เฉิงซีหยวนก้มลงกดจมูกโด่งที่แก้มเชียวอู่แทนรางวัล“เก่งที่สุดลูกของพ่อ” เชียวอู่ยิ้มกอดรอบลำคอเฉิงซีหยวน ที่โอบร่างกระจ้อยทั้งสองไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน“จุนลุงเหมือนจุนพ่อจริงๆ แล้วฮับบบ” เชียวอู่พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะเหรินเหมยมองภาพตรงหน้า...ชายที่เคยทำให้เธอเจ็บช้ำกำลังสุมหัวกับลูกแฝด ยิ้ม หัวเราะ อุ้มลูกไว้ในวงแขนอย่างทะนุถนอม เธออยากเมินหนี อยากทำเหมือนไม่เห็นภาพอบอุ่นนี้ แต่หัวใจกลับไม่เชื่อฟัง...ไม่ใช่เพราะเขาเปลี่ยนไป แต่มันคือรอยยิ้มของเด็กสองคน ที่มีความสุขแสนบริสุทธิ์ตรงหน้า “อันอัน...เชียวอู่...” เสียงของเธอเบาราวกระซิบ เด็กทั้งสองหันขวับมามอง “จุนแม่ไม่โกรธจุนลุงแล้วใช่ไหมคะ?” อันอันถามตาแป๋ว “ยังหรอก...แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น” เหรินเหมยตอบตรงไปตรงมา “แต่แม่ก็...ไม่อยากให้ลูกเกลียดใคร เพราะความเจ็บปวดที่แม่ได้รับ” อยากจะพูดว่าเพราะว่าแม่เกลียดใคร แต่เปลี่ยนคำพูดเสียเฉิงซีหยวนชะงักมองหญิงสาวตรงหน้า จีเหรินเหมยยังคงใจแข็ง ยังคงตั้งกำแพง แต่แววตานั้น...มันไม่ใช่ความเกลียดอีกต่อไป มันคือความสับสนที่เขาเองต้องค่อย ๆ คลี่คลาย และเขาจะต้องไม่ยอมแพ้ “เหรินเหมย...” เขาล
ค่ำแล้วอาหารเย็นผ่านไปด้วยรอยยิ้มของอันอันและเชียวอู่ส่วนเหรินเหมยนอกจากยอมจำนนแล้วก็กลายเป็นนิ่งเฉยแสงจันทร์สาดลอดม่านบางเข้ามา เงาร่างบางยืนพิงระเบียงห้องนอนของเด็กๆ ที่หลับไปแล้ว เขาทุ่มเงินสร้างห้องสำหรับเด็กๆ ขึ้นมาตอนไหนนะ เหรินเหมยแค่คิดว่าเขาเตรียมการนานแค่ไหน ห้องนี้ต่อออกมาจากห้องที่เหรนเหมยเคยมาพักพิงเมื่อตอนอุ้มท้องห้องจัดได้สบายตาและน่ารักในแบบของเด็กวันปฐมของใช้ทุกชิ้นล้วนราคาสูงลิบเสี่ยวจี้บอกว่าเฉิงซีหยวนเป็นคนเลือกซื้อของพวกนี้ด้วยตัวเองและพูดกับคนที่บ้านนี้ว่าคุณจีกำลังจะกลับมา ลมเย็นพัดเบาๆ กระทบใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มเสมอแต่ยามนี้กลับเงียบงัน เหรินเหมยเงยหน้ามองฟ้า ดวงจันทร์กลมโตคล้ายกำลังมองเธอด้วยความสงสารหรือเปล่านะหรือว่ากำลังสมน้ำหน้า เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามาใกล้ เธอไม่จำเป็นต้องหันกลับไปก็รู้ว่าเป็นเขา คนที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรง แล้วก็ทำให้มันพังยับเยินในเวลาเดียวกันเฉิงซีหยวนยืนอยู่ข้างหลังเธอ แค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถเอื้อมมือคว้าร่างเธอไว้ได้ แต่เขาไม่กล้า เพราะรู้ดีว่า…เขาไม่อยากทำร้ายเหรินเหมยอีกแล้วทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นต่อจากนี้เขาไม่อยากทำมันพัง ทั้งที่อย
