หลินหว่านมองความหน้าด้านไร้ยางอายของมู่ซ่านเซินแล้ว นางยิ่งรู้สึกเกลียนตระกูลนี้มากขึ้นไปอีกหลายเท่า ปากที่ช่างสรรหาคำพูดให้ตนเองเป็นผู้ถูกกระทำมันน่าตัดลิ้นยิ่งนัก กลับดำเป็นขาวสาดโคลนใส่นางอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เรื่องอะไรที่หลินหว่านจะยอมเพราะพยานและหลักฐาน ล้วนมีอยู่ในมือรวมถึงชาวบ้านมากมายทั้งในเมือง ทั้งคนที่หมู่บ้านหลูหยางไหนจะคนข้าง ๆ ที่พร้อมปกป้องนางตลอดเวลา“สิ่งที่ข้าพูดออกมาล้วนเป็นความจริง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตระกูลมู่ของท่าน มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่วันเวลาใดและที่ไหน เพราะข้ามีหลักฐานยืนยันว่าตั้งแต่ถูกขับไล่ออกจากจวน ก็เดินทางรอนแรมมาถึงเมืองหยางหลิวแคว้นหยาง เปิดแผงขายขนมหาเลี้ยงชีพตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ ไม่เคยเดินทางไปเมืองอื่นหรือกลับแคว้นเว่ยอีก”“หึ ตัวเจ้าอยู่ที่นี่ก็จริงแต่ยังสามารถจ้างคนไปทำแทนได้นี่ อย่าคิดแก้ตัวให้ตนเองพ้นความผิดไปเลย เมื่อสามเดือนก่อนเจ้าจ้างบุรุษไปทำลายงานแต่งของหย่าเออร์ จนนางถูกบ้านสามีส่งกลับจวนทำให้ชื่อเสียงป่นปี้” มู่ซ่านเวินยังไม่ยอมแพ้“นี่ ๆ ๆ อย่าหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะนายท่านผู้นี้ หากว่าเป็นสามเดือนก่อนอย่างที่ท
หลังจากส่งหวังซินหยางออกไปทำภารกิจ หลินหว่านกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง นางตรงไปยังห้องครัวเพื่อหยิบเอาเกลือและพริก เพื่อนำไปทำพิธีสาปแช่งในแบบฉบับของคนโบราณในโลกเดิม น่าซือกับหยุนเหลียงที่เห็นหลินหว่านหยิบของทั้งสองออกไป จึงตามนางไปยังลานด้านหน้าด้วยความอยากรู้ ว่าหลินหว่านจะนำพริกกับเกลือไปทำอันใดเมื่อถึงลานหน้าบ้านหลินหว่านนำเตาถ่านมาว่าง และเริ่มจุดไฟเมื่อเตาถ่านพร้อมมือทั้งสองข้าง เริ่มหยิบพริกกับเกลือขึ้นมาโยนเข้าไปในกองไฟ ต่อด้วยคำสาปแช่งที่แม้ท่านปู่ท่านตาทั้งหลาย ด้านบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังต้องสะดุ้งกับคำที่หลินหว่านพูดออกมา“สาธุ ข้าผู้น้อยโจวหลินหว่านขอทำการสาปแช่ง ผู้คนในจวนตระกูลมู่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของจวนญาติพี่น้อง รวมถึงบ่าวไพร่ทุกคนที่อยู่ร่วมกันที่นั่น ขออ้อนวอนต่อท่านเทพทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ โปรดรับฟังและทำให้คำสาปแช่งของข้าเป็นจริงดังนี้ ขอให้พวกมันกินข้าวไม่อร่อยร่างกายซูบผอม เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุจนทำงานไม่ได้ ขอให้สายฟ้าฟาดทำลายเรือนทั้งหมดในจวนตระกูลมู่ คนเหล่านั้นจะได้ไม่มีที่ซุกหัวนอนเช่นที่ข้าต้องอยู่กระท่อมเก่า ๆ ขอให้เงินทองที่ต้องใช้สร้างเรือนมีอุปสรรคนานัปกา
