนท้องฟ้าทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็วและเห็นเมฆฝนรวมตัวกันเหนือท้องฟ้า และฟ้าร้องอึกทึกก็ดังขึ้นจากที่นั่นภายใต้ท้องฟ้าอันยิ่งใหญ่นี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกก็ต้องการคุกเข่าลงกับพื้นโดยสัญชาตญาณ“ นี่... นี่คือฝ่ามืออรหันต์ห้าสายฟ้าของผู้ยิ่งใหญ่งั้นเหรอ? มันหายสาปสูญไปแล้วไม่ใช่หรือ?”“เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!”แต่เดิมสีหน้าของอาจารย์บารูที่เคยหยิ่งผยองก็กลับเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาก็หันหลังกลับเพื่อวิ่งหนี โดยไม่สนใจความหวาดกลัวที่อยู่ในใจแต่ทันใดนั้นเองสายฟ้าที่หนาเท่ากับท่อนแขนก็ผ่าลงมาจากท้องฟ้า ฝ่ามาโดยตรงภายในระยะของอาจารย์บารูและพวกผี“แคร็ก…”"อ๊าก!"ทันใดนั้นพื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาสั่นสะเทือน และฟ้าร้องกึกก้องไปบนท้องฟ้า ขณะที่ผีก็กรีดร้องและสลายไปเหมือนควันเมื่อเหตุการณ์สงบลง สิ่งที่ปรากฏคืออาจารย์บารูที่ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านในขณะนี้ ความเงียบก็ได้เข้ามาปกคลุมทั้งด้านบน
ในขณะที่เขากำลังจะเหนี่ยวไกปืนนั้น ก้อนหินก็พุ่งผ่านอากาศและแทงทะลุหน้าผากของเขา“นายน้อย” ฉู่เซี่ยงตงกลัวมากจนเหงื่อตก เขาเกือบจะตายไปแล้วเมื่อกี้นี้"ไปกันเถอะ."ฉู่เฉินส่ายหัวแล้วจากไปพร้อมกับทั้งสามคนไม่นานนักหลังจากที่พวกเขาจากไป ผู้คนหลายพันคนก็รีบไปยังที่เกิดเหตุและปิดกั้นทุกอย่างไว้ ขณะเดียวกันก็จับภาพผู้ที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ด้วยเป็นตระกูลฉินและฉู่เซี่ยงตงที่ลงมือสองกองกำลังชั้นนำในหนานเจียงผนึกกำลังเพื่อปิดกั้นทุกอย่างและป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหล เพียงเพื่อความปลอดภัยของฉู่เฉิน……ภายในหอคอยจิ่วหลง ฉู่เหมิงเหยาวางสายโทรศัพท์และเงียบไปเป็นเวลานาน“ช่างสมกับเป็นปรมาจารย์ฉู่ วรยุทธของเขาแข็งแกร่งมาก และเขายังเชี่ยวชาญเวทมนต์อีกด้วย”ดวงตาของเธอกะพริบอยู่หลายครั้ง และเธอก็ตัดสินใจได้ทันทีว่า: "ฉันต้องเอาชนะใจคนแบบนี้ให้ได้ และด้วยความช่วยเหลือของเขา จะทำให้ตระกูจ้าวพินาศลงก็ใกล้เข้ามาแล้ว!"แม้ว่าฉู่เซี่ยงตงและตระกูลฉินจะร่วมมือกันเพื่อปิดข่าว แต่ข่าวนอกเมืองโบราณจิ่วหลง ยังคงแพร่กระจายไปทั่วหนานเจียงด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว“อะไรนะ นายคิดว่ามีคนสามารถ
ทันใดนั้นเอง จ้าวเหยียนก็ตะหวาดออกมาอย่างดุร้ายและพูดว่า "จ้าวฟู่!""ทะ... ท่านเจ้าตระกูล ผะ... ผม..." ชายชราคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นข้ารับใช้ของตระกูลจ้าวยืนตัวสั่นเทา“แกค้นพบตัวตนของปรมาจารย์ฉู่แล้วหรือยัง?” จ้าวเหยียนจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงเข้มร่างกายของจ้าวฟู่สั่นเทา และเขาก็คุกเข่าลงพร้อมกับพูดว่า "ตัวผมมันไร้ประโยชน์ กระผมเองก็ยังไม่พบอะไรเลยครับ..."“ในเมื่อแกรู้ว่าตัวแกไร้ประโยชน์ ทำไมแกไม่ไปตายซะล่ะ?”จ้าวเหยียนยิ้มบิดเบี้ยวแล้วหยิบเก้าอี้ขึ้นมาทุบใส่เขาอย่างบ้าคลั่งตอนแรกจ้าวฟู่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเสียงของเขาก็เงียบลง และในที่สุดเขาก็ถูกทุบตีจนตายทุกคนกลัวที่จะกลายเป็นจ้าวฟู่คนต่อไปหลังจากนั้นโทรศัพท์ของจ้าวเหยียนก็ดังขึ้นเขาหยิบมันขึ้นมาและรับสายในไม่กี่วินาที และทันใดนั้นเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นก็ระเบิดออกมาจากลำคอของเขา"ฮ่าๆ ตระกูลจ้าวของฉันได้รับการช่วยเหลือแล้ว"“ศิษย์คนโตของบรรพบุรุษของเรากำลังเดินทางมาที่นี่ เขาจะมาถึงบ่ายวันพรุ่งนี้!”“เขาขอให้เราเริ่มวางแผน และเมื่อเขามาถึง เราจะทำลายตระกูลฉิน ฆ่าไอ้เจ้าปรมาจารย์ฉู่ และรวมหนานเจียงทั้
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่