“เย้จุนลุงจะพาพวกเราไปเที่ยว!” เชียวอู่ร้องเสียงใส ดวงตากลมโตส่องประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น เด็กชายตัวน้อยยิ้มกว้างราวกับโลกทั้งใบเป็นของเขาในวันนี้เหรินเหมยยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล มองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น เด็กแฝดของเธอหัวเราะคิกคักในอ้อมแขนของชายคนเดียวกับที่เหรินเหมยเคยอยากจะหนีไปให้พ้นเฉิงซีหยวนเขา... ผู้ชายคนนั้น เขา... ที่ทำให้เธอไร้หนทางเขาที่เธอจำฝังใจ แต่วันนี้ เขากลับกลายเป็นเหมือนร่มเงาอบอุ่นที่เด็กทั้งสองยอมให้เข้าใกล้เชียวอู่กอดรอบคอของเฉิงซีหยวนแน่นตลอดการเดินเล่นในสวน ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป รอยยิ้มของเด็กน้อยนั้นทั้งซื่อบริสุทธิ์และเปี่ยมความหวัง มันช่างทรงพลังจนทำให้หัวใจของเหรินเหมยปั่นป่วนเหมือนคลื่นลมในฤดูพายุทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝัน... แต่ในใจของเหรินเหมยกลับมีคำถามที่ไร้คำตอบ“เขาคือคนเดิม... หรือคนใหม่ที่ฉันไม่รู้จัก?”เฉิงซีหยวนที่เธอเคยชื่นชมเมื่อครั้งซูจ่ายยังอยู่... เฉิงซีหยวนที่เปี่ยมความรับผิดชอบและอ่อนโยน วันนี้เขากลับมาแล้วจริงหรือ? หรือเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดจากความหวังของเด็ก ๆ?ยามเย็น เมื่อกลับถึงบ้าน แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าทอดเงาอบอุ
จูดี้หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ดวงตาคู่นั้นเปล่งแสงวาบเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง “ก็ข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่น่ะค่ะ... ข่าวที่บอกว่าซีหยวนยกเลิกงานแต่งงานกับน้องเมียเก่าหรือคุณซูจิงเพราะคุณ เก่งจังนะคะทำพี่เขาตตายแล้วยังมีความสามรถทำให้เขายกเลิกงานแต่งงานได้เพราะคุณ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะทำสำเร็จจนได้”คำพูดของจูดี้ทำให้เหรินเหมยรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงจากมีดคม เหรินเหมยคุมสติ กลั้นความร้อนรุ่มในอกไว้ “คุณหมายความว่าอย่างไร?”จูดี้ยิ้มขำอย่างมีเลศนัย ท่าทางเหมือนรู้จักทุกอย่างดีเกินไป “เอาเถอะค่ะ… ฉันแค่จะบอกคุณว่า ความจริงมีแค่หนึ่งเดียว... คุณเคยบอกกับเฉิงซีหยวนไหมคะว่า...