สีหน้าของฉินเย่ว์เหมยกระอักกระอ่วนสุดขีดเฉินฝานกลับดีใจกับคำพูดของหงอิง “ได้ยินหรือไม่ กอดจูบเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”ใบหน้าเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยขึ้นสีทันที“หงอิง เจ้ามีนิสัยชอบพูดเหลวไหลเหมือนกับเหล่าหมัวมัวตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำแผลเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ถ้าทำเสร็จแล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ!”“ฝ่าบาท จวนจะเสร็จแล้วเพคะ!”หงอิงรีบก้มหน้าตั้งใจทำแผลให้เฉินฝานด้วยความรวดเร็วเมื่อครู่รู้สึกขัดหูขัดตาเกินไป จนลืมไปว่าฉินเย่ว์เหมยเป็นจักรพรรดินี นางเป็นขุนนางหลังจากที่หงอิงออกไปแล้ว ในรถม้าก็เหลือเพียงเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยเฉินฝานมิได้หยอกล้อฉินเย่ว์เหมย เอนตัวมองฉินเย่ว์เหมยโดยมิพูดอันใดดวงตาสุกสกาว คิ้วเรียวงาม ใบหน้ายลโฉมนางนั่งนิ่งสงบและโดดเดี่ยว ราวกับกล้วยไม้ที่อยู่กลางหุบเขาใบหน้าอันงดงามมีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆในสงครามรบราฆ่าฟันมิเลือกหน้า นางกังวลความปลอดภัยของเฉินฝานหัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมโดยตลอด เฉินฝานมองแล้วรู้สึกมิสบายใจ เขาจึงยื่นมือไปคลายคิ้วที่ขมวดของฉินเย่ว์เหมยออก“ มิต้องห่วงหรอก ข้าจะปลอดภัยแน่นอน”“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน!”ฉินเย่ว์เหมยปากร้ายใจดีเหมือนดั่งเคย
“ฝ่าบาท หยุดตีได้แล้ว!”“ฝ่าบาท ท่านก็จูบข้าเสียหน่อยสิ เช่นนี้เวลาที่ข้าอยู่ในสนามรบ จะได้มีฝ่าบาทไว้คอยเตือนใจมิให้อวดดีไปทั่ว ดูแลรักษาตนเองไว้ให้ดี”“ชายลามกไร้ยางอาย หมกมุ่นในเรื่องนั้นทุกวินาทีเลยหรือกระไร!”“โอ๊ย เจ็บๆ ฝ่าบาท ข้าผิดไปแล้ว หยุดตีเสียที!”ฉินเย่ว์เหมยที่ยิ่งคิดยิ่งโมโหไล่ทุบตีตั้งแต่ด้านล่างจนไปถึงบนรถม้า“ฝ่าบาท ถ้ายังตีอีก ประเดี๋ยวหน้าข้าปูดบวมจะมีหน้าไปเจอเหล่ากองกำลังลาดตระเวนได้อย่างไร...เฉินฝานที่กำลังร้องโอดครวญ จู่ ๆก็เงียบไป เขารู้สึกเพียงว่ามีปากอันอ่อนนุ่มละมุนมาประทับริมฝีปากเขาไว้ริมฝีปากที่มาประทับนั้นช่างหอมหวาน ทำให้เฉินฝานรู้สึกสดชื่นสุดขีดชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่าทางในการประทับริมฝีปากเงอะงะอย่างมาก มิใช่การจูบแม้แต่น้อยเฉินฝานยื่นมือออกไปคิดจะคว้าฉินเย่ว์เหมยมากอดเพื่อสอนวิธีการจูบให้กับนาง ปรากฏว่ามือของเขายังมิทันได้สัมผัสฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยก็ลุกขึ้นไปแล้ว วิชาตัวเบาของฉินเย่ว์เหมยยอดเยี่ยม เฉินฝานคว้าตัวนางไว้มิทัน“ถ้าเจ้ากล้ากลับมาด้วยร่างไร้วิญญาณ ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม!”เสียงเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยดังข
“ใต้เท้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”เหอจื่อหลินรีบก้มหน้าลง คำพูดของเฉินฝานเรียกสติเขากลับมาเป็นจริงอย่างที่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิสมควรจะกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจโชคดีที่ว่าตอนที่ให้พานอีเฟยมากล่าวรายงาน เฉินฝานก็ให้แม่ทัพกองกำลังลาดตระเวนคนอื่นออกไปด้วยในชายคา มีเพียงเฉินฝาน เหอจื่อหลิน เย่ว์หนูเย่ว์เจียวรวมกันสี่คน“นายท่าน!” เย่ว์หนูเดินรุดหน้าขึ้นมา “ตอนนี้กองกำลังหญิงมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันคน ทุกคนล้วนมีความสามารถในการขว้างระเบิดมือ และครั้งนี้พวกเรามีระเบิดเหลือเฟือ ตอนนี้บ่าวสามารถนำกองกำลังหญิงออกไปนอกเมืองเพื่อขุดกับดักวางระเบิดสังหารพวกเขา”“ชายชาตรีอย่างข้ายังสู้เย่ว์หนูมิได้!”ในขณะที่เหอจื่อหลินตำหนิตนเอง ก็รู้สึกฮึกเหิมสุดขีด มิมีท่าทางห่อเหี่ยวเมื่อครู่แล้ว“เมื่อตอนที่กองกำลังหญิงกำลังเริ่มจุดระเบิด กองกำลังแคว้นหลู่จะลนลานทำอะไรมิถูก ข้าก็ใช้จังหวะนี้นำทัพกองกำลังลาดตระเวนหนึ่งหมื่นคนและกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูห้าหมื่นคนมุ่งเข้าไปสังหารมิให้พวกเขาไหวตัวทัน”เหอจื่อหลินยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม อยากจะลงมือใจจะขาดเย่ว์หนูก็เช่นกันเป็นครั้งแรกที่นางได้นำทัพกองกำลังหญิงมา
“กล่าวรายงานขอรับ!”นายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟยกล่าวรายงานว่าตอนนี้กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนห่างจากเมืองลู่ตูมิถึงสามสิบลี้แล้วสำหรับทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ในระยะทางสามสิบลี้มิถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถมาถึงเมืองลู่ตูได้ทางเฉินฝานยังมิได้ออกคำสั่งใดๆทุกคนล้วนรออย่างกระวนกระวายใจ รวมถึงเหอจื่อหลินและเย่ว์หนูด้วยเฉินฝานขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม จ้องถาดทรายด้านหน้าอย่างมิละสายตา“พี่จื่อหลิน!”จู่ ๆ เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้นมา “เรียกกองกำลังลาดตระเวนห้าหมู่และนายกองกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูเข้ามาเถอะ!”หลังจากที่กองกำลังเหล่านั้นเข้ามา เฉินฝานอธิบายการรับมือสถานการณ์ตอนนี้ให้เหอจื่อหลินฟังคร่าว ๆตอนที่ได้ยินว่ากองกำลังเมืองหลู่ตูมีแปดแสนคน ห้ากองกำลังลาดตระเวนก็ตื่นตกใจควบสติไว้มิได้จำนวนแปดแสนคนเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มหาศาลก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่ามากที่สุดคงจะมิเกินสามแสน“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนจวนจะมาประชิดเมืองแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอันใดหรือไม่? หรือมียุทธ์วิธีที่ดีอันใด? พูดออกมาให้หมด”ตอนที่เฉินฝานพูดเขายังคงจ้องมองถาดทราย และย้ายธงบน
“พี่จื่อหลินพูดถูก สงครามครั้งนี้จะใช้แผนโจมตีจากด้านหลังมิได้เด็ดขาด”“กล่าวรายงานขอรับ!”เฉินฝานกล่าวมิทันจบ ก็มีพลส่งสาสน์เข้ามารายงานอีกกองทัพใหญ่แคว้นหลู่ห่างจากเมืองลู่ตูเพียงสิบลี้แล้วเฉินฝาน : “จ้าวฮวั่น เฉียนหง!”“ขอรับ!” จ้าวฮวั่นยืนตัวตรงทันที“พวกเจ้านำกองกำลังที่สองไปบนหอประตูเมือง!”“ขอรับ!”“เฉียนหง ซุนลี่ หลี่จื้อ”“ขอรับ!”“พวกเจ้าพากองกำลังที่สามสี่ห้า ออกไปนอกเมืองลู่ตู”“...ขอรับ!”ทั้งสามคนมิได้ขานรับทันที ต้องเคลื่อนทัพออกจากเมืองงั้นรึ?นี่หมายความว่าเยี่ยงไร? จะมิสู้แล้วงั้นรึ?ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความงุนงง ทว่าทั้งสามคนก็ยังยืนกรานที่จะทำตามคำสั่งและมีความตั้งตารอคอยเล็กน้อยยุทธวิธีของเฉินฝานมักจะแปลกประหลาด เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้เสมอพวกเขามิได้เดือดดาลมิยอมทำตามเหมือนตอนที่สู้รบกับกองกำลังเมืองเตียนตูอีกแล้วตอนนี้มิว่าเฉินฝานจะสั่งให้ทำอันใดก็ล้วนยอมทำตาม ในใจคาดหวังว่าจะได้เจอยุทธวิธีที่แปลกใหม่อันใดอีก“เฉียงหง หลังที่กองกำลังของเจ้าออกเมืองไปแล้ว ให้อยู่ตรงนี้!” เฉินฝานใช้ปลายพู่กันจิ้มไปที่ภูเขาลูกเล็กบนถาดทราย เนินเขาลูกนั
“ใช่แล้ว เป็นการทำเพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น ไฉนเจ้ามิดูเหล่าคุณชายในกองกำลังที่หนึ่งของเจ้า จนป่านนี้แล้วทุกคนยังเป็นพวกไร้ฝีมืออยู่ หากไปเผชิญหน้ากับกองกำลังเมืองหลู่จริง อาจจะปัสสาวะราดก็ได้นะ”“ถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้นกลิ่นปัสสาวะก็จะตลบอบอวลไปทั่ว”แม่ทัพประจำกองคนอื่นต่างพากันหัวเราะสะใจ“ปัสสาวะราดอันใด กองกำลังที่หนึ่งของข้ามิมีผู้ใดเป็นไก่อ่อนเสียหน่อย!” มั่วเซินกำหมัดแน่น“มิใช่ไก่อ่อนก็จริง แค่คงจะตกใจจน...”“พอได้แล้ว!”เฉินฝานตะโกนลั่น “ตอนนี้สงครามใหญ่จะเริ่มแล้ว ยังจะมาพูดจาล้อเล่นอีก!”“......” ตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงทันทีเฉินฝานกวาดสายตามองโดยรอบ “ตอนนี้ทุกกองกำลังล้วนได้รับมอบหมายหน้าที่แล้ว...“ใต้ ใต้เท้า”มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากมุมหนึ่งฝูงชนหันไปมองตามเสียงเสียงนั้นคือนายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟย“ใต้เท้า ท่านยังมิได้มอบหมายหน้าที่ให้พวกเรากองกำลังรักษาเมืองลู่ตูขอรับ”“โอ้!” เฉินฝานรีบยกมือกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วย เกือบจะลืมพวกเจ้าไปเสียแล้ว”“นายกองเมืองลู่ตู!” เฉินฝานตะโกนเสียงดังตามความเคยชิน“ขอ...ขอรับ” พานอีเฟยเลียนแบบการขานรับของพวกมั่วเซินด้วยควา
“ใต้เท้า ท่านวางใจเถอะ ข้าจะพาเขาออกไปได้แน่นอน” เหอจื่อกลินกล่าวรับปาก“เจ้าเองก็ด้วย อย่าอวดเก่งอย่าใจร้อน!”ถึงแม้เหอจื่อหลินรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เฉินฝานก็ยังมิวางใจ จึงให้ทหารรักษาพระองค์ที่ฉินเย่ว์เหมยสั่งให้มาอารักขาเขา ติดตามออกไปปกป้องเหอจื่อหลินด้วยครั้งนี้เหอกังมิได้มาด้วย เมื่อกลับไปเขามิอยากหลบหน้าเหอกัง-ด้านนอกเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่แน่นขนัดมากมายสุดลูกหูลูกตา ราวกับมดที่ออกจากรังจ้าวฮวั่นชำเลืองมองกองกำลังเมืองหลู่ด้านล่าง หันหน้ากลับมาถาม“สหายทั้งหลายพวกเจ้าเกรงกลัวหรือไม่?”“มิกลัว!”เสี่ยวซื่อชูคันศรในมือขึ้น กล่าวตอบเป็นคนแรกตอนที่อยู่เมืองหรงตู เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่ทำอันใดมิเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่สูงหนึ่งเมตรแปดสิบแล้วร่างกายกำยำ ผิวสีแทน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้วเขาที่เพิ่งจะได้ภรรยาใหม่และจะได้เป็นพ่อคน ได้กลายเป็นชายชาตรีที่มีสง่าราศีแล้ว“มิกลัว!”“มิกลัว!”เหล่าพลทหารต่างพากันชูอาวุธในมือ เปล่งเสียงพร้อมเพรียงดังกังวานราวกับระฆังใหญ่ในวัดดังกังวาน กึกก้องน้ำเสียงของพวกเขาดังทะลุไปนอกเมือ
โดยปกติ คนมหาศาลถูกโจมตีจนตายอย่างอเนจอนาถปานนั้น คงจะบั่นทอนขวัญกำลังใจให้คนที่ตามมามิกล้าผลีผลามบุกเข้ามาทว่า...“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านล่างหอประตูเมืองมิได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย กลับเสียงดังกึกก้องมากกว่าเดิมเสียอีกจ้าวฮวั่นวิ่งขึ้นไปที่หอประตูเมืองกวาดสายตามองลงมา...กองกำลังเมืองหลู่ยังคงมากมายมหาศาลราวกับฝูงมดมุ่งหน้าโถมเข้ามาที่เมืองลู่ตู“ท่านแม่ทัพ พลทหารเมืองหลู่เหล่านั้นเสียสติไปแล้วงั้นรึ?” รองแม่ทัพข้างกายจ้าวฮวั่นกล่าวถามจ้าวฮวั่นมิรู้จะตอบอย่างไร มองพลทหารเมืองหลู่ที่จำนวนมหาศาลด้านนอกเมือง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากอายุของจ้าวฮวั่นน้อยกว่าเหอกังเท่านั้น เขาติดตามเหอกังไปสู้รบทุกหนแห่งมิต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้งทว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกองกำลังที่บ้าคลั่งมิเสียดายชีวิตอย่างกองกำลังเมืองหลู่จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับไปมองในเมืองราษฎรในเมืองกำลังเดินทางอพยพ เป็นเพราะว่าต้องขนย้ายเสบียงด้วยจึงทำให้การอพยพค่อนข้างช้า“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านนอกเมืองเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ“พลธนู”“พลขว้างระเบิด”จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับมาตะโกนออกคำสั่ง“จงโจมตีต่อเนื่อ
“ขอรับ ใต้เท้า!”เฉินฝานเงยหน้ามองจ้าวฮวั่นที่กำลังวุ่นวายกับการสั่งการอยู่บนหอประตูเมืองทว่าก็เชื่อมั่นว่าพวกจ้าวฮวั่นก็จะสามารถทนรับมือได้ถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง-เกิดเสียงตู้มดังสนั่นขึ้น“องค์หญิง ๆ!” อัครเสนาบดีแค้วนหลู่น้ำตาคลอเบ้า วิ่งมาหาด้านหน้าโอวหยาวน่าหลันด้วยความตื่นเต้น “พังทลายแล้ว พวกเราพังทลายประตูเมืองลู่ตูแคว้นต้าชิ่งได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“จริงรึ!”โอวหยางน่าหลันสีหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินเสียง นางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงประตูเมืองลู่ตูพังทลาย หลังจากที่ได้ยินกับหูตนเองแล้ว ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นโอวหยางน่าหลันกระโดดขึ้นม้าสะบัดดาบไปทางเมืองลู่ตูอีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”คำพูดของโอวหยางน่าหลันเหมือนกับน้ำมันที่ราดใส่กองไฟ ปลุกกองกำลังเมืองหลู่ให้ลุกฮืออีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”ทหารเมืองหลู่ตะโกนคำปลุกใจบุกเข้าไปในเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่ที่หิวจนเสียสติ เมื่อเข้าไปในเมืองก็ค้นทุกหลังคาเรือนอย่างป่าเถื่อนมิต่างอันใดกันโจรปล้นเสบียงแม้แต่น้อยยังมีคนจำนวนน้อยที่มิยอมทำตามยืนหยัดที่จะอยู่ในเมืองต่อไปตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใ
โดยปกติ คนมหาศาลถูกโจมตีจนตายอย่างอเนจอนาถปานนั้น คงจะบั่นทอนขวัญกำลังใจให้คนที่ตามมามิกล้าผลีผลามบุกเข้ามาทว่า...“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านล่างหอประตูเมืองมิได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย กลับเสียงดังกึกก้องมากกว่าเดิมเสียอีกจ้าวฮวั่นวิ่งขึ้นไปที่หอประตูเมืองกวาดสายตามองลงมา...กองกำลังเมืองหลู่ยังคงมากมายมหาศาลราวกับฝูงมดมุ่งหน้าโถมเข้ามาที่เมืองลู่ตู“ท่านแม่ทัพ พลทหารเมืองหลู่เหล่านั้นเสียสติไปแล้วงั้นรึ?” รองแม่ทัพข้างกายจ้าวฮวั่นกล่าวถามจ้าวฮวั่นมิรู้จะตอบอย่างไร มองพลทหารเมืองหลู่ที่จำนวนมหาศาลด้านนอกเมือง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากอายุของจ้าวฮวั่นน้อยกว่าเหอกังเท่านั้น เขาติดตามเหอกังไปสู้รบทุกหนแห่งมิต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้งทว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกองกำลังที่บ้าคลั่งมิเสียดายชีวิตอย่างกองกำลังเมืองหลู่จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับไปมองในเมืองราษฎรในเมืองกำลังเดินทางอพยพ เป็นเพราะว่าต้องขนย้ายเสบียงด้วยจึงทำให้การอพยพค่อนข้างช้า“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านนอกเมืองเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ“พลธนู”“พลขว้างระเบิด”จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับมาตะโกนออกคำสั่ง“จงโจมตีต่อเนื่อ
“ใต้เท้า ท่านวางใจเถอะ ข้าจะพาเขาออกไปได้แน่นอน” เหอจื่อกลินกล่าวรับปาก“เจ้าเองก็ด้วย อย่าอวดเก่งอย่าใจร้อน!”ถึงแม้เหอจื่อหลินรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เฉินฝานก็ยังมิวางใจ จึงให้ทหารรักษาพระองค์ที่ฉินเย่ว์เหมยสั่งให้มาอารักขาเขา ติดตามออกไปปกป้องเหอจื่อหลินด้วยครั้งนี้เหอกังมิได้มาด้วย เมื่อกลับไปเขามิอยากหลบหน้าเหอกัง-ด้านนอกเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่แน่นขนัดมากมายสุดลูกหูลูกตา ราวกับมดที่ออกจากรังจ้าวฮวั่นชำเลืองมองกองกำลังเมืองหลู่ด้านล่าง หันหน้ากลับมาถาม“สหายทั้งหลายพวกเจ้าเกรงกลัวหรือไม่?”“มิกลัว!”เสี่ยวซื่อชูคันศรในมือขึ้น กล่าวตอบเป็นคนแรกตอนที่อยู่เมืองหรงตู เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่ทำอันใดมิเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่สูงหนึ่งเมตรแปดสิบแล้วร่างกายกำยำ ผิวสีแทน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้วเขาที่เพิ่งจะได้ภรรยาใหม่และจะได้เป็นพ่อคน ได้กลายเป็นชายชาตรีที่มีสง่าราศีแล้ว“มิกลัว!”“มิกลัว!”เหล่าพลทหารต่างพากันชูอาวุธในมือ เปล่งเสียงพร้อมเพรียงดังกังวานราวกับระฆังใหญ่ในวัดดังกังวาน กึกก้องน้ำเสียงของพวกเขาดังทะลุไปนอกเมือ
“ใช่แล้ว เป็นการทำเพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น ไฉนเจ้ามิดูเหล่าคุณชายในกองกำลังที่หนึ่งของเจ้า จนป่านนี้แล้วทุกคนยังเป็นพวกไร้ฝีมืออยู่ หากไปเผชิญหน้ากับกองกำลังเมืองหลู่จริง อาจจะปัสสาวะราดก็ได้นะ”“ถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้นกลิ่นปัสสาวะก็จะตลบอบอวลไปทั่ว”แม่ทัพประจำกองคนอื่นต่างพากันหัวเราะสะใจ“ปัสสาวะราดอันใด กองกำลังที่หนึ่งของข้ามิมีผู้ใดเป็นไก่อ่อนเสียหน่อย!” มั่วเซินกำหมัดแน่น“มิใช่ไก่อ่อนก็จริง แค่คงจะตกใจจน...”“พอได้แล้ว!”เฉินฝานตะโกนลั่น “ตอนนี้สงครามใหญ่จะเริ่มแล้ว ยังจะมาพูดจาล้อเล่นอีก!”“......” ตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงทันทีเฉินฝานกวาดสายตามองโดยรอบ “ตอนนี้ทุกกองกำลังล้วนได้รับมอบหมายหน้าที่แล้ว...“ใต้ ใต้เท้า”มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากมุมหนึ่งฝูงชนหันไปมองตามเสียงเสียงนั้นคือนายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟย“ใต้เท้า ท่านยังมิได้มอบหมายหน้าที่ให้พวกเรากองกำลังรักษาเมืองลู่ตูขอรับ”“โอ้!” เฉินฝานรีบยกมือกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วย เกือบจะลืมพวกเจ้าไปเสียแล้ว”“นายกองเมืองลู่ตู!” เฉินฝานตะโกนเสียงดังตามความเคยชิน“ขอ...ขอรับ” พานอีเฟยเลียนแบบการขานรับของพวกมั่วเซินด้วยควา
“พี่จื่อหลินพูดถูก สงครามครั้งนี้จะใช้แผนโจมตีจากด้านหลังมิได้เด็ดขาด”“กล่าวรายงานขอรับ!”เฉินฝานกล่าวมิทันจบ ก็มีพลส่งสาสน์เข้ามารายงานอีกกองทัพใหญ่แคว้นหลู่ห่างจากเมืองลู่ตูเพียงสิบลี้แล้วเฉินฝาน : “จ้าวฮวั่น เฉียนหง!”“ขอรับ!” จ้าวฮวั่นยืนตัวตรงทันที“พวกเจ้านำกองกำลังที่สองไปบนหอประตูเมือง!”“ขอรับ!”“เฉียนหง ซุนลี่ หลี่จื้อ”“ขอรับ!”“พวกเจ้าพากองกำลังที่สามสี่ห้า ออกไปนอกเมืองลู่ตู”“...ขอรับ!”ทั้งสามคนมิได้ขานรับทันที ต้องเคลื่อนทัพออกจากเมืองงั้นรึ?นี่หมายความว่าเยี่ยงไร? จะมิสู้แล้วงั้นรึ?ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความงุนงง ทว่าทั้งสามคนก็ยังยืนกรานที่จะทำตามคำสั่งและมีความตั้งตารอคอยเล็กน้อยยุทธวิธีของเฉินฝานมักจะแปลกประหลาด เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้เสมอพวกเขามิได้เดือดดาลมิยอมทำตามเหมือนตอนที่สู้รบกับกองกำลังเมืองเตียนตูอีกแล้วตอนนี้มิว่าเฉินฝานจะสั่งให้ทำอันใดก็ล้วนยอมทำตาม ในใจคาดหวังว่าจะได้เจอยุทธวิธีที่แปลกใหม่อันใดอีก“เฉียงหง หลังที่กองกำลังของเจ้าออกเมืองไปแล้ว ให้อยู่ตรงนี้!” เฉินฝานใช้ปลายพู่กันจิ้มไปที่ภูเขาลูกเล็กบนถาดทราย เนินเขาลูกนั
“กล่าวรายงานขอรับ!”นายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟยกล่าวรายงานว่าตอนนี้กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนห่างจากเมืองลู่ตูมิถึงสามสิบลี้แล้วสำหรับทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ในระยะทางสามสิบลี้มิถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถมาถึงเมืองลู่ตูได้ทางเฉินฝานยังมิได้ออกคำสั่งใดๆทุกคนล้วนรออย่างกระวนกระวายใจ รวมถึงเหอจื่อหลินและเย่ว์หนูด้วยเฉินฝานขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม จ้องถาดทรายด้านหน้าอย่างมิละสายตา“พี่จื่อหลิน!”จู่ ๆ เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้นมา “เรียกกองกำลังลาดตระเวนห้าหมู่และนายกองกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูเข้ามาเถอะ!”หลังจากที่กองกำลังเหล่านั้นเข้ามา เฉินฝานอธิบายการรับมือสถานการณ์ตอนนี้ให้เหอจื่อหลินฟังคร่าว ๆตอนที่ได้ยินว่ากองกำลังเมืองหลู่ตูมีแปดแสนคน ห้ากองกำลังลาดตระเวนก็ตื่นตกใจควบสติไว้มิได้จำนวนแปดแสนคนเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มหาศาลก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่ามากที่สุดคงจะมิเกินสามแสน“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนจวนจะมาประชิดเมืองแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอันใดหรือไม่? หรือมียุทธ์วิธีที่ดีอันใด? พูดออกมาให้หมด”ตอนที่เฉินฝานพูดเขายังคงจ้องมองถาดทราย และย้ายธงบน
“ใต้เท้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”เหอจื่อหลินรีบก้มหน้าลง คำพูดของเฉินฝานเรียกสติเขากลับมาเป็นจริงอย่างที่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิสมควรจะกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจโชคดีที่ว่าตอนที่ให้พานอีเฟยมากล่าวรายงาน เฉินฝานก็ให้แม่ทัพกองกำลังลาดตระเวนคนอื่นออกไปด้วยในชายคา มีเพียงเฉินฝาน เหอจื่อหลิน เย่ว์หนูเย่ว์เจียวรวมกันสี่คน“นายท่าน!” เย่ว์หนูเดินรุดหน้าขึ้นมา “ตอนนี้กองกำลังหญิงมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันคน ทุกคนล้วนมีความสามารถในการขว้างระเบิดมือ และครั้งนี้พวกเรามีระเบิดเหลือเฟือ ตอนนี้บ่าวสามารถนำกองกำลังหญิงออกไปนอกเมืองเพื่อขุดกับดักวางระเบิดสังหารพวกเขา”“ชายชาตรีอย่างข้ายังสู้เย่ว์หนูมิได้!”ในขณะที่เหอจื่อหลินตำหนิตนเอง ก็รู้สึกฮึกเหิมสุดขีด มิมีท่าทางห่อเหี่ยวเมื่อครู่แล้ว“เมื่อตอนที่กองกำลังหญิงกำลังเริ่มจุดระเบิด กองกำลังแคว้นหลู่จะลนลานทำอะไรมิถูก ข้าก็ใช้จังหวะนี้นำทัพกองกำลังลาดตระเวนหนึ่งหมื่นคนและกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูห้าหมื่นคนมุ่งเข้าไปสังหารมิให้พวกเขาไหวตัวทัน”เหอจื่อหลินยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม อยากจะลงมือใจจะขาดเย่ว์หนูก็เช่นกันเป็นครั้งแรกที่นางได้นำทัพกองกำลังหญิงมา
