เสียงหวีดหวิวของบางสิ่งแหวกอากาศเข้ามาที่ลำคอแม่ทัพเหวินซู ดวงตาคมดุดั่งพญาอินทรีย์ปรายตามองกระตุกยิ้มมุมปาก สิ่งที่แหวกอากาศเข้ามายังคอหอยของแม่ทัพคือกระบวนท่ากรงเล็บพยัคฆ์อันคุ้นเคย กระบวนท่าพิฆาตของสำนักเฟยหลัว เฉพาะศิษย์ไม่ถึงห้าคนที่ได้รับถ่ายทอดสุดยอดเคล็ดวิชานี้เหวินซูยิ้มหยันเบี่ยงกายหลบกรงเล็บพยัคฆ์อันดุดัน เขาปัดข้อมือแกร่งด้วยมือด้านซ้าย กรงเล็บพยัคฆ์ของชายปริศนาง้างขึ้นหมายขยุ้มลงบนหลังคอแม่ทัพอีกครา เขาเบี่ยงกายหลบกรงเล็บด้วยความรวดเร็วชายชุดดำสวมผ้าคลุมหน้าควบม้าสีดำตัวใหญ่เข้ามาเคียงคู่แม่ทัพ ถีบฝ่าเท้าเข้าสีข้างเหวินซูเต็มแรง แรงถีบคือหมายให้เหวินซูตกลงจากม้า เขาเกร็งกายต้านด้วยปราณในร่าง ร่างของเหวินซูไม่ขยับแม้แต่น้อยเหวินซูสะบัดแขนกางกรงเล็บตอบกลับด้วยกรงเล็บพยัคฆ์แบบเดียวกัน ชายทั้งสองควบม้าเคียงกัน มือข้างหนึ่งจับบังเหียนม้า มืออีกข้างซัดกันเต็มแรงด้วยกระบวนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ ชายชุดดำฉวยจังหวะช่องว่างคว้าคอเสื้อด้านหลังของแม่ทัพเหวินซูกระชากแม่ทัพขึ้นกลางอากาศ เหวินซูปัดมือหนาใหญ่ออกอย่างแรง ทั้งสองลอยขึ้นบนอากาศสูงราวสองจั้ง ต่างถีบยอดอกอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยฝ่าเท้า
เฉินเซียวหลางควบม้ากลับจวนสกุลเฉินด้วยใจร้อนรุ่ม พ่อบ้านจวนสกุลเฉินได้รับค่าจ้างพิเศษห้าตำลึงให้คอยจับตาดูฮูหยินน้อยในช่วงที่คุณชายเฉินไปตรวจร้านสาขายังต่างเมือง พ่อบ้านสั่งการคนขับรถม้าแอบสืบความเป็นไปของฮูหยินน้อยเมื่อยามไปสร้างเรือนพักในที่ดินมรดกพ่อบ้านสืบความได้ว่าหัวหน้าคนงานนามว่าเหวินซูมาคอยช่วยเหลือดูแลการสร้างเรือนพักของฮูหยินน้อย ยังไม่ทันได้สืบความเคลื่อนไหวอันใดต่อ พ่อบ้านส่งสาส์นไปแจ้งข่าวแก่คุณชายเฉินเพียงเท่านี้ เฉินเซียวหลางเพียงได้อ่านข้อความในสาส์นจากปลอกขาวิหคลมกรด เขาเร่งตรวจกิจการสาขา เร่งเดินทางกลับมาอย่างรวดเร็ว'เหวินซูกลับมาแล้ว'เรื่องนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้เฉินเซียวหลางปรับสีหน้าให้เป็นปกติ สีหน้าอ่อนโยนเจือรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพบุตรหน้าหยก ร่างสูงใหญ่สวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำสนิทควบม้าเข้าไปในจวนสกุลเฉิน เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับอยู่หน้าลาน เฉินเซียวหลางลงจากม้า บ่าวชายต่างออกมารับม้าจากนายท่าน จูงไปเก็บคอกม้าด้านหลังกวาดสายตามองรอบบริเวณ หน้าเรือนพักของลี่ชิงมีไม้ดอกปลูกเรียงรายสีขาวแดงส่งกลิ่นหอมสดชื่น หน้าเรือนพักของเขามีกระถางต้นไม้ดินเผาบรรจ
แม่ทัพเหวินซูแต่งกายเต็มศักดิ์แม่ทัพใหญ่ ควบม้าอาชาโลหิต ม้าพระราชทานตามศักดิ์ฐานะแม่ทัพผู้เกรียงไกร ฉายาแม่ทัพไร้พ่ายของเขาไม่ได้คว้ามาเพราะโชคช่วย ศึกเล็กใหญ่เพียงใดเหวินซูไม่เคยหวั่นในฐานะหลานชายของราชครูอี้ชวน เขาฉลาดปราดเปรื่องเรื่องกลศึก ในฐานะหนึ่งในศิษย์เอกของสำนักเฟยหลัว เขากล้าแกร่งดั่งเหล็กไหล พลังยุทธในกายไม่เป็นรองผู้ใดเหวินซูสวมเกราะอ่อนรมดำ รวบผมขึ้นสูงสวมกวานทองคำประดับนิลกาฬ ควบม้านำหน้าขบวนทหารเข้าไปในเมืองหลวง เขาส่งคนไปปล่อยข่าวในโรงน้ำชาว่าตนกลับมาแล้ว หลังจากเก็บตัวอยู่นานราวสองสัปดาห์เพื่อสืบความเป็นไปของลี่ชิง สืบดูเหตุการณ์เบื้องต้นประกอบกับคำบอกเล่าจากปากพ่อบ้านจวนแม่ทัพ ไม่ว่าการศึกหรือเรื่องอื่นใด เหวินซูคิดอ่านทำการรอบคอบเสมอ ในครานี้เขาอยากเปิดตัวอย่างเอิกเกริกเสียหน่อยให้สมกับการกลับมาของแม่ทัพไร้พ่ายผู้เกรียงไกร สายตาคมกล้าดั่งพญาอินทรีย์มีแววยินดี เมื่อเห็นผู้คนมากมายรายล้อมสองฝั่งถนน ร่างสูงใหญ่กำยำสง่างามบนหลังม้าอาชาโลหิตดึงดูดทุกสายตาให้มองมาบนใบหน้าหล่อเหลามีกลิ่นอายฆ่าล้างอย่างพญาปีศาจจำแลง สีหน้าเรียบเฉยเจือแววตาคมดุของเหวินซูดึงดูดสตรีทุกผ
ลี่ชิงเปิดร้านทำขนมเค้ก ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ในภพก่อนป้าสมหญิงเป็นคนชอบกินเรียกว่าเป็นนักชิมตัวยง ร้านเค้กไหนอร่อย คาเฟ่ไหนว่าเด็ด ทุกวันหยุดป้าต้องไปชิมไปถ่ายรูปกับบรรดาเพื่อนวัยเดียวกันถึงวัย 48 ปีจะเป็นวัยหมดประจำเดือน แต่ป้าไม่เคยเหวี่ยงวีนเหมือนสาววัยทองคนอื่น ใช้ชีวิตให้มีความสุข ดื่มด่ำกับซีรี่ส์ คาเฟ่ อาหาร สัตว์เลี้ยง การทำงาน และดื่มด่ำวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างปรีเปรมสิ่งเดียวที่ป้าขาดในชาติก่อนคือสามี ถามว่าสามีสำคัญมั้ย ...ไม่รู้สิตอบไม่ได้ ในชีวิตของป้านั้นไม่ค่อยมีคนมาจีบ เคยมีมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยแต่ก็จีบอยู่ได้แค่สองสัปดาห์แล้วก็หาย (หัว) ไปกับสาวน้อยร่างบางผิวขาว ทิ้งให้คนอ้วน ล่ำ ดำ ถึก ยืนเศร้า แบบยังไม่มีโอกาสตอบรับรักความอดทนของผู้ชายมักจะต่ำเมื่อจีบผู้หญิงไม่สวย..ป้าซึ้งสัจธรรม..แต่! ในชาตินี้สิ หึ ๆ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไอด้อนท์แคร์ ออกเสียงสำเนียงอังกฤษให้เหมือนดีไซน์เนอร์ที่ชื่อวทานิกา สาวคนนี้เป็นไอดอลของป้าสมหญิง เรื่องความหรู ความเก่ง ความล้ำ ความโชว์ชุดว่ายน้ำแบบไร้ขนสาหร่าย ป้าสมหญิงชอบเลียนเสียงภาษาอังกฤษของคุณแพร(รี่) ถ้าเกิดชาติใหม่อยากจะสวยเก่ง
เจ้าสองซาลาเปาอายุเกือบสามเดือนแล้ว กำลังนั่งยิ้มจนเห็นเหงือกสีชมพู ร้องอ้อแอ้อยู่ในรถเข็น ลี่ชิงทำรถเข็นให้สองแฝด นางมีบุตรเป็นเด็กยักษ์ถึงสองคน หันไปมองสาวใช้รึก็มีแต่นางแน่งน้อยอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี จะให้อุ้มเจ้าสองหมูทั้งวันคงเมื่อยแขนแย่ลี่ชิงวาดภาพรถเข็นเด็กแฝด ซึ่งคือรถเข็นเด็กสองคันเชื่อมต่อกันด้วยสลักทายางไม้ เข็นรถไปที่ใดก็มีแต่คนมองแล้วเข้ามาถามไถ่ ลี่ชิงคิดแผนการค้าอย่างหนึ่งขึ้นในหัว นั่นคือการขายรถเข็นเด็กอีกอย่างหนึ่ง มาอยู่ในยุคโบราณนี่ก็ดีเหมือนกัน สิ่งที่มีในโลกปัจจุบันล้วนยังไม่มีที่นี่ ร้านขนมเค้กก็เช่นกัน มีคนมาซื้อไม่ขาดสาย อบกันไม่ได้หยุดหย่อน ร้านเค้กของลี่ชิงเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองหลวงภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนป้าสมหญิงนั้นชอบกิน ตอนนี้ต้องขอบคุณความชอบกินของตัวเองแล้วแหละ กินจนได้ดี กินจนมีอาชีพลี่ชิงเดินเข้ามาพร้อมรถเข็นเด็กแฝด ฮูหยินใหญ่เลิกคิ้วสูงทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่มีลักษะคล้ายตะกร้าติดล้อ มีที่บังแดด มีมือจับสำหรับเข็น"นั่นอะไร""รถบรรทุกเด็กเจ้าค่ะท่านแม่""ราวกับจะบรรทุกหมูบรรทุกไก่ หลานข้าตัวเล็กเพียงเท่านี้ต้องใส่รถเข็นเชียวรึ" ฮูหยิน
ลี่ชิงมองสิ่งของในกล่อง มีกระดาษลายมือลี่ชิงอยู่หลายแผ่น ลายมือของลี่ชิงคนเก่า วิญญาณป้าสมหญิงในร่างลี่ชิงคลี่กระดาษออกดูทีละแผ่น กระดาษถูกเย็บติดกันมัดด้วยเชือก ทำเป็นเหมือนสมุดบันทึก มันเป็นข้อความลายมือลี่ชิง ภาษาเขียนบ่งบอกได้ว่าลี่ชิงเป็นคนความรู้ต่ำ ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไรกับสตรียุคนี้ คุณหนูบางจวนไม่ยอมเรียนหนังสือ หรือหากเป็นลูกอนุหรือลูกชาวบ้านก็ไม่มีโอกาสเรียน ตัวอักษรเขียนไว้บนกระดาษปึกหนา เรื่องราวร้อยเรียงเย็บเป็นปึกหนาเหมือนเป็นไดอารี่บอกเล่าเรื่องราวของลี่ชิงกับแม่ทัพเหวินซู ในกระดาษมีข้อความกล่าวถึงเฉินเซียวหลางบ้างเล็กน้อย ลี่ชิงเขียนวันที่กำกับไว้ทุกแผ่น แต่ละแผ่นเหมือนฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม่ของนางเป็นเพียงอนุตระกูลลี่ เมื่อมารดาของลี่ชิงตาย ลี่ชิงถูกขายออกจากจวน บิดาของลี่ชิงเป็นขุนนางระดับล่าง ไม่ได้เป็นผู้ขายลี่ชิงออกจากจวน แต่คนที่ขายลี่ชิงให้หอนางโลมคือฮูหยินของบิดา ในกระดาษเขียนไว้ว่าบิดาของนางป่วยหนักจนแทบกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงลี่ชิงถูกขายเข้าไปอยู่ในหอนางโลม แม่เล้าบังคับให้นางรับแขก แต่ลี่ชิงขัดขืน ถูกส่งไปทรมาน ถูกแม่เล้า