เหตุผลที่คุณยอมอุ้มบุญให้ซีหยวนมันไม่ใช่แค่เพราะความสงสาร กับเรื่องเงินที่ต้องเอาไปรักษาแม่ของคุณแต่ยังมีบางสิ่งที่คุณไม่เคยบอกใคร” เธอหยุดพูดชั่วขณะแล้วมองเหรินเหมยอย่างเจาะจง “มันคือความรู้สึกที่คุณมีต่อเขา... คุณแอบรักเขาอยู่ใช่ไหมคะ?”เหรินเหมยรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทำร้ายด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “คุณพูดอะไรน่ะ?”จูดี้ยิ้มเย็นชา เธอลุกขึ้นและก้าวเข้าใกล้เหรินเหมยอีกนิด ก่อนจะพูดเสียงเบา แต่เจา
รถเคลื่อนผ่านถนนสายเลียบทะเล แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกค่อยๆ ซัดผ่านกระจกรถเป็นสีส้มแดง เปลวแดดอุ่นสาดกระทบใบหน้าของซูจิงที่นั่งพิงเบาะในท่าสบายผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เหม่อมองคลื่นทะเลซัดฝั่งไม่หยุดเหมือนกับสนุกเสียเต็มที่ มือเธอแตะกับขอบกระจกอย่างเหม่อลอย ขณะที่หัวใจเต้นสับสนในความเงียบที่ล้อมรอบชาไช้ขับรถเงียบๆ มาตลอดทาง เขาไม่ใช่คนพูดมากนัก โดยเฉพาะเวลาที่หัวใจยังสั่นไหวเหมือนตอนนี้ …สงสาร“คุณยังไม่หายเสียใจเหรอ?” เสียงเขาเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงคลื่น กับเพลงเบาๆ ที่คลออยู่ในรถซูจิงหันมาหาเขา “ไม่รู้สิ...อาจจะยังไม่หาย...ไม่รู้สิฉันสับสนความจริงกว่าว่าต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ที่จะตามมามากกว่า”เธอยิ้มบาง แต่เป็นยิ้มเศร้าพูดเบาๆ“มันเหมือนกับว่า...ฉันเสียเวลากับคนที่ไม่เคยมองเห็นฉัน ความจริงแล้วพี่ซีหยวนก้ไม่เคยมองเห็นฉันอยู่แล้วฉันก็แค่คำสัญญาและคำขอร้องของพี่ซูจ๋ายที่พี่ซีหยวนต้องยอมจำนน”ชาไช้ถอนหายใจ“ซูจิง” เขาเรียกชื่อซูจิงเบาๆ เป็นครั้งแรกที่เอ่ยโดยไม่มีคำล้อหรือเล่นสนุกซูจิงเองก็ใจเต้นตึกตักแต่ก็รอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไร“เมื่อห้าปีก่อน...วันนั้นที่คุณทำขนมช็อกโกแลตลาวามาให้
ชาไช้…“หนีออกมาเดินเล่นคนเดียวแบบนี้ ถ้าหลงฉันจะหาเธอเจอได้ยังไง”เสียงเขาแหย่เบาๆ แต่แววตาที่มองเธอนั้นกลับไม่ได้ขำซูจิงหัวเราะในลำคอ หันกลับไปสบตาเขา “นายก็หาจนเจอนี่”“ฉันหาเธอเจอตลอดแหละ...ความจริงแล้วตั้งใจเที่ยวรอบโลกเสียก่อนค่อยหลับมาทำงานแต่ได้ยินว่าซูจิงกลับมาบ้านเฉิงเพื่อดูแลพี่สสะใภ้ฉันเลยรีบกลับบ้านเฉิงบ้างอย่างไรเล่า เฮ้อแต่เธอไม่เคยหันมามอง”ประโยคที่ออกจากปากเขาทำให้หัวใจเธอสะดุดไปชั่ววูบลมทะเลพัดแรงขึ้นจนเธอขยับตัวเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติ เขายื่นมือออกมา กางแขนโอบเธอไว้แน่นในอ้อมอก“รู้ไหม...