เมื่อหวงโหย่วเฉวียนได้ยินว่าตนเองถูกไล่ออกแล้ว ก็ตะโกนเสียงดังออกมา “เธอพูดว่าอะไรนะ? ซิงอวี่มีเดียไม่เคยมีซีอีโอมาก่อน! เธอจะพูดว่าฉันโดนไล่ออกได้ยังไง?”ฮานเฉิงเดินก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นเอกสารของบริษัทที่อยู่ในมือให้ผู้อำนวยการหยาง “นี่เป็นเอกสารทางนิติบุคคลของซิงอวี่มีเดีย และนี่คือสัญญาว่าจ้างของคุณเฉินมู่”ผู้อำนวยการหยางมองไปที่คำว่า “เฉินมู่” ในสัญญา จากนั้นก็มองไปยังลายเซ็นของฮั่วหยุนเซียวตรงมุมเอกสาร แค่มองเครื่องการันตีนั่นก็อกสั่นขวัญหายไปหมด และเขารู้แล้วว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในวันนี้เขาคืนสัญญาให้ฮานเฉิงทันที พลางยื่นมือออกไปจับมือกับเฉินมู่ “ยินดีต้อนรับประธานเฉินที่มาที่นี่ในวันนี้ คงทำให้คุณลำบากแย่เลยนะครับ!”เฉินมู่ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ ฉันแค่มาจัดการปัญหาของศิลปินที่ถูกตัดสิทธิ์ออก”หวางหว่านรั่วพูดจาติดขัดพร้อมเบิกตากว้าง “ศิลปิน...ที่ถูกตัดสิทธิ์เหรอ?เฉินมู่พูดเชิงเยาะเย้ย “คุณหวาง เป็นอะไรไปเหรอ? เมื่อกี้ยังด่าว่าฉันขโมยของอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? คุณอยากจะฟ้องฉันที่บุกเข้าไปในบ้านคุณสินะ? แถมยังสั่งให้ฉันถอดเสื้อผ้าออกอีก? และสุดท้าย คุณยังจะให้
ฮั่วหยุนเซียวจับมือเธอ และเอ่ยถาม “ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?”เฉินมู่ส่ายหัว “ไม่มีแล้วค่ะ”ฮั่วหยุนเซียวพยักหน้าให้ร่างเล็กข้างกายอีกครั้ง และพากันเดินออกไป ส่วนฮั่วหยุนเฉินเองก็เดินตามออกไปด้วย ปิดท้ายด้วยฮานเฉิงที่สาวเท้าเดินไปพร้อมกับกลุ่มบอดี้การ์ดทั้งกองถ่ายเงียบสงบขึ้นมาในทันที ท่าทางที่เหมือนราชาของชายคนนั้นหายไปแล้ว และในที่สุดผู้คนก็สามารถหายใจเข้าออกได้ตามปกติ รถเบนซ์ลีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของฮั่วหยุนเซียวจอดอยู่ชั้นล่าง เฉินมู่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้พลางหรี่ตามอง “รถของคุณซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?”“ใช่” ฮั่วหยุนเซียวดึงตัวเธอเข้าไปในรถ เฉินมู่นั่งลง และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณมาได้ทันเวลาสุด ๆ ไปเลย”ใบหน้าของฮั่วหยุนเซียวยังคงเรียบเฉย “ผมคิดว่าคุณควรจะมีบอดี้การ์ดประจำตัวนะ”เฉินมู่สำลักน้ำลายในทันใด พร้อมไอออกมาอย่างรุนแรง แล้วโบกมือไปมาอย่างลนลาน “ไม่ ๆ ไม่ต้อง ไม่จำเป็นหรอก จริง ๆ นะ!” เธอเป็นคนที่สามารถต่อสู้และเอาตัวรอดได้ทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งเป็นแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลและหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอก็ผ่านมาหมดแล้ว หากต้องมีบอดี้การ์ดตามไปทุกย่างก้าว เธอยอมรายงานทุกอย่างโดยตรงแก่
ฮั่วหยุนเฉินเป็นผู้ถือหุ้นที่ดูแลบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิง ถ้าเขาบอกว่าเฉิงหยวนทำไม่ได้ นั่นก็แสดงว่ามันไม่ได้จริง ๆแต่ตอนนี้เฉินมู่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว เธอกัดฟันพลางเอ่ย “ฉันจะลองก่อน เรื่องมันฉุกเฉินขนาดนี้ คิดว่าฉันมีตัวเลือกอื่นเหรอ?”ฮั่วหยุนเฉินมองไปที่พี่ชายของตนเองเพื่อขอความช่วยเหลือ ฮั่วหยุนเซียวพยักหน้าอย่างนิ่ง ๆ “งั้นก็ลองเถอะ”ฮั่วหยุนเฉิน “…”สองคนนี้เอาแต่ใจจริง ๆ นะ!โทรศัพท์ของเฉินมู่ถูกหวางหว่านรั่วทำลายจนพัง และตอนนี้ฮั่วหยุนเซียวกำลังพาเธอไปซื้อเครื่องใหม่รถคันหรูจอดอยู่ข้างถนน ผู้คนที่เดินไปมาล้วนมองไปยังรถเบนท์ลีย์ที่หรี่ไฟจอดอยู่ตรงหน้าประตูร้านแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าใครนั่งอยู่ข้างในเฉินมู่พูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ฉันจะลงไปซื้อเอง คุณรออยู่ในรถเถอะ”ทว่าทั้งสองคนยังไม่ทันจะได้คัดค้าน เฉินมู่ก็ลงจากรถและเดินเข้าไปในร้านเสียแล้วหากฮั่วหยุนเซียวและฮั่วหยุนเฉินลงจากรถเดินตามไป คาดว่าการจราจรในย่านการค้าแถบนี้คงติดขัดเป็นชั่วโมงแน่ ๆเมื่อเห็นเฉินมู่เข้าไปในร้าน ฮั่วหยุนเฉินก็ขยิบตาให้พี่ชายตนเอง แล้วเอ่ยถาม “
เฉินมู่ยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ฉันมาหาคุณไง คุณเฉิงหยวน”ดวงตากลมของคนข้างในมองมาครู่หนึ่งแล้วปิดประตูหนี “คุณมาหาผิดคนแล้ว ฉันไม่ใช่…”เฉินมู่ใช้มือดันประตูไว้และขมวดคิ้วมุ่น “คุณยังไม่รู้ว่าฉันเป็นใครด้วยซ้ำ แล้วคุณจะหลบทำไม?”หญิงสาวข้างในพยายามปิดประตูด้วยความรีบร้อน “คุณมาหาผิดคนแล้ว ฉันไม่ใช่เฉิงหยวน คุณมาผิดที่แล้ว...”ทว่ามือของเฉินมู่ยังดันประไว้ไม่ให้บานเหล็กขยับเขยื้อน พลางมองหน้าของผู้ที่อยู่ข้างใน “คุณมีแรงแค่นี้ จะให้ฉันยืนดันประตูอยู่ตรงนี้ทั้งวันก็ได้นะ”เมื่อคนข้างในรู้ว่าตนปิดประตูไม่ได้ จึงพูดแบบหลบสายตา “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่? เรื่องก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ฉันขอร้องล่ะ อย่าเขียนอะไรมั่ว ๆ อีกเลย...”เฉินมู่เข้าใจความหมายในทันที เธอขมวดคิ้วและถามว่า “นี่คุณคิดว่าฉันเป็นนักข่าวหรอ?”หญิงสาวข้างในตะลึงเล็กน้อย “แล้วคุณไม่ใช่หรอ…”เฉินมู่ส่ายหัวแล้วเปลี่ยนเป็นใช้เท้าดันประตูไว้แทน หลังจากนั้นก็ยกมือให้เธอดูเพื่อแสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ใจ “ฉันไม่มีกล้องถ่ายรูป ไม่มีสมุดจดบันทึก และก็ไม่มีใครตามมาด้วย เพราะฉะนั้นฉันไม่ใช่นักข่าว”พลันประตูเหล็กก็ค่อย ๆ เปิดออก ในที่สุดเ
เฉิงหยวนหัวเราะอย่างหนักจนท้องแข็งแต่เธอก็รู้สึกเขินอายแปลก ๆ นิด ๆ เนื่องจากในห้องรับแขกเล็ก ๆ นี้มีเพียงเธอคนเดียวที่กำลังหัวเราะ เฉินมู่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวอีกฝั่ง พร้อมมองไปที่ใบหน้าเธออย่างเงียบ ๆ ด้วยแววตานิ่งเรียบและมั่นคงเรื่องนี้มันไม่ตลกเลยสักนิดเฉิงหยวนหัวเราะอย่างไร้ความหมาย เธอหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดจมูก พลางเอ่ย “ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”เฉินมู่มองไปรอบ ๆ ห้องเก่าแคบ ๆ เนื้อที่ประมาณหกสิบตารางเมตรเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขกล้วนเก่ามากแล้ว นิตยสารก็ถูกโยนกระจัดกระจายไปทุกที่ เสื้อผ้าก็กองทับซ้อนกันบนโซฟา โดยไม่รู้ว่าผ่านการซักบ้างแล้วหรือยัง แถมบนพื้นยังถูกปกคลุมด้วยกล่องอาหารที่สั่งมาเยอะแยะไปหมดอีกเธอเหลือบตามองไปที่ระเบียง ผนังบริเวณระเบียงเริ่มลอกร่อน มุมหนึ่งก็เต็มไปด้วยฝุ่นและเส้นผม ซึ่งถูกกวาดไว้ด้วยไม้กวาดอย่างยุ่งเหยิงเฉินมู่ถามว่า “นี่คือชีวิตที่คุณต้องการเหรอ?”ร่างกายของเฉิงหยวนเริ่มสั่น เฉินมู่จึงพูดเสริมไปอีก “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงจำคุณได้ เพียงแค่คุณแง้มประตู?” เฉิงหยวนส่ายหัว เฉินมู่จึงเอ่ยต่อ “เพราะฉันเคยดูหนังของคุณ ตอนที่คุณเดบิวต์ซีรี่ย์ออ
“พ่อของเธอให้เงินฉันหนึ่งแสนหยวนทุกเดือน เงินเหล่านี้ช่วยยื้อชีวิตยายของฉันไว้ ส่วนฉันที่ยอมอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็เท่ากับฉันยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นมือที่สาม แต่หากฉันแก้ตัว ไม่เพียงแค่ไม่สามารถอยู่ในวงการนี้ได้ต่อ เงินหนึ่งแสนนั้น ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะได้รับมันด้วยซ้ำ”เฉิงหยวนกระดกเบียร์เพิ่มอีก เธอดื่มจนใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อแล้วลุกขึ้นเดินไปยังระเบียง ก่อนจะกวักมือเรียกเฉินมู่ “คุณมาดูนี่สิ” เฉินมู่เดินตามไป เฉิงหยวนชี้ไปยังตึกหนึ่งไกล ๆ ให้ดู พลันเอ่ยบอก “นั่นไง”“คุณหนูนั่นซื้อบ้านหลังใหม่ให้เขา เขาเลยไม่ต้องอยู่บ้านเก่า ๆ โทรม ๆ อีก แล้วเขาก็ไปอยู่ที่นั้นแทน”เฉินมู่ขมวดคิ้วถาม “คุณดูความเคลื่อนไหวเขาจากที่นี่หรอ?”ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เธอก็ดูไม่ค่อยมีศักดิ์ศรีเท่าไหร่เฉิงหยวนส่ายหัว พร้อมเขวี้ยงกระป๋องเบียร์ในมือออกไป และสาปแช่ง “ฉันมองเขาเหรอ? ฉันสาปแช่งเขาจากที่นี่ต่างหาก”“ฉันสาปแช่งเขา ให้เขาไม่มีลูกชาย”เฉิงหยวนเป็นคนที่เติบโตขึ้นมากับยาย ผู้มีความคิดที่ค่อนข้างหัวโบราณและสุภาพ ดังนั้นคำพูดเธอจึงไม่ค่อยหยาบคายนักฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เธอออกอาการกรึ่ม ๆ ยืนไม่ตรง แล้วเอนไปท
เฉินมู่มองไปยังเฉิงหยวนที่ดื่มจนไม่รู้สึกตัวอยู่บนโซฟา ด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อยเฉินมู่พยุงเฉิงหยวนขึ้น หญิงสาววัยยี่สิบกว่า ๆ ในอ้อมกอดช่างน้ำมีหนักเบาเหลือเกิน พร้อมครุ่นคิดว่าในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมานั้นคงไม่ง่ายเลยที่อดีตดาราสาวจะผ่านมันมาได้เฉินมู่วางเธอนอนบนเตียงในห้องนอนและหาผ้ามาเช็ดหน้าให้ พลางกล่อมให้เฉิงหยวนนอนหลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจตัวเธอเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน ตาคมเหลือบมองไปที่นาฬิกา ปรากฏว่าดึกมากแล้วเฉิงหยวนดื่มจนสภาพเป็นแบบนี้ เรายังไม่ได้คุยเรื่องสำคัญเลยด้วยซ้ำ เธอจึงตัดสินใจรออยู่ที่นี่จนกว่าเฉิงหยวนจะตื่นขึ้นมาเฉินมู่นั่งอยู่บนโซฟาจนเกือบผล็อยหลับไป ในมือกอดหมอนที่มีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดอยู่ “กริ๊งกริ๊ง” แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นจนเธอสะดุ้งตื่นมือเรียวหยิบมือถือขึ้นมาดู บนหน้าจอปรากฎชื่อสายโทรเข้าเป็น ฮั่วหยุนเซียว“ฮัลโหล” เฉินมู่รับสายนั้นเสียงเบา“คุณอยู่ไหน?” เสียงเข้มถามทั้ง ๆ ที่พยายามระงับความโมโหอยู่เฉินมู่ตอบกลับไปเสียงเบาอีกครั้งว่า “ก็อยู่ที่บ้านของเฉิงหยวนไง”ฮั่วหยุนเซียวขมวดคิ้ว “คุณเฉินมู่ ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว?”เฉิ
เฉินมู่หยิบกล่องอาหารออกมาอย่างรู้สึกผิด “งั้นเรา… ก็มากินด้วยกันเลยสิ”เธอพลิกกล่องไปมา แล้วถามไปว่า “ฮั่วหยุนเซียว คุณหยิบตะเกียบมาแค่คู่เดียวเหรอ?”ฮั่วหยุนเซียวพิงตัวแนบเบาะ ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ “ฮานเฉิงเป็นคนจัดการน่ะ”ฮานเฉิงน้ำตาตกใน พลันรีบเอ่ยตอบ “ท่านประธานบอกแค่ว่า จะมาส่งอาหารให้คุณหนูครับ”ฮั่วหยุนเซียวรีบเอ่ยขัด “ช่างเถอะ คุณกินก่อนเลย เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”เฉินมู่มองอาหารในถุงใหญ่ แล้วมองสีหน้าอันเหนื่อยล้าของฮั่วหยุนเซียว กลิ่นชวนหิวของซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานทำให้เสียงท้องของเธอร้องดังโครกเฉินมู่อดทนก่อนพูดว่า “กินด้วยกันเถอะค่ะ”ฮั่วหยุนเซียวหันไปถามหญิงสาวทันที “อะไรนะ?”เฉินมู่ทำทีกระแอมหนึ่งครั้ง พลันเอ่ย “กินด้วยกันนะ”เธอก้มหน้าคีบซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะประคองไปข้างปากของฮั่วหยุนเซียวอย่างระมัดระวัง “อ้าปากสิคะ”ฮั่วหยุนเซียวถึงกับตะลึง พลางคิดว่าเขาไม่ได้จงใจที่จะเอาตะเกียบมาแค่คู่เดียว และไม่ได้ตั้งใจจะมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ กับหญิงสาวในเวลาดึก ๆ เช่นนี้เขามั่นใจว่าเฉินมู่ต้องลืมทานข้าวแน่ ๆ และยังเป็นห่วงว่าหญิงสาวข้าง ๆ จะเจ
ฮั่วหยุนเซียวไม่รู้ว่าควรจะสงสารสาวน้อยตรงหน้าดี หรือควรจะภูมิใจในความหนักแน่นในสถานการณ์ที่อันตรายของเธอดีเขายกมือพร้อมขมวดคิ้ว “ฮานเฉิง จัดการให้เรียบร้อย”“ครับ บอส”ฮานเฉิงยกโทรศัพย์อยู่หลายสาย และแล้วนักข่าวที่สมควรจะอยู่ที่นี่ต่อ กลับแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วเฉิงหยวนกระพริบตา “ทำไมพวกเขาไปกันหมดแล้วล่ะ?”เมื่อฝูงชนสลายตัว สายตาเฉินมู่ก็สะดุดเข้ากับรถเบนท์ลีย์หรูที่จอดอยู่ข้างทาง“ปีศาจร้ายปรากฎตัวแล้ว” เธอกล่าวเฉิงหยวนถือถุงขนมของตัวเองตามไปและถามต่อ “อะไรนะ?”เฉินมู่ช่วยถือของในมือเธอ แล้วพูดว่า “ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านก่อนแล้วกัน”ใต้แสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาว สองสาวพูดคุยถึงเรื่องในอนาคต และรถหรูระดับโลกอย่างเบนท์ลีย์คันนั้นก็ขับตามหลังมาอย่างช้า ๆฮานเฉิงถามอย่างสุขุม “บอสครับ พวกเราจะขับช้าขนาดนี้จริงเหรอครับ?”