หลังจากขายขนมเสร็จในวันถัดมาเมื่อทุกคนทานมื้อเช้าเรียบร้อย จึงลงความเห็นว่าจะไปหารือกับหัวหน้าหมู่บ้าน พร้อมกับนำธูปไล่ยุงไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านได้ลองใช้ ว่าสิ่งที่หลินหว่านคิดค้นขึ้นมาสามารถไล่ยุงได้จริง รวมถึงความรู้เรื่องโรคบาดที่เกิดจากยุงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ด้วย ส่วนซินหยางมอบธูปไล่ยุงจำนวนยี่สิบก้านให้กับซั่วเหยียน เพื่อนำไปส่งให้กับหยางอ๋องโดยม้าเร็วของเจ้าเมือง ที่สำคัญต้องนำเรื่องนี้จดทะเบียนซึ่งมีหลินหว่านเป็นเจ้าของและผู้คิดค้น ใต้เท้าเกาที่เห็นธูปไล่ยุงก็เกิดความสนใจอยากได้มาจุดบ้าง แต่ซั่วเหยียนไม่อาจแบ่งให้ได้จึงบอกไปว่าให้ใต้เท้าเกา รออยู่ที่ศาลาว่าการพรุ่งนี้เช้ายามเข้ามาขายขนม เขาจะขอแบ่งจากหลินหว่านมามอบให้อีกครั้ง ใต้เท้าเกาถึงกับดีใจที่จะได้ใช้สิ่งที่มีประโยชน์เช่นนี้ ส่วนตัวคงต้องรอขออนุญาตกับหลินหว่านเสียก่อน สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้ยุงกัดและการทำงานที่เพาะพันธุ์ของยุงด้านหัวหน้าหมู่บ้านหลูหยางได้ฟังรายละเอียด จนถึงประโยชน์ของธูปไล่ยุงจากต้นตะไคร้ เขาไม่รอช้ารีบเคาะเกราะไม้เรียกประชุมอย่างรวดเร็ว เพราะยามนี้เขาดีใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร“ป๊อก ๆ ๆ ๆ”
เรื่องราวของตระกูลมู่ถูกพูดถึงในเช้าวันต่อมาทันที เพราะผู้คนในเมืองหลวงต่างคิดคล้ายกันว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หากเป็นภัยธรรมชาติเหตุใดจวนของพวกตนไม่เป็นอันใด ไม่มีใครได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้แม้แต่น้อย จนเกิดข่าวลือขึ้นที่ว่าภายในตระกูลมู่มีตัวกาลกิณีตัวหายนะ ทำให้ตระกูลต้องพบเจอกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติได้ พวกเขาต่างเฝ้ารอว่าเสนาบดีมู่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแคว้นเว่ย หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับแคว้นหยางที่กำลังจะมีการประกาศข่าวดี อันเป็นประโยชน์ต่อราษฎรผู้มีอาชีพทำการเกษตร เมื่อหยางอ๋องเห็นผลลัพธ์ของธูปไล่ยุงในคืนเดียว จากนั้นจึงเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อถวายรายงาน สิ่งที่หลินหว่านได้คิดค้นทดลองทำจนประสบผลสำเร็จต่อฮ่องเต้ทันที การเดินทางเกือบหนึ่งเดือนไม่ได้ทำให้หยางอ๋องรู้สึกเหนื่อยล้า เพราะยังคงตื่นเต้นกับสิ่งที่หยางอ๋องรับรู้โดยเชื่อว่า หากฮ่องเต้ทรงทราบต้องมีอาการไม่ต่างจากตนเช่นกัน ก่อนจะเข้าวังหลวงจึงได้แวะจวนอ๋องชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้จิ้นกงกงไปจวนตระกูลหวังเพื่อบอกกับพระคู่หมั้น ว่าพระองค์จะเสด็จไปพบเมื่อเข้าเ
ในเย็นวันเดียวกันนั้นหยางอ๋องไปเยือนตระกูลหวัง ตามที่ส่งจิ้นกงกงไปแจ้งไว้กับหวังลี่ถิงว่าจะเสวยสำรับด้วย สามพ่อลูกจึงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขก ซึ่งอีกไม่นานจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งสี่คนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง หยางอ๋องไม่ลืมนินทาสบายให้กับทั้งสามคนฟัง พวกเขาต่างไม่อยากเชื่อว่าหวังซินหยางจะเป็นอีกคน ยามที่ได้อยู่ข้างกายสตรีในดวงใจเช่นนั้นหยางอ๋องยังต้องอยู่เมืองหลวงอีกสักพักหนึ่ง เนื่องจากต้องการความชัดเจนเรื่องพิธีสมรสพระราชทาน ว่าจะมีการเลื่อนออกไปอีกครั้งหรือไม่ แต่ทรงติดตามการทำงานเรื่องการเพาะปลูกอยู่เสมอ และคอยไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคู่หมั้นของตนยามมีเวลาว่าง เพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างทั้งสองให้มากขึ้นแต่ที่หมู่บ้านหลูหยางทุกคนกำลังสนุกกับการปลูกตะไคร้ หลังจากวันที่หลินหว่านบอกกับทุกคนให้เตรียมแปลงดิน จนครบเจ็ดวันต้นตะไคร้จำนวนมากมาย ที่หลินหว่านบอกกับชาวบ้านไว้ก็ถูกตัดจากแปลงหลังบ้าน รวมกับของเสี่ยวลวี่ได้ตัดจากในมิติอีกส่วนหนึ่ง นำมารวมกันเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านทุกครัวเรือน และสามารถตัดมาทำธูปไล่ยุงอีกสามเดือนข้างหน้า“หว่านเออร์วันนี้ดูเจ้าจะมีควา
เมื่อหลินหว่านพยายามข่มตาให้หลับอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้ตัดสินใจเรียกเสี่ยวลวี่ออกมาพบ เพื่อไหว้วานให้นางทำบางอย่างความกังวลใจนี้จะได้หายไปเสียที‘เสี่ยวลวี่ ๆ ออกมาพบข้าหน่อยสิ’‘นายหญิงเรียกเสี่ยวลวี่มีอะไรให้รับใช้หรือเจ้าคะ’‘คืนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างไรก็ไม่รู้จนตอนนี้ก็นอนไม่หลับ เสี่ยวลวี่รบกวนเจ้าช่วยบอกกับสหายรอบ ๆ บ้าน ช่วยดูให้ข้าสักหน่อยว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาที่หมู่บ้านหรือไม่’‘นายหญิงกลัวว่าเรื่องที่ท่านเคยคิดเอาไว้ มันกำลังจะเกิดขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านหลบอยู่ในมิติจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ’‘ไม่ได้หรอกเสี่ยวลวี่หากไม่จำเป็นจริง ๆ จะทำเช่นนั้นไม่ได้ เผื่อคนที่มาเรียกไม่ใช่ท่านอาทั้งสอง ความลับต้องถูกพบเข้าจนได้ครานี้มิอันตรายกว่าเดิมรึ ทำตามที่บอกก็พอถ้ามีคนแปลกหน้ารีบกลับมาบอกข้า’ ‘เจ้าค่ะเสี่ยวลวี่จะจัดการตามที่นายหญิงสั่งทันที’หลังจากรับคำสั่งเจ้านายเสี่ยวลวี่รีบหายตัวไปพบสหาย ฝากฝังกับเหล่าสหายต้นไม้ใบหญ้าด้านนอกกำแพง ช่วยดูตามที่หลินหว่านสั่งมาหากไม่มีสิ่งผิดปกติก็แล้วไป หรือมีคนคิดจะทำร้ายหลินหว่านจริง ๆ ละก็ คนพวกนั้นคิดผิดมหันต์ว่าสตรีบอบบาง จะโม
หวังซินหยางสั่งห้ามพ่อบ้านมิให้เข้าไปรายงานกับน้องสาว เมื่อได้รู้ว่าซ่งอาเม่ยก็อยู่ที่จวนของเขาในตอนนี้ จึงได้พาหลินหว่านเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และได้ยินสิ่งที่ซ่งอาเม่ยพูดกับน้องสาวทุกคำ เพราะไม่ต้องการให้ซ่งอาเม่ยอยู่ที่นี่นานเกินไป หวังซินหยางจำต้องเดินเข้าไปในห้องรับแขกโดยมีหลินหว่านอยู่ข้าง ๆ จากนั้นการแกล้งพูดจาเย้าแหย่สหายอย่างหยางอ๋องก็เกิดขึ้น“ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะมาเยี่ยมน้องสาวของกระหม่อมในวันนี้ กำลังคุยเรื่องอันใดกันอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาได้ยินทุกอย่างตั้งแต่อยู่หน้าห้องรับแขก“พรึ่บ!! อาหยางเจ้ากลับมาแล้วอาหยางช่วยข้าดะ..ว๊ายยย ตุบ” “พี่ชายหวังเจ้าคะนั่นใช่น้องสาวของท่าน ที่บอกว่าเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องใช่หรือไม่เจ้าคะ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากจริง ๆ ถ้ามีลูกคงจะมีใบหน้างดงามเช่นบิดามารดาเป็นแน่เจ้าค่ะ” หลินหว่านรีบดึงตัวหวังซินหยางหลบสหายวัยเด็ก ที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมใบหน้าที่น่าสงสาร“อืม ที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะน้องสาวของพี่งดงามมาก เด็ก ๆ ย่อมดูดีเหมือนมารดาที่สุดหว่านเออร์พูดได้ตรงใจพี่เช่นกัน” หวังซินหยางมิได้สนใจสหายแต่หันไปหยอกล้อกับหลินหว่านแทน“อาหยะ...”“ถวายบังค
