ย้อนกลับไปในปัจจุบัน
ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าแฟนเก่าของเธอนั้นได้รับโทรศัพท์ว่ามีอุบัติเหตุลื่นพื้นห้องน้ำหัวฟาดเสียชึวิต ใครจะไปคิดว่าสารวัตรหนุ่มจะต้องมานั่งในงานศพอดีตแฟนสาวของตัวเอง ทั้งที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะเลิกกับเธอ เรื่องมันกำลังอยู่ในช่วงที่เข้าใจผิดกัน ไม่คาดคิดว่าเธอจะมาด่วนจากไปเสียก่อน
เรื่องมันเกิดจากการที่เธอและเขาที่คบกันมานานพอสมควร คนรักกันพออยู่ด้วยกันมันก็อยากที่จะแสดงความเป็นเจ้าของต้องการตีตราประทับไว้อยู่แล้ว เธอเกือบจะตกเป็นของเขาหลายต่อหลายครั้งที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่อยู่ๆ เธอก็นึกเปลี่ยนเสียอย่างนั้นเพราะความกลัวเจ็บของเธอ แรกๆ ไม่เป็นไร หลังๆ พอบ่อยเข้าคนเรามันก็ต้องมีบ้างอารมณ์เสีย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่ๆ ก็ถูกชะงัก
จนครั้งสุดท้ายเขาได้เผลอพูดกับเธอไปว่าถ้าเธอทำไม่ได้จริงๆ ก็เลิกกันไปเสียเถอะ หุ่นแซ่บแต่เธอไม่ได้แซ่บอย่างหุ่น แล้วเดินออกจากห้องไป ตรงดิ่งไปยังคอนโดของตัวเองโทรนัดเพื่อนของตนคนในทีมทั้งสี่เตรียมจะนั่งก๊งเหล้ากันไปตามประสา มีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ถึงได้มาถึงห้องเขาก่อนใคร
ใครจะไปคิดว่าแ
เธอไม่ทันจะได้ตอบคำถามของออกพระรามเรือก็แล่นเข้าเทียบท่าหน้าเรือนเสียแล้ว พริกแกงไม่รีรอรีบลุกแล้วขึ้นท่าวิ่งเข้าเรือนไปเสียทันที ออกพระรามมองตามหลังหญิงสาวพร้อมถอนหายใจส่ายหน้าไปมาเบาๆ เธอหนีเขาอีกครั้งแล้ว...“แม่พริก” มีหรือที่เขาจะยอมให้เธอเข้าห้องไปง่ายๆ รีบเดินตามมาจับคว้าแขนเรียวเล็กของเธอไว้ทันท่วงที พริกแกงหันหน้ากลับมามองเขาด้วยสีหน้าระแวงระวังเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา“พี่...มินึกรังเกียจออเจ้าดอกหนา...มิคิดจักพาหมอผีมาไล่ออเจ้าดอก” เขาพูดขึ้นเพื่อให้เธอสบายใจ เธอไม่ได้กลัวว่าเขาจะเอาหมอผีมาไล่ แต่เธอกลัวที่เขาอาจจะรับไม่ได้กับเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ก็เท่านั้น“คือ...คุณเจ๊เจ้าคะ...มันเป็นเรื่องที่...จะว่ายังไงดีล่ะ”“ว่าอย่างไรก็ว่ามาเถิดออเจ้า”“มันแปลกจนไม่น่าเชื่อเจ้าค่ะ...มันเหลือเชื่อเกินไป..”“มิมีสิ่งใดน่าเหลือเชื่อเท่ากิริยาแลคนอย่างออเจ้าแล้วหนา” พูดอย่างยิ้มๆ แต่พริกแกงกลับหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเซ็งๆ“คุณเจ๊เจ้าขา ยังไม่วายจิกกัด
ด้วยความภาคภูมิใจทำให้เธอไม่ยอมรับข้าวรับน้ำในช่วงเย็นเพราะไม่อยากลบใบหน้าที่วาดไว้ออก และเธอเองก็อยากจะลองดูว่าถ่านที่ใช้เขียนใบหน้านี้จะทนอยู่ได้นานแค่ไป พริกแกงนั่งมองหน้าซ้ายมองขวาใบหน้าของตัวเอง ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งจับปลายคางอย่างวางมาด“อืม...อื้ม...หล่อใช้ได้” พูดพร้อมพยักหน้ารัวๆ อย่างพึ่งพอใจในฝีมือของตัวเอง ก่อนจะแอบขำไม่น้อยที่เธอตั้งใจวาดเขียนใบหน้าให้มันดูตลกพอจะทำให้ออกพระรามปั่นป่วนอารมณ์เสีย แม้ว่าเขาจะบอกให้เธอไปลบออกแต่พริกแกงยังคงยืนกรานที่จะไม่ยอมลบก๊อกๆ“แม่พริก...ข้าจักไปแล้วหนา” พอฟ้าค่ำออกพระรามก็เดินเข้ามาเคาะประตูหอนอนของเธอเตรียมจะไปทำงานของเขาต่อ ที่ช่วงนี้เขาต้องไปทำงานช่วงค่ำนั้นเพราะเป็นคำสั่งของขุนหลวงในเรื่องยาปลุกกำหนัดที่ใช้ได้ไม่ถูกที่ถูกทาง แถมยังเป็นอันตรายถึงชีวิตแล้วคนที่เอามาขายส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านที่มีหญิงงามเมืองอยู่เป็นหลัก จะทำการค้าขายกันตอนฟ้าค่ำ แม้เป็นงานลอยกระทงก็ไม่ได้ไปลอยเหมือนคนอื่นเขาพริกแกงเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยังไม่วายยักคิ้วหนาๆ ที่ตั้งใจเขียนให้ดำสนิทหนาสามเซนเห็นจะได้ ไม่หนำ