เฉินเซียวหลางเดินเข้ามาในห้อง หยิบบันทึกเล่มนั้นมาดู ความรู้สึกหลากหลายถาโถมประดังเข้ามาอย่างท่วมท้น รู้สึกถึงลมหายใจตนติดขัดเมื่อจ้องมองใบหน้าหวานของว่าที่ภรรยา เขามองสำรวจลี่ชิง นางไม่ได้กรีดร้องโวยวาย กระทืบเท้าหรือขว้างปาข้าวของอย่างที่ควรจะเป็น แต่นางนิ่งเงียบ ซึ่งการนิ่งเงียบเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาอ่านความคิดสตรีตรงหน้าไม่ออก “เชิญคุณชายเฉินนั่งลงก่อน” ท่าทีของลี่ชิงยังสงบ “เจ้าเปิดกล่องสมบัติส่วนตัวได้แล้ว” เขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าว นอกจากพูดเรื่องกล่องสมบัติ ก้อนความรู้สึกแล่นขึ้นมาจุกในลำคอจนทำให้เขาไม่อยากพูดสิ่งใดต่อ “เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่” “เรื่องในคืนนั้นรึ” เขาก้มหน้าราวกับนักโทษกำลังถูกสอบสวน “เรื่องพิษกำหนัด” “สตรีนามว่าฮวนหลิวผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมวางยาพิษกำหนัดในกาสุรา หวังให้เหวินซูหลับนอนกับนาง” “แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า เหตุใดข้าจึงต้องให้พวกท่านมาถอนพิษให้ด้วย แล้วข้าถูกพิษได้อย่างไร” “เจ้าเผอิญรู้เรื่องนี้เข้าเพราะเจ้าช่วยแม่นางฮวนหลิวทำงานในโรงเตี๊ยม ฮวนหลิ
เหวินซูรีบรุดมาเข้าเฝ้าพระสนมเฟยฉาง เสด็จอาหญิงผู้มีตำแหน่งสนมกุ้ยเฟยคนโปรดแห่งองค์ฮ่องเต้ ร่างกายสูงใหญ่แต่งกายชุดลำลองสีทองขลิบดำ ไม่ได้หรูหราอย่างเต็มพิธีการอย่างที่ควรจะเป็น เหวินซูสนิทกับเสด็จอาหญิงเฟยฉาง จนแทบเรียกได้ว่าเป็นมารดาคนที่สองของเขา “คารวะเสด็จอาหญิงพ่ะย่ะค่ะ” เหวินซูยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้รับสาส์นจากพญาเหยี่ยวทอง ในสาส์นเขียนเพียงว่าเรื่องขอพระราชทานราชโองการเรียบร้อยดี พระสนมเฟยฉางเงยหน้าจากกู่เจิง นางแย้มยิ้มมองหน้าหลานชายสุดรักอย่างล้อเลียน “พอใจราชโองการหรือไม่” ก่อนหน้านี้เหวินซูเข้ามาปรึกษาเสด็จอาหญิง เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้เสด็จอาฟัง ปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี “ระดับนักปราชญ์หญิงอันดับหนึ่งเช่นเสด็จอาย่อมคิดการได้รอบคอบยิ่ง ขอบพระทัยเสด็จอาอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ” “เหวินซู อาเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นคนดื้อรั้น หากไม่ได้แต่งกับสตรีนางนี้ เจ้าคงวิ่งหนีไปบวชในอารามเสียกระมัง” “แล้วองค์ฮ่องเต้มิขัดข้องหรือพ่ะย่ะค่ะ” “เรื่องที่เจ้าอยากพิสูจน์โลหิตเด็กท