หลังจากฟังคำแก้ตัวของเสนาบดีซ่งแล้ว ขุนนางฝ่ายที่สนับสนุนองค์รัชทายาทยังส่ายหน้า พวกเขาไม่คิดจะได้ยินคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ของเสนาบดีซ่งเช่นนี้ หวังซินหยางที่ภายในจิตใจโกรธเกรี้ยวอยากลงมือสังหารคน แต่เขาต้องควบคุมอารมณ์นี้เอาไว้และทำตามหน้าที่ของตน เพื่อกวาดล้างขุนนางที่คอยกัดแทะทำลายราชสำนักมาเนิ่นนานเสียที“ฝ่าบาทตั้งแต่กระหม่อมทำงานมาไม่เคยใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่ถูกลงโทษล้วนกระทำความผิดแตกต่างกันไป และมีหลักฐานยืนยันการกระทำของพวกเขาทุกครั้ง นอกจากเสนาบดีซ่งจะส่งคนสนิทไปจับตัวคุณหนูโจวแล้ว กระหม่อมยังได้รับคำสารภาพที่อาจทำให้บ้านเมืองเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อยากแก้ตัวนักก็เตรียมคำพูดไว้ให้ดีเถิดซ่งเหว่ยหนาน“เจ้าหมายความว่าอย่างไรผู้ตรวจการหวัง รีบอธิบายให้เจิ้นและขุนนางทุกคนฟังบัดเดี๋ยวนี้ มันคือเรื่องอันใดที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้น”“คนสนิทของเสนาบดีซ่งได้สารภาพกับกระหม่อมว่า เสนาบดีซ่งและพรรคพวกอีกหลายคนซ่องสุมกำลังทหาร เพื่อเตรียมทำการก่อกบฏชิงบัลลังก์จากฝ่าบาทสังหารรัชทายาท จากนั้นคนที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปก็คือองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”“เห
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท
ภายหลังมื้ออาหารเย็นในวันหนึ่งก่อนหลินหว่านจะกลับเรือนรับรอง ได้เดินมาหยุดมองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องสว่างมากเป็นพิเศษในคืนนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตนได้มาสานต่อความฝันยังอีกโลกหนึ่ง หลังจากต้องตายด้วยฝีมือของกลุ่มคนชั่ว นอกจากนี้ยังได้นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยเหลือผู้คนมากมาย ซึ่งตอนนี้ในเมืองหลวงเริ่มมีชาวบ้านนำผัก มาขายมากขึ้น ส่วนตัวของหลินหว่านเองก็ลงมือเพาะปลูกวัตถุดิบทั้งหลาย ที่ต้องใช้ในกิจการร้านขนมครกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหยางหลิวพร้อมขบวนเสด็จของหยางอ๋อง เพราะต้องนำเกี้ยวเจ้าสาวอย่างหวังลี่ถิงกลับตำหนักอ๋องในเมืองหยางฉินหวังซินหยางที่เดินตามหลังหลินหว่านมาติด ๆ เห็นนางหยุดยืนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จึงได้สาวเท้าตามไปพูดคุยเรื่องบางอย่างกับนาง“หว่านเออร์เหตุใดถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้เล่า กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือพี่เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวและดวงจันทร์อยู่นาน” และภาพที่เขาได้เห็นมันช่างงดงามดั่งภาพวาดก็มิปาน“พี่ชายหวังท่านมิได้กลับเรือนนอนหรอกหรือเจ้าคะ ที่ข้าหยุดยืนมองท้องฟ้าเป็นเพราะว่าคืนนี้ดวงจันทร์งดงามมากเจ้าค่ะ และยัง