พริกแกงหลบเลี่ยงสายตาของเขา ก่อนจะหันหลังให้ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ปากก็ยังคงปฏิเสธไปไม่ยอมรับ“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า”“หากมิใช่ ออเจ้าจักหลบหนีหน้าไปไยกัน” ยังคงไม่ยอมแพ้แม้ว่าเธอไม่ยอมรับ ท่าทางของเธอก็ทำให้เขาเห็นได้ชัดๆ อยู่แล้วว่าเขินและเป็นดังที่เขากล่าว ภายในดวงใจของออกพระรูปงามนี้อดไม่ได้ที่สั่นไหวไปด้วยความดีใจ จากที่เคยคิดว่าเธอช่างใจแข็งดั่งหินผา แม้จะร่วมเรือนเคียงนอนก่ายกอดกันก็ไม่อาจคว้าเอาใจนางมาได้“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว!” แม้จะเก็บอาการแต่ก็เขินไม่ใช่น้อย จึงเดินตรงปรี่หนีเขาไปโดยไม่รู้ทิศรู้ทางออกพระรามรูปงามเดินตามก็ยิ่งที่ทำให้เธอรีบเดินหนี“ออเจ้าจักไปที่ใดกันรือนั่น...จุดรวมพลอยู่กงนี้หนาแม่” ไม่ยอมฟังยิ่งเขาเดินตามเธอก็วิ่งหนีเข้าตรอกซอกซอยทะลุไปถึงไหนต่อไหนไม่รู้ทิศรู้ทาง ก่อนจะหันหลังไปมองว่าออกพระรามตามมาหรือไม่พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...บ้าจริง ทำไมต้องเขินด้วยว่ะเนี่ยอีพริก!” เมื่อเห็นว่าเขาหายไปจากสายตาก็พึมพำออกมาเอามือเล็กกุมอกซ้ายที่ก้อนเนื้
“พวกมึงช้าอยู่ไยเล่า!! พามันไปล้างหน้าล้างตาเสีย!” ออกหลวงมโนสรหันไปสั่งบ่าวทั้งสองของตนที่ยืนคอยท่าอยู่ ก่อนที่บ่าวจะพาพริกแกงไปล้างหน้าล้างตาแม้จะขัดขืนแต่ก็ขืนสู้แรงของชายฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไม่ได้ แต่เมื่อล้างหน้าจนหมดจดบ่าวชายทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วขมวดคิ้ว“ผู้ชายกระไรงามเหมือนหญิง”“โชคดีของเอ็งที่ข้ามินิยมชมชอบชายด้วยกัน”บ่าวทั้งสองพูดขึ้น แต่นั้นไม่ได้ทำให้พริกแกงสบายใจขึ้นเลยสักนิด ในสมองตอนนี้คิดแต่จะหาทางเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวไม่อย่างนั้นความแตกแน่เรื่องที่เธอเป็นหญิงไม่ทันได้คิดแผนก็ถูกพาตัวเข้าไปหาออกหลวงผู้นั้นและชายหนุ่มคนเดิมที่นั่งคอยท่าอยู่ที่เตียงตั่ง เธอถูกพามาให้คุกเข่าต่อหน้าออกหลวงมโนสรก่อน เมื่อออกหลวงมโนสรพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจจึงถูกพาไปโยนที่เตียงตั่งข้างๆ ชายรูปงามคนนั้น“อ้ายผา มารับไปเสียสิ” ออกหลวงหันไปบอกชายหนุ่มรูปงามคนนั้นที่มีนามว่าผา ให้ไปรับจอกเล็กๆ จอกหนึ่งในมือของออกหลวง อ้ายผาเดินไปตามคำสั่งอย่างว่าง่ายก่อนจะคว้าจอกนั้นมาจ้องมองแล้วยกมันขึ้นดื่มตามที่
พริกแกงจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยโดยมีออกพระรามและเพื่อนๆ ของเขายืนหันหลังรออยู่ด้านหน้า เธอเดินหน้าจ๋อยไปหาออกพระรามก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองเขาเล็กน้อย“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”“อืม ข้าจักกลับเรือนแล้ว” คำพูดที่เคยหยอกล้อเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบพร้อมกับเดินนำเธอไปโดยไม่สนใจเหมือนก่อนหน้า พริกแกงมองตามตาละห้อยพร้อมกับทำหน้ายู่อย่างไม่เข้าใจ จนจหมื่นสุนทรเดินเข้ามาหาเธอ“เหตุใดออเจ้าถึงได้ทำหน้าเช่นนั้นเล่าแม่หญิง”“ก็แฟน...