ราชโองการสมรสพระราชทานประกาศออกไปทั่วเมืองหลวง จวนพระราชทานหลังใหญ่มีแปดห้องนอนพร้อมเรือนย่อยอีกสี่เรือน พระสนมเฟยฉางให้ชื่อจวนนี้ว่าอ้ายหนี่ แรงงานมากมายถูกเกณฑ์มาสร้างจวนอ้ายหนี่ขึ้นอย่างเร่งด่วนให้แล้วเสร็จทันงานสมรสพระราชทาน จวนขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตกแต่งด้วยคิ้วไม้หลี่สีน้ำตาลทอง เป็นจวนที่ถอดประกอบมาจากเมืองอื่นคล้ายกับเป็นการซื้อสำเร็จมาตั้งบนที่ดินที่เตรียมไว้ แล้วทาสีตกแต่งใหม่เพื่อให้ทันวันงาน ด้วยความที่ต้องสร้างจวนนี้ให้แล้วเสร็จภายในสองสัปดาห์ ช่างไม้ทั่วสารทิศรวมถึงช่างไม้หลวงรวมกับช่างไม้ที่ร้านของท่านราชครูแทบไม่ได้หลับได้นอน จวนอ้ายหนี่แล้วเสร็จในเวลาเพียงสิบวัน ใช้งบการสร้างส่วนพระองค์ประทานให้แก่แม่ทัพเหวินซูเป็นรางวัลทำศึก ส่วนเฉินเซียวหลางถูกองค์ฮ่องเต้กึ่งบังคับให้กลับไปรับตำแหน่งเดิมที่เคยสอบได้คือตำแหน่งจอหงวนหรือจ้วงหยวน รับหน้าที่ดูแลกรมการค้า ระดับขุนนางขั้นสาม บัญชีรายชื่อของเขายังอยู่ในระยะเวลาสองปีเพื่อเรียกมารายงานตัว พระสนมเฟยฉางรับเด็กฝาแฝดเป็นบุตรบุญธรรม พระสนมทูลเสนอให้เฉินเซียวหลางกลับไปรับตำแ
ลี่ชิงให้นมบุตรเรียบร้อย เด็กทั้งสองอิ่มจนหลับไป ญาติผู้ใหญ่ฝั่งแม่ทัพเหวินซูเอาเด็กน้อยทั้งสองไปอุ้มเล่น ผลัดกันอุ้มกับฮูหยินใหญ่ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาของแม่ทัพดีใจมาก อุ้มหลานชายไม่ยอมปล่อย ท่านราชครูอี้ชวนเข้ามาแย่งอุ้มพร้อมสวมกำไลข้อเท้าทำจากทองคำลายอินทรีย์ให้เด็กชายน้อย ท่านราชครูมอบกำไลข้อเท้าให้เด็กหญิงน้อยเช่นกัน เมื่อเหล่าคนแก่เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเด็ก ยิ่งหลงใหลกว่าคราวที่ตนมีลูกเสียอีก ลี่ชิงนั่งหน้ามุ่ยเป็นกังวลเรื่องของตนเอง นางกลัวว่าทุกคนจะแย่งเจ้าลูกหมูน้อยไปจากอ้อมอก ลี่ชิงทั้งหวาดกลัวทั้งกังวลกับทุกเรื่องจนร้องไห้ออกมา เหวินซูกับเฉินเซียวหลางได้แต่เข้ามาปลอบนาง ช่วยเช็ดน้ำตาให้ไม่ห่าง ฮ่องเต้เสด็จ! ขันทีกล่าวด้วยเสียงแหลมเสียดแก้วหูดังขึ้นด้านนอก องค์ฮ่องเต้เสด็จมาจากทางตำหนักใหญ่ พระองค์อยากใช้ความคิดเพียงลำพังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่ทัพคนโปรดคู่บัลลังก์หาเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมาให้พระองค์ปวดหัวในรอบสิบปี ไหนจะเรื่องรางวัลทำศึกที่ขอไว้อีก มีอย่างที่ไหน อยากได้สตรีในจวนผู้อื่นเป็นรางวัลทำศึก
ทั้งแม่ทัพเหวินซูและเฉินเซียวหลางรวมถึงทุกคนทำหน้าเหมือนเห็นผี เจ้าลูกหมูก็ร้องโยเยขึ้นมา ลี่ชิงเดินไปอุ้มลูก ฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาช่วยนางโอ๋เด็กน้อยทั้งสองให้เงียบเสียงลง เมื่อเจ้าลูกหมูถูกลี่ชิงอุ้มไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกมารดาอย่างคุ้นเคย ฮูหยินใหญ่อุ้มเด็กหญิงน้อยไว้ในอ้อมแขน เด็กหญิงดันกายออกจากอก ยื่นมือน้อยไปทางมารดา ลี่ชิงจำต้องนั่งลง อุ้มบุตรทั้งสองไว้ในอ้อมกอด “ข้าขออธิบายทีหลัง ที่นักพรตกล่าวเป็นความจริง ข้าไม่ใช่ลี่ชิง” คุณป้าสมหญิงถอนหายใจ กลัวอย่างเดียวว่าจะถูกแย่งลูกหมูไป แล้วคนพวกนี้ก็จับคุณป้าไปทรมานเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ “พิสูจน์เลือดบุตรให้เสร็จสิ้นก่อนเถิด” เหวินซูกล่าวออกมา เขายังมองไปทางร่างบางกอดบุตรไว้ในอ้อมแขน นักพรตเริ่มพิธีกรรมอีกครั้ง นำจอกเลือดทั้งสองจอกมาวางตรงหน้าเหวินซู จอกเลือดอีกสองจอกมาวางตรงหน้าเฉินเซียวหลาง สองบุรุษลุ้นจนแทบขาดอากาศหายใจ เลือดของแม่ทัพเหวินซูรวมกับเลือดของเด็กชาย ส่วนเลือดของเด็กหญิงรวมกับเลือดของเฉินเซียวหลาง “เด็กชายเป็นบุตร
องค์ฮ่องเต้ประทับที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน ด้านข้างมีองค์สนมกุ้ยเฟยประทับเยื้องอยู่ทางด้านซ้าย ตำแหน่งรองลงมาคือราชครูอี้ชวนผู้เป็นท่านตาของแม่ทัพ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาแม่ทัพกับฮูหยินผู้เป็นมารดาแม่ทัพนามว่าอี้ฟางเจิน บุตรสาวราชครูอี้ชวน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ คารวะเสด็จอาหญิง คารวะท่านพ่อท่านแม่” แม่ทัพเหวินซูคารวะองค์ฮ่องเต้ พร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ทุกคน แม่ทัพเหวินซูไม่ได้คาดคิดว่าญาติผู้ใหญ่ฝ่ายตนจะแห่กันมามากมายขนาดนี้ ดูหน้าบิดามารดากับท่านตาของเขานั่นเล่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาแอบเห็นมือท่านตาถือกำไลข้อเท้าเด็กทองคำ นักพรตราชวงศ์แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวขลิบเทา กำลังนำกระดานชนวนออกมาขีดเขียนอักขระ แพทย์หลวงต่างเข้ามายืนด้านข้างเพื่อช่วยการตรวจพิสูจน์ไม่ให้บิดพลิ้วได้ “ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้ทำพิธีที่กรมพิธีการหรือทำที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านักพรตกล่าวกับองค์ฮ่องเต้ “ทำที่นี่ เจิ้นขี้เกียจเดิน” องค์ฮ่องเต้อยากรู้เต็มทน เช่นเดียวกับทุกคนในห้องนี้ หากจะเดินย้อนกลับไปที่กรมพิธีการก็ใช้เวลาอีกไม
รถม้าคันงามตีตราสัญลักษณ์อินทรีย์ ทำจากไม้หลี่เนื้อดีสลักลายอินทรีย์กรุด้วยทองคำแผ่นบาง รถม้าแล่นไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง แม่ทัพเหวินซู เฉินเซียวหลางและลี่ชิงนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกัน เฉินเซียวหลางรินชาให้ศิษย์พี่ เขารินให้ตนเองกับลี่ชิงทีหลัง “ข้าผิดเอง” เฉินเซียวหลางถอนหายใจ “เรื่องนี้คงไม่ถือว่าเจ้าเป็นคนผิด เจ้าเองก็ดูแลลี่ชิงเป็นอย่างดี ทั้งช่วงนางตั้งครรภ์จนเด็กทั้งสองคลอดออกมา” “แล้วหากเด็กทั้งสองเป็นบุตรของท่าน” เฉินเซียวหลางมองหน้าศิษย์พี่เหวินซู “ข้าต้องรับเด็กทั้งสองไปเลี้ยงดูในฐานะบุตรข้า”เหวินซูตอบ เขาลอบมองหน้าลี่ชิง อยากรู้ว่านางคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ “แล้วเจ้าเล่าลี่ชิง จะทำอย่างไรต่อ” เฉินเซียวหลางหันไปถามลี่ชิง เฉินเซียวหลางนึกถึงคราวที่เขาขอนางแต่งงาน เขามองสร้อยข้อมือที่เคยใช้ขอนางแต่งงาน นางยังสวมอยู่บนข้อมือไม่เคยถอด แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราชโองการ เฉินเซียวหลางถึงกับถอนหายใจออกมา “ข้าตกลงแต่งให้คุณชายเฉิน” ลี่ชิงเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ทัพเหวินซู “แล้วข้าเล่า” แม่
ยามเหม่า ณ จวนสกุลเฉิน บ่าวไพร่สาวใช้ในจวนสกุลเฉินคึกคักตั้งแต่ต้นยามเหม่า ฟ้ายังไม่ทันสางดีเสียด้วยซ้ำ ทุกคนวิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น สาวใช้ตระเตรียมอาภรณ์งดงามและเครื่องประดับให้ฮูหยินน้อยอย่างสมฐานะ อาภรณ์ไหมตัวนอกถูกส่งมาจากจวนแม่ทัพเหวินซู พร้อมเครื่องประดับทำจากปะการังแดง ฮูหยินใหญ่เลือกเครื่องประดับผมให้ลี่ชิง ฮูหยินใหญ่หลี่เฟยปักปิ่นทำจากทับทิมบนมวยผมของลี่ชิง “เจ้างามมากลี่ชิง” “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” “วันนี้ผลจะเป็นอย่างไร พวกเราคงต้องยอมรับความจริง” ฮูหยินใหญ่แววตาหม่นเศร้า เมื่อนึกถึงผลตรวจพิสูจน์โลหิตเด็กน้อยทั้งสอง หากเป็นบุตรแม่ทัพเหวินซูจริง สกุลเฉินต้องคืนทั้งแม่ทั้งลูกให้กับเหวินซูตามราชโองการ เฉินเซียวหลางมองลี่ชิงแต่งกายอย่างงดงาม ผิวขาวอมชมพูตัดกับอาภรณ์ไหมสีส้มแดง เครื่องประดับเข้าชุดขับเน้นความงามของผิวพรรณสตรีตรงหน้า เฉินเซียวหลางถึงกับลืมหายใจเมื่อเห็นลี่ชิงเดินออกมาหน้าเรือน หลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาในห้วงอารมณ์ ทั้งกลัวสูญเสียนางกับลูกไป ทั้งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เมื่อนึกถึงความเป็นจริงที
ลี่ชิงมองทองก้อนมูลค่าสูงกับโฉนดที่ดินย่านการค้าที่เหวินซูมอบให้ กำลังคิดว่าจะทำมาหากินอะไรต่อดี มีผู้ชายดูแลก็ดีอยู่หรอก แต่การยืนด้วยขาของตนเองมันคงจะดีกว่า ลี่ชิงขี่ม้าออกไปที่ร้านค้า สอบถามคนแถวนั้นว่าโฉนดที่ดินอยู่ตรงไหน ลี่ชิงขี่ม้าตัวเล็กสีขาวชื่อจูจูออกไปพร้อมกับบ่าวชายอีกสองคน วันนี้ลี่ชิงไม่ได้เอาลูกหมูมาด้วย ฝากให้ฮูหยินใหญ่ดูแลอยู่ที่จวน พิกัดร้านค้าตามโฉนดอยู่บริเวณใจกลางแหล่งการค้า ไม่ไกลจากร้านช่างหลวงของแม่ทัพเหวินซู ลี่ชิงควบม้าสีขาวตัวเล็กออกไปที่ร้านเหวินซู เห็นเขากำลังง่วนอยู่ในร้านพอดี ร้านไม้ช่างหลวงเทียนหลง ร้านนี้เป็นร้านของสายตระกูลฝั่งมารดา ผู้ก่อตั้งคือราชครูอี้ชวนผู้เป็นท่านตาของแม่ทัพ ลี่ชิงผูกม้าไว้หน้าร้าน ก่อนเดินเข้าไปในร้านช่างไม้ขนาดใหญ่ ฝีมือการสร้างโต๊ะ ตู้ เตียง เครื่องเรือนทุกชนิดล้วนแต่เป็นฝีมือช่างฝีมือระดับช่างหลวงหรือใกล้เคียง เรียกได้ว่าเป็นหัตกรรมงานไม้ชั้นสูง รับทำตามแบบเฉพาะของพวกคนมีเงินหรือพวกเชื้อพระวงศ์ เมื่อเหวินซูว่างเว้นจากการศึก เขามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว มี