หลังจากวันที่ได้สั่งสอนบุรุษเช่นเฉินเยี่ยนหมิง หลินหว่านยังคงวุ่นอยู่กับการเตรียมต้นกล้าผัก และการเข้าไปดูร้านขนมสลับกับหวังลี่ถิงเป็นครั้งคราว เพราะหลินหว่านต้องใช้ที่ดินทั้งสิบหมู่ที่หวังซินหยางซื้อให้ เพาะปลูกผักที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับขนมครกของนาง และได้ส่งจดหมายถึงน่าซือว่าต้องอยู่จัดการงานที่เมืองหลวงเสียก่อน จากนั้นจะกลับไปเปิดกิจการบ้านสวนที่นางใฝ่ฝันเสียทีหวังซินหยางที่รู้เรื่องนี้ก็มิได้ร้อนรนแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เขาสังเกตตั้งแต่รู้จักกันในวันแรก ๆ พอจะเดาได้ไม่ยากนัก ว่าสถานที่ที่หลินหว่านชอบและต้องการอาศัยอยู่มากที่สุด นั่นก็คือบ้านสวนของนางที่หมู่บ้านหลูหยาง ตัวของหวังซินหยางจึงได้คิดวางแผนอนาคตของตนไว้เงียบ ๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเขาย่อมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลการใช้ชีวิตและการทำงานของหลินหว่านกับหวังซินหยาง ยังคงเหมือนเช่นเดิมในทุก ๆ วันอาจจะมีเรื่องรุนแรงบ้างแต่ไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่สถานการณ์ภายในเมืองหลวงของแคว้นเว่ย กำลังสับสนวุ่นวายขึ้นในวันหนึ่งยามเช้าตรู่ เมื่อผู้คนออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน และได้พบกับกระดาษมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางถนน“นี่มันกระดาษอั
วันถัดมาหวังซินหยางถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงอย่างที่คิดจริง ๆ หวังเจี้ยนหนานที่เห็นสีหน้าแววตาของบุตรชายคนโต จำต้องตักเตือนสักเล็กน้อยมิให้เขาแสดงออกชัดเจนจนเกินไป แม้จะโมโหจนอยากสังหารให้ตายก็อย่าให้ศัตรูอ่านความคิดได้ หวังซินหยางจึงพยายามปรับอารมณ์และสีหน้าของตนให้เป็นปกติเท่าที่จะทำได้และเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ฮ่องเต้ไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินพระทัยคำตอบที่เฉินเยี่ยนหมิงได้รับ คือการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาแม้จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดี แต่ฮ่องเต้ย่อมต้องคัดเลือกสตรีที่เหมาะสมและจงรักภักดีกับรัชทายาท รวมถึงราชบัลลังก์ไม่มีความคิดที่จะแย่งชิง“ฝากใต้เท้าเฉินกลับไปทูลฮ่องเต้ของท่านด้วยว่า เจิ้นรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ฮ่องเต้ของท่านยอมตัดใจส่งธิดาองค์โตมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เจิ้นมีวิธีการแก้ไขปัญหาเป็นของตนเองถึงยามนี้จะยังไม่ดีนัก แต่ในอีกไม่ช้าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียว เมื่อวันนั้นมาถึงข่าวลือย่อมไปถึงแคว้นเว่ยอย่างรวดเร็วแน่ ๆ” หากเจิ้นโง่คงไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนี้หรอกนะ“เอ่อ ฝ่าบาทจะไม่ทรงเก็บไปพิจารณาดูก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ”“หืม เ