ฮั่วหยุนเซียวมองแผ่นหลังหญิงสาวตรงหน้าอย่างสนใจ แล้วพยักหน้า “ขับช้ากว่านี้”ฮานเฉิง “...”เมื่อเดินมาถึงใต้อาคาร เฉินมู่ก็พูดว่า “คุณไปเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเราไปโรงพยาบาลกัน”เฉิงหยวนปัดมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน พวกเขาแค่ขว้างปาผักมาขู่ฉัน
เธอลงจากรถแล้วเห็นเฉิงหยวนที่ถูกฝูงชนล้อมเอาไว้ เหมือนแมวที่กำลังตื่นตระหนกตกใจ และไม่มีที่ซ่อนตัวเธอวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไป แล้วดึงเฉิงหยวนเข้ามายังอ้อมอก พร้อมถามอย่างกังวลว่า “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”เมื่อเฉิงหยวนเห็นเฉินมู่ ก็ถึงกลับปล่อยโฮออกมาเธอยื่นมือไปปัดเศษผักบนตัวของเฉินมู่ออกให้ พร้อมส่ายหัว “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”เฉินมู่ประคองเธอให้ลุกขึ้น และแล้วไข่ไก่ฟองหนึ่งก็ลอยมา แต่เฉินมู่ยกมือขึ้นรับไว้ได้อย่างแม่นยํา“แกร๊ก” ไข่ไก่ในมือถูกบดขยี้จนแหลก และไข่ไก่เหลว ๆ ก็ไหลลงมาตามข้อมือของเธอ แววตาอันโหดเหี้ยมของเฉินมู่ทำให้ฝูงชนและนักข่าวต่างค่อย ๆ สงบลงเธอพูดกับหน้ากล้องที่ใกล้ที่สุด ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “จรรยาบรรณของนักข่าวคือการนำเสนอความเป็นจริง หวังว่าสื่อมวลชนทุกคนจะตระหนักข้อนี้ไว้หน่อย”พลันมีเสียงดังมาจากด้านหลัง “ความจริงก็คือเฉิงหยวนเป็นมือที่สาม! คนทั้งโลกต่างก็รู้เรื่องนี้!”“ใช่ ๆ คุณเป็นใคร! ทำไมถึงได้แก้ตัวแทนเฉิงหยวน!”เฉินมู่ตอบอย่างเยือกเย็น “เธอไม่ใช่มือที่สาม หวังว่าหลังจากวันที่ความจริงกระจ่างแล้ว ทุกคนในที่นี้ต้องขอโทษต่อการกระทำที่ทำต่อเฉิงหยวน”จ
เฉินมู่ซบอยู่ในอ้อมกอดลู่ซีเจ๋อพร้อมเช็ดน้ำตาด้วยท่าทีน้อยใจ “พี่คะ พี่เชื่อฉันสักครั้งเถอะ…”ลู่ซีเจ๋อหมดความอดทนกับเฉินมู่อย่างสิ้นเชิง เขาตะโกนอย่างเหลืออดว่า “ออกไป! ไสหัวออกไป!”เฉินมู่มองท่าทีที่ปวดใจของลู่ซีเจ๋อ แล้วถอนหายใจ “ลู่ซีเจ๋อ คุณ…”ลู่ซีเจ๋อมองหน้าเธอด้วยความโกรธเคืองเฉินมู่จึงได้เงียบลง พลางคิดว่าทำไมต้องปริปากพูดคำนี้ทั้ง ๆ ที่่ก่อนหน้านี้เธองัดหลักฐานเป็นร้อย ๆ อย่างเพื่อให้เห็นถึงจิตใจอันโหดเหี้ยมของเฉินชิงเสวี่ย แต่ลู่ซีเจ๋อก็มองไม่เห็นเธอจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังต้องถูกเฉินชิงเสวี่ยตอกกลับว่าเธออิจฉา“คุณคิดจะพูดอะไรอีก?” ลู่ซีเจ๋อมองเธอด้วยโกรธเคืองเฉินมู่ส่ายหัว “ไม่มีอะไรแล้ว แต่มีอะไรอยากจะบอกคู่หมั้นสุดที่รักของคุณหน่อย”เฉินชิงเสวี่ยมองเฉินมู่ด้วยสายตาที่หวาดกลัว “พี่มีอะไรอยากให้ฉันช่วยคะ...”เฉินมู่หัวเราะ แล้วพูดว่า “รบกวนเธอฝากบอกซุยซินยี่กับเฉินชิงโหรวด้วยนะ ว่าเฉิงหยวนจะกลับเข้าสู่วงการบันเทิงเร็ว ๆ นี้”เฉินชิงเสวี่ยจ้องมองเฉินมู่อย่างปวดใจ พลันเอ่ย “พี่คะ เฉิงหยวนเป็นมือที่สาม ทำไมพี่ยังจะคบหากับคนแบบนั้นอยู่อีก?”