เสด็จอาหญิงเรียกแม่ทัพเหวินซูมาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ พระองค์ประทับอยู่กับเสด็จอาหญิงที่ตำหนักซูเหวียน “ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเหวินซูคารวะองค์ฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี เจิ้นเพียงอยากมอบทองคำ แพรพรรณ สินทรัพย์โฉนดที่ดินเล็กน้อยให้เป็นรางวัลทำศึก” “ท่านมอบให้หลานชายข้าอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ยังต้องให้สิ่งใดอีก” พระสนมเฟยฉางคลอเคลียใบหน้างามไปบนไหล่องค์ฮ่องเต้ ท่วงท่าออดอ้อนราวกับแมวน้อย “เพียงทรัพย์สินเล็กน้อย กับโฉนดร้านค้าในย่านค้าขาย ลี่ชิงว่าที่ฮูหยินเจ้าชอบค้าขายไม่ใช่รึ ขนมประหลาดที่เรียกว่าขนมเค้กนั่นก็รสเลิศยิ่งนัก สมควรขยายร้านค้าให้นางเสียหน่อย” องค์ฮ่องเต้กล่าวอย่างอารมณ์ดี พระองค์ทรงแต่งกายชุดลำลองสีดำปักดิ้นทองคำลายมังกร มือหนาเรียวยื่นของพระราชทานให้กับแม่ทัพเหวินซู “ขอบพระทัยฝ่าบาท” “สัปดาห์หน้าจะมีการพิสูจน์เลือดบุตรของเหวินซู ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หากเด็กทั้งสองเป็นบุตรเหวินซู ย่อมหมายถึงข่าวดีต่อตระกูลหม่อมฉันด้วย” พระสนมเฟยฉางลุกขึ้นคารวะองค์ฮ่องเต้
แม่ทัพเหวินซูก้าวเดินอย่างองอาจเข้ามาในจวนเจ้ากรมพิธีการ ดวงตาคมกล้ามีกลิ่นอายฆ่าล้างอย่างเทพสงคราม ร่างสูงกำยำแต่งกายเต็มศักดิ์แม่ทัพอย่างน่าเกรงขาม ไม่ใช่เพียงตำแหน่งของเขา แต่รัศมีบางอย่างแผ่ออกจากกายของเหวินซู ทำให้ผู้ไม่คุ้นชินต้องหลบตาอย่างลนลาน “คารวะท่านแม่ทัพ มีธุระอันใดกับกรมพิธีการรึขอรับ” ทหารยามหน้าจวนเจ้ากรมพิธีการคารวะแม่ทัพเหวินซูตามศักดิ์ “ข้าจะมาพูดคุยกับท่านเจ้ากรมพิธีการเรื่องราชโองการที่องค์ฮ่องเต้ประทานให้ข้า” “รอสักครู่ ข้าจะเข้าไปแจ้งเจ้ากรมก่อนนะขอรับ” ทหารยามเข้าไปแจ้งเรื่องที่แม่ทัพเหวินซูมาพบเจ้ากรมพิธีการ “เชิญท่านแม่ทัพด้านในขอรับ” เหวินซูเข้ามาในห้องโถงกลางในจวนขนาดใหญ่ ท่านเจ้ากรมได้รับแจ้งเรียบร้อยเกี่ยวกับเรื่องการพิสูจน์เลือดบุตรของแม่ทัพเหวินซู “ท่านแม่ทัพมาหาข้ามีธุระอันใด” เจ้ากรมพิธีการเดินออกมาต้อนรับในชุดลำลอง “ข้าเพียงอยากให้ท่านเร่งเวลาตรวจพิสูจน์เลือดบุตร ให้เร็วขึ้นอีกสักนิดได้หรือไม่” “ข้าพอจะช่วยให้เร็วขึ้นได้ที่สุดคงเป็นสัปดาห์หน้า”