ฉันเคยคิดว่าถ้าได้จูบเธอตรงนี้ บนหาดทรายที่มีแค่เรา ฉันคงไม่มีอะไรต้องเสียดายในชีวิตนี้อีกเลย”ซูจิงเงยหน้ามองเขาช้าๆ ดวงตาเธอสะท้อนแสงจันทร์และแววตาอ่อนโยนที่เขามีให้“งั้นจูบฉันสิ...ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”คำพูดของเธอเหมือนหยุดเวลาไว้ทั้งโลก ชาไช้ไม่รอให้เธอพูดซ้ำ มือเขาประคองใบหน้าเธอเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงริมฝีปากของเขาสัมผัสเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก เหมือนกำลังถามว่า ‘เธอแน่ใจนะ’ แต่เมื่อเธอตอบกลับด้วยจูบเดียวกัน จูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดแน่นที่ไม่เคยพูด มันก็ลึกซึ้งขึ้น ช
ทันทีที่ประตูปิดลง เสียง คลิก ของกลอนประตูเหมือนตัดโลกภายนอกออกไป เหลือแค่สองคนในห้องเงียบสงบ เหริยเหมยกลับรู้สึกว่าหายใจไม่ออกอึดอัดและมือชื้นเหงื่อเฉิงซีหยวนหันกลับมามองเหรินเหมยที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเฉิงซีหยวนก้าวเข้ามาใกล้ช้าๆ ...จนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ จับมือเหรินเหมยมากุมไว้“กลัวหรือ”เสียงเขาเบานุ่มเหมือนสายลมยามค่ำเหรินเหมยก้มหน้า“ไม่ต้องกลัว...” เขาพูด น้ำเสียงแฝงความสั่นไหวแต่หนักแน่น “ผมจะปกป้องคุณเอง... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”เหรินเหมยไม่ได้ตอบอะไร เธอยังยืนนิ่งเหมือนกำลังประมวลผล แต่ภายในใจกลับร้อนวูบขึ้นมาทีละน้อย ความเจ็บ ความอัดอั้น และความรู้สึกที่เธอเคยพยายามกลั้นไว้เหมือนถูกคลายล็อกทั้งหมดเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตาเฉิงซีหยวน“คุณ จะโกรธไหมถ้าฉันจะบอกว่าก่อนที่จะอุ้มท้องเด็กแฝดทั้งสองฉัน..ฉันเคยโพสน์แอบปลื้มคุณในโซเซียล.” น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ“อย่างนั้นหรือ เคยชอบฉันแล้วอย่างไร”“เคยชอบแล้ว คราวนี้คู่ขาของคุณผู้หญิงของคุณหรืออะไรก็แล้วแต่ฉันหมายถึงผู้หญิงคนนั้นเขาเลยจะใช้ความผิดพลาดนี้ของฉันเพื่อที่จะทำให้คุณโกรธ ว่าฉันชอบคุณเลยตั้งใจรับงานนี้เพื่อ
สายวันนั้นเสียงฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่างดังเปาะแปะ เฉิงซีหยวนยืนอยู่กลางห้องรับแขก สีหน้าเรียบเย็นเยือก เขาสวมเสื้อเข้ารูปสีเข้มอย่างไม่เป็นทางการ แต่ดวงตานั้นทอประกายมุ่งมั่นยิ่งกว่าสายฟ้านอกหน้าต่างคุณเสวียเตอ นั่งอยู่บนโซฟาอย่างสงบข้างเขา สายตาเฉียบขาดไม่แพ้กันไม่กี่นาทีถัดมา คุณนายจางก็เดินเข้ามา สีหน้ากังวลแต่พยายามยิ้มรับ“อา...