แผลเป็นที่หน้าเกลียดน่ากลัวเหมือนตัวหนอนเกาะอยู่บนใบหน้า แถมยังมีรอยแดง ๆ อยู่รอบ ๆ เฉินชิงเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งใจ แผลเป็นยังอยู่!ตอนที่กำลังลองชุดคราวก่อน เธอได้ข่าวว่าเฉินมู่กำลังรักษารอยแผลพวกนี้ มันทำเธอทุรนทุรายไปหลายวันเธอกลัวว่าเฉินมู่จะรักษาร่อยรอยแผลบนใบหน้าจนหายดี เพราะหากใบหน้านี้หายดีแล้ว มันจะกลับมาทำให้ชาวเมืองปินไห่ตกตะลึงอีกครั้ง เฉินชิงเสวี่ยหัวเราะอย่างโล่งใจ แถมยังเย้ยหยันเฉินมู่ต่อว่า “ได้ยินว่าเธอไปรักษาใบหน้า ทำไมยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ?”เธอชี้ไปยังใบหน้าของเฉินมู่ พร้อมหัวเราะเยาะเย้ย “เธอดูไม่ออกเหรอว่ามันอาการหนักกว่าเมื่อก่อนอีกน่ะ?”“เฉินมู่ อย่าพยายามต่อไปเลย หน้าของเธอยังไงก็รักษาไม่หายหรอก เธอต้องแบกหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลแบบนี้ไปตลอดชีวิต เธอจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะตลอดเวลา และถูกทอดทิ้งตลอดไป”เฉินมู่ง้างมือขึ้นแล้วกระแทกไปที่ใบหน้าของคนเจ็บอย่างแรง ใบหน้าของเฉินชิงเสวี่ยหันไปตามเสียงดัง “เพี๊ยะ”เฉินชิงเสวี่ยโดนตบจนโกรธมาก เธอจ้องมองเฉินมู่ด้วยความเคียดแค้น “สมควร ใครให้เธออยู่เป็นหนามยอกอกในตระกูลเฉิน เธอควรตายไปพร้อมกับแม่ของเธอตั้งนานแล้ว!”
“นี่คุณ!” ลู่ซีเจ๋อถูกเฉินมู่ปั่นหัวจนออกอาการโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ทั้งป่าเถื่อนและชั่วร้ายอย่างเธอมาก่อนเฉินชิงเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก พี่สาวก็แค่ล้อเล่น คุณไปเถอะ”เฉินชิงเสวี่ยออดอ้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอยากจะทานของหวานหน้าโรงพยาบาล ลู่ซีเจ๋อจึงได้แต่ทำตามคู่หมั้น แต่ก่อนเดินออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะถลึงตาใส่เฉินมู่อีกหนึ่งทีทันทีที่เขาเดินออกไป เฉินมู่ก็ขมวดคิ้วมองไปทางร่างบนเตียงอย่างเร็ว “เหลือเราแค่สองคนแล้ว มีอะไรอยากพูดไม่ใช่เหรอ?”ครั้งแรกเฉินลี่ซานสั่งให้เธอมาที่นี่ ครั้งที่สองลู่ซีเจ๋อก็พาเธอมาด้วยตัวเองอีกหนึ่งครั้ง เฉินชิงเสวี่ยเป็นคนวางแผนทั้งหมดให้เฉินมู่มาที่นี่ ไม่รู้ว่าเธอจะมีแผนการอะไรอีกเฉินชิงเสวี่ยเปลี่ยนสีหน้าในทันที ใบหน้าอ่อนหวานเมื่อสักครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเธอมองหน้าเฉินมู่อย่างหงุดหงิด พร้อมพูดว่า “เธออย่ายุ่งเรื่องของตระกูลซุย!”เฉินมู่หัวเราะ ก่อนถามว่า “ทำไมเหรอ? ตระกูลซุยทำไมเหรอ?”เฉินชิงเสวี่ยพูดตรง ๆ ว่า “ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี ตระกูลซุยกับตระกูลเราทำธุรกิจร่วมกันมา ถ้าเธอทำงานแต่งซินยี่
เฉินมู่ยักไหล่เล็กน้อย “ถึงฉันจะทำร้ายเธอจนตาย ฉันก็จะไม่รู้สึกผิด”ลู่ซีเจ๋อขมวดคิ้ว “เฉินมู่ คุณทำร้ายเสวี่ยเอ๋อถึงขั้นนั้น เธอยังไม่ถือโทษโกรธ แค่บอกให้คุณอย่าเข้าไปยุ่งกับตระกูลซุย แค่คุณไปเยี่ยมเธอบ้าง มันยากนักหรือไง?”เธอหัวเราะเยาะเล็กน้อย “แค่เธอบอกว่าไม่ถือโทษโกรธฉัน คุณก็เชื่อเหรอ? ลู่ซีเจ๋อ ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าในสมองคุณมันมีรอยหยักบ้างไหม”ลู่ซีเจ๋ออึ้งไปสักพัก เขาไม่ใช่คนที่ทะเลาะวิวาทกับใครบ่อย ๆ ร่างสูงลากเฉินมู่ไปเรื่อย ๆ แล้วพูดว่า “ไปโรงพยาบาลกับผม!”ช่วงเวลาเลิกเรียนนักศึกษาทุกคนเดินลงจากอาคาร ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตรงนั้น และแล้วทั้งสองก็เริ่มตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนเฉินมู่ไม่อยากตกเป็นประเด็นของคนทั้งมหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้ จึงสะบัดมือออกอย่างจำใจและตอบว่า “ปล่อย ฉันเดินเองได้”ลู่ซีเจ๋อปล่อยมือเธอ เฉินหยวนจึงรีบวิ่งมาดึงแขนเฉินมู่ไว้ “ฉันไปเป็นเพื่อนนะ”เฉินมู่แตะมือเธอเบา ๆ “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก เธอกลับหอพักไปก่อนเถอะ”เฉินหยวนพูดด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง “งั้นเธอต้องระวังตัวนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องรีบโทรหาฉันนะ หรือไม่ก็… โทรหาตัวรวจเลย!”เฉินหยวนหัวเ
เช้าวันถัดมา เฉินมู่ไปมหาวิทยาลัยตามปกติเรื่องของเฉิงหยวนยังเป็นที่กล่าวถึงบนโลกโซเชียล ซุยซินยี่ยอมจ่ายให้กับคอมเมนท์พวกนี้ไม่น้อยเลยจริง ๆแต่เฉินมู่ยังต้องกลับไปเรียน ถึงแม้ว่าชาวเน็ตจะยังพากันด่าทอดาราในสังกัดของเธอก็ตามทันทีที่เดินเข้าห้องเรียน เฉินหยวนก็โบกมือเรียก “เฉินมู่ ฉันจองที่ตรงนี้ไว้ให้เธอ”เฉินมู่สาวเท้าเข้าไปพร้อมกระเป๋านักเรียน พลางเผยยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ”จางหยางที่นั่งโต๊ะด้านหน้าก็ยื่นกาแฟกับพร้อมแซนด์วิชให้ “อาหารเช้าของเธอ”เฉินมู่พูดด้วยความปลาบปลื้มใจ “ทำไมพวกเธอดีกับฉันจังเลย?”