เอ่อ...คนรักของคุณหมื่นน่ะสิคะ เป็นอะไรก็ไม่รู้...ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย”“คนรักของข้า? ออ...ท่านออกพระคงจักเสียใจที่ดูแลแม่หญิงได้มิดีนัก”“จะมาดูแลอะไรล่ะเจ้าคะ ควรจะดูแลคุณหมื่นมากกว่า ข้าก็แค่ตัวล่อตัวหลอก ชิ!”“หืม? มิเป็นเช่นนั้นดอกแม่...ออกพระรามมิใช่...” พริกแกงไม่ยอมฟังรีบเดินเตะฝุ่นตามออกพระรามไปด้วยใบหน้าเซ็งๆ จหมื่นสุนทรพูดค้างไว้เสียงแผ่ว ไม่ทันได้บอกให้ครบจบประโยค“มิใช่คนรักของข้า...ออกพระท่านมิใช่บั
ตั้งแต่ที่ออกพระรามพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังทำให้เธอนั่งเงียบตลอดทางเรือ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าออกพระหนุ่มรูปงามเลยแม้แต่น้อย ขวยเขินกับคำพูดของเขาจนทำตัวไม่ถูกได้แต่มองรอบข้างระหว่างทางเรือไปมา ผิดกับออกพระรามที่ยังคงจ้องมองท่าทีของเธอไม่วางตาจนเรือพายมาจอดตรงท่าหน้าเรือน พริกแกงไม่รอช้ารีบขึ้นเรือก่อนหน้าออกพระราม เดินลิ่วกลับขึ้นเรือนตัวเองไป ออกพระรามนิ่งมองตามหลังของหญิงสาว“ออกพระขอรับ...มิขึ้นเรือนรือขอรับ” อ้ายทองที่เห็นออกพระรามนั่งอยู่บนเรือที่เดิมอยู่นาน พลางจ้องมองไปที่พริกแกงที่เดินกลับขึ้นเรือไปก็รีบเอ่ยท้วงขึ้น ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะตีหน้าเรียบนิ่ง“อืม” ตอบรับผ่านลำคอด้วยใบหน้าดุดังเดิม อ้ายทองเห็นอย่างนั้นก็อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้ ดูทีก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้านายนั้นหลงไหลแม่หญิงผู้เป็นคู่หมั้นมากและหวงมากเพียงใดออกพระรามจึงลุกขึ้นจากเรือขึ้นท่าอย่างวางมาด ปรายสายตามองอ้ายทองที่เอ่ยแซวเขาเมื่อครู่อย่างรู้สึกขัดใจ ก่อนจะทอดถอนหายใจเดินขึ้นเรือนไปด้วยท่าทีนิ่งเฉย“อ้ายทอง เอ็งว่าออกพระท่านหลงรักแม่หญิง
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม
“เอ่อ...ก็...” พอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงสายตาของจหมื่นพันแสงเล็กน้อย ลอบสายตาขึ้นมองออกพระรามที่นิ่งเงียบจ้องมองเธออย่างรอคำตอบที่เธอจะตอบรับจหมื่นพันแสงเช่นกัน“คุณหมื่นยังไม่ได้ตอบคำถามข้าที่ถามก่อนเลยนะเจ้าคะ” หลีกเลี่ยงคำตอบแล้วหันไปถามจหมื่นพันแสงกลับ เมื่อได้ยินอย่างนั้นจหมื่นพันแสงก็ยิ้มหวานออกมารู้ได้ว่าเธอกำลังหลีกเลี่ยงแต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ“ออ...ที่มิบอกกันกงๆ เพราะแม่หญิงผู้นั้นมิอาจเอื้อมถึง หาใช่แม่หญิงที่ควรนึกถึงได้ไม่...ในเมื่อหักใจตัดเสียมิได้...ก็จักเลือกแสดงความรู้สึกผ่านดอกไม้ดอกนั้น หากแม่หญิงผู้นั้นคิดเช่นเดียวกันกับชายผู้ให้ ก็จักเก็บดอกไม้นั้นไว้กับตัว”“อ๋อ รักต้องห้ามสินะ” พริกแกงพยักเข้าใจในทันทีอย่างลืมตัว เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับคำตอบนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายสมัยก่อนนี้มีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย“แล้วแม่เล่า...จักเก็บดอกปีบนั้นไว้รือจักทิ้งมันไปเสีย?” หันไปถามเธอกลับ พริกแกงมองจหมื่นพันแสงก่อนจะหันไปมองออกพระรามที่มองเธอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บป
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั