ดวงตาหงส์มองไปยังเซียวเจี้ยนอี้ และถี่หลันไม่อยากเชื่อว่านางจะพลาด อีกอย่างไม่มีทางเป็นไปได้ที่แมลงคู่รัก ที่เป็นตัวผู้ (บริวาร) จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเซียนเจี้ยนอี้“จับตัวใต้เท้าเจี่ยงน้อยไว้ ตัดหัวเขา แล้วหาแมลงของข้าให้พบ เอามันออกมาให้ได้”ถี่หลันกล่าวออกไปอย่างไม่คิด ทั้งที่คนของนางมีน้อยกว่าเซียนเจี้ยนอี้ ยามนั้นจึงเกิดความชุลมุน เซียนเจี้ยนอี้ สั่งสมุนให้พาเขาจากไป และไม่วายทิ้งท้ายว่า“ยิงธนูไฟทำลายที่นี่ ให้สิ้นซาก!”กองกำลังของเซียนเจี้ยนอี้ คือมือสังหารที่ถูกวางยาคืนชีพ(ยาที่ฟ่านอวี้เหยาปรุงขึ้นก่อนหน้านี้) คำสั่งของเขาเป็นผลอย่างรวดเร็ว เหล่าชายฉกรรจ์ที่มีมีลูกธนูไฟก็ระดมยิงใส่ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น รวมถึงฝ่ายของถี่หลันด้วยรถม้าคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากจุดอันตราย ยามนั้นฟ่านอวี้เหยามีหลายสิ่งอยากถามปู้หว่านถิง แต่นางก็มีเรื่องต้องกังวลที่ไม่อาจนิ่งเฉย เพราะดูเหมือนว่า หากมัวรั้งรออยู่ในพื้นที่อันตราย นางกับเด็กในครรภ์อาจได้รับอันตราย ปู้หว่านถิงพาหญิงสาวขึ้นรถม้าคันใหญ่ ปกติเขาจะนิ่ง ไม่แสดงความเป็นกังวลให้เห็น ทว่าเมื่อฟ่านอวี้เหยามีสีหน้าไม่สู้ดี และร้องโอดโอย
ตอนพิเศษ จวนแม่ทัพปู้ เมืองหลวงแคว้นฉางไห่ สองปีผ่านไป ปู้หว่านถิงเห่อลูกสาวของตนมาก และเด็กน้อยมีชื่อว่า เจียอี สมใจเขา ทว่าหลายสิ่งที่ชายหนุ่มเป็นกังวล แม่นางน้อยไม่ได้อ่อนหวาน หรือมีนิสัยเรียบร้อยนัก ออกจะเล่นซุนซน และยามนี้คลานเก่งมากจนเขาเป็นห่วง คลาดสายตาทีไร ก็ออกมาลานโล่ง แล้วหมายตาร้องเรียกม้า นิสัยนางมองอย่างไรก็เหมือนเด็กชาย และเป็นเด็กชายที่ห้าวหาญ บ้าบิ่นมากๆ ด้วย “เสี่ยวอีอี เจ้ายังเด็ก ขี่ม้าไม่ได้ เอาไว้โตกว่านี้สักหน่อย อีกอย่างเด็กผู้หญิงควรสนใจ ดอกไม้ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ไม่ก็เข้าครัวทำอาหาร เช่นนี้ นับว่าเป็นยอดสตรี” คนเป็นพ่อบอกแบบนั้น ทว่าแม่นางน้อยหน้าง้ำงออีกอย่างเสื้อผ้าที่นางสวมแลดูคล้ายเด็กชาย ไร้สีสันสดใส เป็นน้ำเงิน ดำ หรือเทา นี่คือสิ่งที่นางพอใจ และหัวเราะเอิ๊กอ๊าก มิหนำซ้ำยังชอบแยกเขี้ยวยิงฟันข่มขู่เวลาถูกขัดใจ คนที่นางกลัว ไม่กล้าหือ หรือส่งเสียงดังใส่ก็มีแต่ฟ่านอวี้เหยา เรียกได้ว่ามารดาเท่านั้นที่เอานางอยู่ “ฮี่ กับๆ ๆ ไป ฮี่กับๆ ๆ” เจียอีว่าและชี้มือไปที่ม้า คราแรกปู้หว่านถิงกำ
ตัวละครในเรื่อง รั่วตงอวิ๋น นางโลม อวิ๋นเอ๋อร์/เสี่ยวอวิ๋น/อวิ๋นชิน โต้วเซ่าเหล่ย องค์ชายเจ็ด คนอัปลักษณ์ทั้งเหี้ยมโหด ปิงจือจือ ชายารอง เหยาเหอซาน ชายาเอก จิ่งเว่ยหาน บัณฑิตหนุ่ม / นักเล่านิทาน รั่วเหอ บิดารั่วตงอวิ๋น พ่อบ้านจาง จางคังฉิก แม่เล้าลี่ ลี่ชุน หมางจู พี่จูจู (นางโลมรุ่นพี่) ซิงอี ลูกสาวฝาแฝดคนโต ซีห่าว ลูกชายฝาแฝดคนเล็กสถานที่ในเรื่อง ตำหนักอ๋องเจ็ด หูเหยียน แคว้นต้าเหลียง เมืองหลวงฝาง เมืองชนบท ไป๋กว้าน หอวสันต์รัญจวน******************************** “สตรีบอบบางเช่นเจ้า ไม่ควรท้าทายบุรุษ... โดยเฉพาะคนอัปลักษณ์ ทั้งกินมูมมาม และเอาแต่ใจเช่นข้า” “เฮอะ ข้านิยมเอาชนะผู้อื่น โดยเฉพาะบุรุษที่ชอบยกหางตนเอง!” เมื่อนางต่อว่าเขาเป็นสุนัข ดวงตาคมส่งประกายวาบหนึ่งขึ้น แล้วท่อนแขนกำยำก็ขยับรัวๆ รั่วตงอวิ๋นตัวสั่น นางซ่านสยิว และไม่อาจเก็บเสียงคราง ทั้งคำพูดหยาบคายได้อีกต่อไป “เพ้ย... ทะ ท่านเป็นม้าศึกหรืออย่างไร ถึงได้แรง
รั่วตงอวิ๋นสมองขาวโพลนไปหมด นางรู้ว่าต้องตกเป็นของจิ่งเว่ยหาน และเตรียมใจเตรียมรับศึกครั้งนี้ ทว่านางก็อยากให้ทุกอย่างถูกต้อง เขากับนางสมควรแต่งงาน มีการกราบไหว้ฟ้าดิน รวมถึงหนังสือรับรองจากศาลเมืองฝาง นั่นคือสิ่งที่นางคิดไว้ “ข้าปรารถนาท่าน ตะ แต่... ทุกอย่างต้องไม่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ” บอกเขาไปอย่างนั้น และการหายใจก็ติดๆ ขัดๆ เนื่องจากนิ้วของเขา แทรกกลีบอวบอูม และถลำลึกลงไปสัมผัสเกรสหวานฉ่ำของนาง แล้วบีบบี้พอให้นางส่งน้ำใสๆ ออกมาจนชุ่มมือเขา “พี่หานกำลังทำร้ายข้าหรือไม่” ความไร้เดียงสาของนาง ทำให้จิ่งเว่ยหานพึงใจยิ่ง สตรีผู้นี้งดงาม อ่อนหวาน และฉ่ำเยิ้มเหลือเกิน สมแล้วที่เขาเลือกนางมาที่นี่ด้วยกัน “เสี่ยวอวิ๋น ชอบพี่มากเพียงใด” เขาเรียกนางอย่างอ่อนหวานเสมอ “เพราะพี่หาน คือพี่หาน... จะเป็นสามีข้า เป็นบิดาของลูก” นางเอ่ยจบก็หลับตาพริ้ม ในขณะนั้นเขาสัมผัสเกรสฉ่ำน้ำใสๆ ของนางอย่างเบามือ อันที่จริง รั่วตงอวิ๋นอยากให้เขาส่งแรงมากกว่านี้ นั่นคือความปรารถนาที่ในหัวคิด ทว่าเขากับเพียงแค่เย้ายั่ว ก่อนปล่อยมือจากเกรสความงดงามสีชมพู จากนั้นลิ้นยาว
รั่วตงอวิ๋นตื่นขึ้นมาในห้องที่มีกลิ่นแปลกๆ หอมอยู่หรอก แต่บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายบุรุษเข้มข้น และไม่ใช่แค่คนเดียว เพราะมันหนาหนักจนอึดอัด พอนางขยับตัว ก็เจ็บแปลบที่ศีรษะ ทั้งรู้สึกมวนท้อง แต่นอกเหนือจากนั้น ข้อเท้าข้างหนึ่งมีโซ่ล่ามไว้ ทั้งเสื้อผ้าเป็นเพียงเอี๊ยมบังทรงกับกางเกงขาสั้น เปิดเผยเนื้อหนัง ทั้งที่อากาศในห้องนี้ค่อนข้างเย็น เกิดสิ่งใดขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียเหลือเกิน และทั้งห้องมีเพียงแสงจากเทียนไข มันอึมครึมไปหมด “อ๊ะ... พี่หาน... ทะ ท่านอยู่ที่ใด” หญิงสาวร้องเรียกอีกฝ่าย แต่ไม่มีเสียงเขาตอบกลับ พอกวาดตาสำรวจให้ถ้วนถี่ สถานที่นี้ดูคล้ายห้องขัง หรือไม่ก็ห้องสำรับลงโทษผู้คน เกือบพักใหญ่ เสียงหัวเราะแหลมเล็กก็ดังขึ้น คนที่โผล่หน้ามาคือ ลี่ชุน ด้านหลังนางมีผู้ชายตัวหนาใหญ่สองคน ทั้งคู่วางสีหน้าเหี้ยม มองแล้วรั่วตงอวิ๋นไม่อาจคิดเป็นอื่น หากไม่ใช่ว่า นางถูกจับตัวมา “พะ พวกท่านทำสิ่งใดพี่หาน จับตัวข้ามาเพื่อเรียกค่าไถ่เยี่ยงนั้นหรือ” นางคะเนว่า ข่าวที่นางหลบหนีออกจากเรือน คงทราบถึงหูบิดาแล้ว แต่คนอย่างเขาจะสนใจนางได้เยี่ยงไร ป
เมื่อนางมาถึงโถงแต่งตัวของเหล่าสาวงาม ก็ต้องเหนื่อยใจหนัก สตรีที่ให้คนจัดหาไว้ ไม่เด็กเกินไป ก็อายุมากโข เป็นหญิงที่ปกติไม่ให้รับแขก เนื่องจากมีไว้สำหรับร้องรำและเล่นดนตรี พวกนางไม่งดงามเยี่ยงหญิงที่รับแขก แต่เมื่อจับแต่งตัวแล้วก็ไม่ขี้เหร่เกินไป “ให้นางรับแขกเถอะ... มิเช่นนั้น อาจเกิดเรื่องใหญ่แน่” หมางจูคือหญิงงามอีกคนที่ ได้รับความไว้วางใจจากลี่ชุน ให้ช่วยดูแลน้องๆ ปีนี้อีกฝ่ายอายุย่างยี่สิบหกแล้ว แต่ใบหน้ายังดูไร้เดียงสา “เจ้าหมายถึงเสี่ยวอวิ๋นเยี่ยงนั้นหรือ... นางดื้อรั้นเพียงนั้น!” “ก่อนหน้านี้คงใช่ แต่ตอนนี้นางดีขึ้นมาก อีกอย่างข้าเตรียมนางเพื่องานสำคัญ หากคุณชายท่านนั้นให้เงินมากพอ นางคงสบายไปหลายเดือน ไม่ต้องอวดเนื้อหนังในถึงไม้ให้คนชม” “แต่คนติดตามคุณชาย บอกว่าต้องรับทวนทองสองกำโผล่ได้ แล้วสตรีที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ใด ไฉนนางจะทนทานสิ่งใหญ่โต ข้ากลัวนางจะสิ้นใจตายเสียก่อน” หมางจูถลึงตาใส่ลี่ชุน อีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่า เมื่อหลายปีก่อน แม่เล้าผู้นี้ ส่งนางไปเป็นเครื่องบรรณาการพวกนอกด่าน ต้องรับนอนกับพวกที่กินกลางดินนอนกลางทราย และขน
น้ำลายของนางพ่นออกมา และมันถูกใบหน้าเขาอย่างหลบเลี่ยงไม่ทัน ดวงตาคมกริบคู่นั้นคล้ายจะลุกเป็นไฟ เขาเตรียมเหวี่ยงร่างนางทิ้ง แล้วให้คนจับโยนออกไปทิ้งให้พ้นสายตา ทว่าจู่ๆ คนตัวโต กลับเปลี่ยนความคิดใหม่ ชายหนุ่มใช้ลิ้นเลียริมฝีปากตน ส่วนคราบเหนียวหนึบที่นางพ่นน้ำลายใส่นั้น เขาไม่สนใจเช็ดออก เมื่อนางกล้าดี ก็จงเตรียมรับผลของคนเก่ง ที่กล้าท้าทายเขา “เจ้าพ่นสิ่งโสโครกใส่ข้า ดี ข้าก็จะสาดความอุ่นข้นราดรดร่างกายเจ้าเช่นกัน ทั้งกลีบฉ่ำๆ ในร่มผ้า สองเต้าที่ใหญ่เท่าผลแตงโม ใบหน้างามๆ และริมฝีปากที่พ่นวาจาสุนัขไม่รับประทานนั่น ทั้งหมดสมควรอาบด้วยน้ำขาวขุ่นของข้าผู้นี้” รั่วตงอวิ๋นสะเทือนใจที่อีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้กับนาง ทว่ามันคือสิ่งที่เตรียมใจไว้แล้ว บุรุษที่ปากหวานก้นเปรี้ยว หากทำนางช้ำใจเจียนบ้า ส่วนโต้วเซ่าเหล่ยคนผู้นี้จะมีพื้นนิสัยเลวทราม หรือมารยาทแย่เช่นไร นางย่อมรับมือได้ ขอเพียงเขาไม่ฆ่านางตายเป็นพอ ใบหน้างามล้ำเชิดสูงท้าทาย และเอ่ยว่า “เงิน... ท่านยอมจ่าย ข้าก็จะเป็นของเล่นให้ท่าน” โต้วเซ่าเหล่ยปล่อยมือจากลำคอระหง แล้วดันร่างนา
รั่วตงอวิ๋นพบคนไร้ยางอายมาก็มิน้อย แต่ไร้ยางอาย และยังยกหางตนให้สูง คงเป็นเช่นโต้วเซ่าเหล่ยผู้นี้“หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าไม่คิดมีบิดาเช่นท่าน และท่านเป็นได้ก็แค่ สุนัขที่นอนกับข้าเท่านั้น แถมคงเหมือนกำลังยกหางขึ้นเพื่อเตรียมถ่ายเบาด้วยสินะ!” นางยังคงไม่กลัวตายเช่นเดิม ถึงได้พ่นวาจาที่รุนแรง อย่างไม่ระวังปาก ทว่าคนตัวโต ที่ริมฝีปากแดงสีสด ยิ้มชอบใจ และเอ่ยเสียงแหบต่ำว่า “บัดซบ ความหยาบคายของนางโลมผู้นี้ มันทำให้ข้าอยากหลั่งความสุขออกมาจนหมดตัว” เขาว่าแล้วจึงแทรกนิ้วเข้ากลีบลึกของนาง หญิงสาวอยากต่อต้าน ทว่าร่างกายกับอ่อนระทวย นิ้วใหญ่แหวกทางสวาท เขาไม่ผ่อนปรนสักนิด คงตั้งใจให้นางหวีดร้องเสียงหลง และพอรู้ว่ารั่วตงอวิ๋น ยังบริสุทธิ์อย่างที่นางประกาศต่อหน้า เขาก็ส่งเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ทะ ท่านมันเก่งแต่ ตอแยผู้ที่ไม่มีทางสู้” “เด็กน้อย เจ้าสามารถใช้กระบวนท่าของสตรีรับมือข้าได้ ไม่เชื่อลองใช้กลีบอวบๆ ตอดนิ้วมือข้าสิ แล้วปล่อยน้ำหวานออกมาให้ชุ่มนิ้วข้า” ปากเขาพูดพล่ามไป พร้อมซอยนิ้วไม่ยั้ง รั่วตงอวิ๋นสั่นทั้งร่าง แต่ไม่ได้ครางเสียงน่าเ
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย
ในกลางดึกคืนนั้น ฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ กระนั้นก็มีแขกมาเที่ยวตรอกโคมเขียวไม่หยุด ทว่ามีเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวซอมซ่อ ก้าวเข้ามาที่หอวสันต์รัญจวน และบอกว่าอยากได้หญิงงามสักคนปรนนิบัติ เสียงหัวเราะดังขร่ม สายตาทุกคู่มองเขา และส่งความดูถูกไปอย่างปิดไม่มิด ลี่ชุนส่ายหน้าระอา คนผู้นั้นไม่มีเงิน หากบอกแต่ว่าจะนำอาหารที่เขาเตรียมมาเป็นค่าตัวหญิงงาม อันที่จริงนางเข้าใจความต้องการของบุรุษดี แต่นางไม่ได้เปิดโรงทาน เพื่อให้สาวงามในหอฯ หลับนอนกับผู้ใดโดยไม่จ่ายเงิน “จับมันโยนออกไป” แม่เล้ากล่าวอย่างนั้น ก็มีหลายคนที่พุ่งเข้ามาหมายจะทำตามคำสั่ง แต่ไม่ทันได้ถึงตัวเขา คนของหอนางโลมพากันล้มกองลงพื้น และร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร ลี่ชุนมองซ้ายแลขวา คาดว่าคืนนี้นางต้องเจอเรื่องชวนปวดหัวเป็นแน่ ใครกำลังเล่นตลกกับนาง เหล่าจอมยุทธ์ไม่ค่อยแวะเวียนมาใช้บริการหอวสันต์รัญจวน คนพวกนั้น มักไปทางตรอกทางใต้มากกว่า ด้วยราคาสาวงามประหยัด ไม่เรื่องมาก อีกทั้งมีการแสดงของนักมายากลด้วย ส่วนบริเวณนี้ มักเป็นขุนนาง พ่อค้า หรือคนต่างเมืองที่มีฐานะ หรือไม่ก็พว
หลายวันที่ผ่านมา รั่วตงอวิ๋นทำตัวราวกับเป็นสายลับ แม้ลี่ชุนกับหมางจูจะห้ามปราม แต่พื้นนิสัยนางเป็นคนรั้น เมื่อสมองคิดจึงเร่งมือทำ และทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้มั่นใจว่า บุรุษที่นางพลีกายให้เขา คือคนที่ภายภาคหน้านางจะสามารถมอบหัวใจแก่อีกฝ่าย เรื่องนี้ออกจะเป็นการฝันเฟื่อง ทว่าภาษากายที่เขาส่งถึงนางให้คืนเร่าร้อน และคำพูดที่บอกทิ้งท้ายเอาไว้ แจ้งชัดว่าเขาถวิลหานาง “อวิ๋นชิน เป็นนางโลมแล้ว ยังสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ข้า และทำหน้าที่มารดาที่ดีได้หรือไม่” คำพูดเขา ฟังแล้วก็คงเป็นของชายปากร้าย แต่อย่างที่นางบอก คนสวมหน้ากากครึ่งหน้า แสร้งทำตัวอัปลักษณ์ ซึ่งเขาไม่ได้แสดงด้านดีๆ ออกมาให้นางเห็นแต่แรก กระนั้นกลับสร้างความประทับใจต่อรั่วตงอวิ๋น จนภาพเขา เสียงเขา วิ่งวนอยู่ในหัวนางโดยไม่อาจสลัดให้หลุดพ้น “ขึ้นอยู่กับว่า บิดาของพวกเขา เห็นแม่ของลูกเป็นสิ่งของ หรือคู่ชีวิต ข้าไม่ต้องการเป็นเสื้อผ้า ที่วันหนึ่งมันเก่าทั้งขาด ท่านก็คิดจะโยนมันทิ้ง โดยไม่เหลียวแลอีก” “ไม่ใช่เสื้อผ้า ไม่ใช่เครื่องประดับ ข้าอยากให้เจ้าเป็นมารดาของก้อนแป้งสักสามสี่ก้อน เพียงเท่านี้ทำไ
การมาที่นี่ ไม่คาดคิดว่ารั่วตงอวิ๋นจะได้พบกับคนสาระเลว เหตุการณ์มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดสักหน่อย คราแรกนางก็ชมการแสดงอย่างมีความสุข ทั้งแจกรางวัลให้นักแสดงไปมิน้อย นั่นคือการแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น หลังจากได้เงินมาจากโต้วเซ่าเหล่ย ตามเดิมนางควรกลับหอวสันต์รัญจวน แต่เพราะการได้พบนักเล่านิทานสัปดน ความแค้นในใจก็ทำให้นางต้องวางแผนร้าย “เสี่ยวอวิ๋น... เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” ยามนี้หมางจูทราบแล้วว่า จิ่งเว่ยหานอยู่ที่นี่ และเขากลายเป็นนักเล่านิทาน “ฮึ ข้าไม่คิดว่า เขาจะมาทำงานเช่นนี้ คงเป็นเพราะสอบขุนนางไม่ได้ เรื่องนี้ข้าควรเฉลียวใจตั้งแต่แรก ว่าเขามีดีก็แค่หน้าตา และคำลวง” หมางจูเข้าใจสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นกล่าว นางผ่านประสบการณ์ถูกคนชั่วหลอกให้หลงรัก สุดท้ายก็มาทำงานที่หอนางโลม มีชีวิตไม่ต่างจากสตรีคนอื่นๆ “แล้วคิดจะทำเช่นไร แก้เผ็ดเขาเยี่ยงนั้นหรือ” “มิได้ ข้าแค่อยากให้เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้ ต้องขายตัว ขายศักดิ์ศรี อยู่ใต้ชายกระโปรงสตรีไปชั่วชีวิต” “นั่นหมายความว่าเจ้าจะซื้อเขาไปเป็นทาสรับใช้” รั่วตงอวิ๋นส่ายหน้า