“ฝ่าบาท หยุดตีได้แล้ว!”“ฝ่าบาท ท่านก็จูบข้าเสียหน่อยสิ เช่นนี้เวลาที่ข้าอยู่ในสนามรบ จะได้มีฝ่าบาทไว้คอยเตือนใจมิให้อวดดีไปทั่ว ดูแลรักษาตนเองไว้ให้ดี”“ชายลามกไร้ยางอาย หมกมุ่นในเรื่องนั้นทุกวินาทีเลยหรือกระไร!”“โอ๊ย เจ็บๆ ฝ่าบาท ข้าผิดไปแล้ว หยุดตีเสียที!”ฉินเย่ว์เหมยที่ยิ่งคิดยิ่งโมโหไล่ทุบตีตั้งแต่ด้านล่างจนไปถึงบนรถม้า“ฝ่าบาท ถ้ายังตีอีก ประเดี๋ยวหน้าข้าปูดบวมจะมีหน้าไปเจอเหล่ากองกำลังลาดตระเวนได้อย่างไร...เฉินฝานที่กำลังร้องโอดครวญ จู่ ๆก็เงียบไป เขารู้สึกเพียงว่ามีปากอันอ่อนนุ่มละมุนมาประทับริมฝีปากเขาไว้ริมฝีปากที่มาประทับนั้นช่างหอมหวาน ทำให้เฉินฝานรู้สึกสดชื่นสุดขีดชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่าทางในการประทับริมฝีปากเงอะงะอย่างมาก มิใช่การจูบแม้แต่น้อยเฉินฝานยื่นมือออกไปคิดจะคว้าฉินเย่ว์เหมยมากอดเพื่อสอนวิธีการจูบให้กับนาง ปรากฏว่ามือของเขายังมิทันได้สัมผัสฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยก็ลุกขึ้นไปแล้ว วิชาตัวเบาของฉินเย่ว์เหมยยอดเยี่ยม เฉินฝานคว้าตัวนางไว้มิทัน“ถ้าเจ้ากล้ากลับมาด้วยร่างไร้วิญญาณ ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม!”เสียงเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยดังข
สีหน้าของฉินเย่ว์เหมยกระอักกระอ่วนสุดขีดเฉินฝานกลับดีใจกับคำพูดของหงอิง “ได้ยินหรือไม่ กอดจูบเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”ใบหน้าเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยขึ้นสีทันที“หงอิง เจ้ามีนิสัยชอบพูดเหลวไหลเหมือนกับเหล่าหมัวมัวตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำแผลเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ถ้าทำเสร็จแล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ!”“ฝ่าบาท จวนจะเสร็จแล้วเพคะ!”หงอิงรีบก้มหน้าตั้งใจทำแผลให้เฉินฝานด้วยความรวดเร็วเมื่อครู่รู้สึกขัดหูขัดตาเกินไป จนลืมไปว่าฉินเย่ว์เหมยเป็นจักรพรรดินี นางเป็นขุนนางหลังจากที่หงอิงออกไปแล้ว ในรถม้าก็เหลือเพียงเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยเฉินฝานมิได้หยอกล้อฉินเย่ว์เหมย เอนตัวมองฉินเย่ว์เหมยโดยมิพูดอันใดดวงตาสุกสกาว คิ้วเรียวงาม ใบหน้ายลโฉมนางนั่งนิ่งสงบและโดดเดี่ยว ราวกับกล้วยไม้ที่อยู่กลางหุบเขาใบหน้าอันงดงามมีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆในสงครามรบราฆ่าฟันมิเลือกหน้า นางกังวลความปลอดภัยของเฉินฝานหัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมโดยตลอด เฉินฝานมองแล้วรู้สึกมิสบายใจ เขาจึงยื่นมือไปคลายคิ้วที่ขมวดของฉินเย่ว์เหมยออก“ มิต้องห่วงหรอก ข้าจะปลอดภัยแน่นอน”“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน!”ฉินเย่ว์เหมยปากร้ายใจดีเหมือนดั่งเคย