จางหยางส่ายหัวอย่างเคอะเขิน แล้วตอบว่า “แต่ก่อนฉันไม่ค่อยเป็นมิตรกับเธอ เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันจะแก้ตัว” ตั้งแต่ที่เธอทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจในคืนงานเลี้ยงปีใหม่ ทุกคนในชั้นเรียนก็หันมาดีกับเธอเฉินหยวนรีบวิ่งเข้ามาซุบซิบ “เธอเห็นหรือยังว่าข่าวเฉิงหยวนในเน็ตกลับมาฉาวอีกแล้วนะ?”เฉินมู่รับอาหารเข้ากัดไปหนึ่งคำ ก่อนพยักหน้าตอบ “เห็นแล้ว”เฉินหยวนรีบโต้ตอบทันที “เฉินมู่ ฉันเห็นเธอสนิทกับหล่อน หล่อนไม่ใช่คนดีนะ!”เฉินมู่หัวเราะ ก่อนตอบว่า “หล่อนเป็นคนดีมาก แล้วต่อไปเธอจะรู้เอง
แค่คําเดียว ทำให้มุมปากของฮั่วหยุนเซียวกระตุกยกโค้งราวไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มไว้ได้เขาแตะมือไปที่ใบหน้าของเฉินมู่ พลางเรียกอย่างอ่อนโยนว่า “มู่มู่”เฉินมู่ลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ แล้วถาม “คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ตอนนี้กี่โมงแล้ว แล้วคุณทานข้าวหรือยัง?”แม้ว่าเธอไม่ได้งดงามเหมือนเหล่าคนมีชื่อเสียง แต่ก็แฝงด้วยความอ่อนหวานอยู่บ้างฮั่วหยุนเซียวไม่เคยรู้สึกว่า คําว่าเฉินมู่คํานี้จะอบอุ่นและน่าหลงใหลเช่นนี้มาก่อนหญิงสาวที่เขาสนใจนอนอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีกำลังงัวเงียผมเผ้ายุ่งเหยิงสามคำถามต่อเนื่องนั้นดึงเขาออกจากภวังค์และเข้าสู่ความเป็นจริง แต่เขาไม่มีทางเลือก และทำตามอย่างเต็มใจเฉินมู่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง ช่วงนี้เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าอยู่ในความสงบเมื่อไหร่เธอพร้อมจะหลับทันที“อืม…” จู่ ๆ ความเย็นก็เข้ามากระทบริมฝีปาก สมองเฉินมู่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีสมองของเธอเริ่มประมวลผล พลันฝืนลืมตาขึ้น และเลียริมฝีปากตามสัญชาตญาณเธอมองเข้าไปในสายตาลึกลับของชายตรงหน้า ก่อนถามอย่างงุนงงว่า “อะไรเหรอ?”ปลายลิ้นของฮั่วหยุนเซียวไล่เลียตรงริมฝีปากล่างของตน รา
เมื่อทุกคนออกไป เฉิงหยวนก็ยังคงเกาะแขนของเฉินมู่ด้วยร่างกายอันสั่นอยู่อย่างนั้นเฉินมู่แตะมือเธอ พร้อมปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันจะคอยปกป้องคุณเอง”เฉิงหยวนพยักหน้า “ฉันเชื่อคุณ แต่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนร้ายแบบพวกนั้น ถึงได้กล้ากล่าวหาเหยื่อแบบนี้”ผู้อำนวยการหยางวิ่งเข้ามาถามอย่างรีบร้อน “ผู้อำนวยการเฉินบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ? ผมพยายามห้ามคุณหนูซุยแล้ว แต่…”เฉินมู่ปัดมือไปมา พลางบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ผู้อำนวยการหยางไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา”เธอมองร่องรอยความเสียหายของข้าวของบนพื้น แล้วพูดต่อ “พวกเธอทำอะไรเสียหายบ้าง ลิสต์ให้ฉันด้วยนะ”ผู้อำนวยการหยางรีบยกปัดไม้ปัดมือปฎิเสธอย่างเร็ว “ไม่ได้ ๆ จะให้ผู้อำนวยการเฉินชดใช้ได้อย่างไร?” เฉินมู่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ใครบอกว่าฉันจะเป็นคนชดใช้ค่าเสียหาย? คุณหยางจัดการลิสต์รายการของที่เสียหายมาก็พอค่ะ”ผู้อำนวยการหยางก็ไม่รู้ว่าเฉินมู่คิดจะมาไม้ไหน จึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้นเฉิงหยวนกระแอมเล็กน้อย แล้วถามด้วยความระมัดระวังว่า “คงไม่ใช่ให้ฉันชดใช้ค่าเสียหายหรอกนะ?”“หึหึ” เฉินมู่ยิ้ม “ไม่ใช่ คนที่ลงมือทำลายข้าวของต่าง