คุณเสวียเตอ คุณเฉิงขอโทษที่ให้รอ” เดินอ้อมมาเพื่อนั่งลงตรงหน้าคนททั้งสองที่โซฟาหลุยส์เฉิงซีหยวนลุกขึ้นนิดๆ แสดงความเคารพก่อนจะนั่งลงหลังจากที่คุณซีหยินนั่งลงก่อนแล้วคุณเสวียเตอเอ่ยอย่างนุ่มนวล“ผมกับคุณแม่ตั้งใจมาที่นี่ จึงไม่กังวลว่าจะต้องรอหากคุณจางจะออกมาคุยกับเราสักนิด” เสียงเฉิงซีหยวนดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค ไม่เหลือความลังเล “เอ่อ ขอโทษจริงๆ ที่ซูจิงมาพบพวกคุณไม่ได้ ทั้งๆ ที่คู่หมั้นมาถึงบ้าน” สีหน้ากังวลจนไม่อาจปกปิดได้อีก“เราสองคนที่นี่เพื่อเรื่องสำคัญ” คุณเสวียเตอช่วยเสริมทั้งอึดอัดและเหมือนถูกกดดัน คุณจางยิ้มแห้งๆ“เรื่องสำคัญอะไรหรือคะหรือว่าพวกคุณ เองก็มีเรื่องที่อยากจะพูดและตกลงกัน”คุณเสวียเตอมองสบตากับเฉิงซีหยวน“ฉันจำต้อ
เสียงกองไฟในเตาผิงแตกดังเปาะแปะ กลิ่นขนมปังที่เหรินเหมยอบไว้ยังอุ่นกรุ่นบนโต๊ะ เด็กแฝดสองคนในชุดนอนตัวโตกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนพรมสีขาวสะอาดกลางห้องอันอันเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นเฉิงซีหยวนเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ มือใหญ่ของเขาลูบผมลูกสาวตัวน้อยที่บรรจงแต่งแต้มสัสันลงบนภาพวาด เบา ๆ“จุนพ่อ…คะนี่คือพ่อกับแม่ กับอันอันกับเชียวอู่ พวกเราอยู่ด้วยกัน…” เธอกะพริบตาปริบ ๆ ยิ้มแก้มป่อง แล้วชี้ภาพวาดที่เธอระบายสี เชียวอู่ชะโงกหน้ามามอง“พี่อันอันเก่งจังเลยครับวาดรูปให้เราอยู่ด้วยกันได้ด้วย”“เพราะว่าอันอันกับเชียวอู่อยากให้พวกเราอยู่ด้วยกัน”เฉิงซีหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วโน้มตัวลงกอดทั้งสองวาดไว้แนบอก“ต่อไปนี้... พ่อจะอยู่ตรงนี้กับพวกหนูตลอดไป”เชียวอู่ กอดจากอีกด้าน มือเล็ก ๆ ดึงเสื้อของเขาแน่น “สัญญานะครับ…จุนพ่อ”“พ่อสัญญาเลย” เขาพยักหน้า แล้วหันไปมอง เหรินเหมย ที่ยืนพิงประตูอยู่อย่างเงียบ ๆสายตาทั้งสองมองสบกัน เฉิงซีหยวนลุกขึ้นเดินไปหาเธออย่างช้า ๆ แล้วจับมือเธอไว้“ผมขอโทษ…ที่เคยปล่อยมือคุณไป และครั้งนี้…ผมจะไม่มีวันปล่อยอีก”เหรินเหมยพยายามกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งป
เสียงเครื่องยนต์ดับลงหน้าบ้านไม้หลังเล็กกลางหุบเขา เหรินเหมย ที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่เงยหน้าขึ้น เห็นรถของเฉิงซีหยวนที่คุ้นตา แต่กลับเปิดประตูออกมาเป็น ชาไช้ กับ ซูจิงเธอชะงัก มือที่จับสายยางสั่นเล็กน้อย ในมเื่อเหรินเมหยคิดว่าตัวเองทำผิดกับซูจิงที่แอบมาอยู่ที่นี่กับเฉิงซีหยวนทั้งๆ ที่ซูจิงดีกับเหรินเหมยขนาดนั้นเฉิงซีหยวนเดินออกมาตามเสียงรถ หยุดลงข้างเหรินเหมย เขามองเห็นทั้งสองที่เดินเข้ามา ไม่มีถ้อยคำทักทาย ไม่มีคำอธิบาย มีเพียงสายตาของทั้งสี่ที่สื่อสารกันอย่างเงียบงัน“ขอโทษที่มารบกวน” ซูจิงเอ่ยเสียงเบา แววตาซ่อนความสั่นไหว แม้จะบอกว่าไมไ่ด้รุ้สึกอะไรกับพี่เขยอย่างเฉิงซีหยวนแต่กลับรู้สึกว่าเขามองว่าซูจิงโง่“นายกับซูจิงไม่สิสองคนมาด้วยกันได้อย่างไร” เฉิงซีหยวนถามตรง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์เขาไม่มีทางหวั่นเกรงอะไรเพราะตอนนี้คนที่เขาจะต้องปกป้องคือเหรินเหมยกับลูกถ้าหากว่าซูจิงจะไม่พอใจที่เหรินเหมยกับเขาอยู่ด้วยกันเหมือนกับซูจิงถูกหักหลังและชาไช้จะโกรธเขา ที่แอบเอาเหรินเหมยมากกที่นี่“เพราะผมอยากจะคุยกับพี่ให้เข้าใจ” ซูจิงเหลือบตามองเหรินเหมย “กับเธอ…ด้วย เหรินเหมย” ชาไช้พูดตรงๆเหริ
ห้องพักในรีสอร์ตเสียงฝนพรำกระทบกระจกหน้าต่างไม่ช่วยให้หัวใจของ ซูจิง สงบลงได้เลย เธอยืนพิงขอบหน้าต่าง มองออกไปยังคลื่นที่ซัดสาดไปที่ทะเล ร่างในเสื้อยืดบางมองเห็นทรวดทรงชัดเจน แววตาเต็มไปด้วยความสับสนชาไช้ เดินออกมาจากห้องน้ำเช็ดผม เขามองซูจิงเงียบ ๆ ก่อนจะวางผ้าลงบนเก้าอี้ “คุณ ยังไม่นอนหรือ คุณหลับได้เลยนะกว่าเราจะกลับก็คงเย็นๆ”“พรุ่งนี้ฉันต้องไปเจอคุณแม่…เสียที เราสองคนหนีความจริงไม่พ้น” เสียงซูจิงแผ่วเบา …ต้องไปเจอคุณแม่อยู่ดีจะช้าหรือเร็ว…” ชาไช้ยิ้มอ่อนโยนเดินเข้าไปใกล้ ชะงักเล็กน้อยแล้วถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือแตะไหล่เธอ “ผมสัญญา จะไปเผชิญปัญหาด้วยกันกับคุณ ไม่ต้องกลัว”“กลัว?” ซูจิงหันมามองเขา ดวงตาสั่นไหว “ไม่ใช่แค่กลัว… แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไงด้วยซ้ำ ฉันทำลายทุกอย่างเองกับมือ... ทั้งงานแต่ง... ทั้งชื่อเสียงของพ่อแม่... และ คุณแม่คาดหวังในตัวฉันมาก มากจนฉันไม่กล้าที่จะทำให้คุณแม่ผิดหวัง”"พี่ซีหยวนไม่ใช่คนที่ปล่อยอะไรไว้ค้างคา" ชาไช้พูดเสียงขรึม “เขาจะต้องพูดอะไรออกมาแน่ๆ และเรา... ต้องยอมรับมัน ไม่สิผมจะยอมรับผิดเพียงคนเดียวคุณไม่ต้องพูดอะไรทุกอย่างเป็นความผิดของผม”ซูจิง
ห้องนอนที่เงียบงันบนเตียงนั้นมีเพียงเสียงลมหายใจ...เฉิงซีหยวนที่ไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เด็กแฝดสองคนอยู่ที่ดรงเรียนสินะและในเมื่อเหรินเหมยไม่ได้ปฏิเสธความรักจากเขา เขาจัดการร่างอุ่นใต้ร่างเขาจนอยู่หมัดในผ้าห่มสีอ่อน เหรินเหมยนอนหอบหายใจ หยาดเหงื่อเกาะเรียวคอ เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจนเห็นผิวเนียนละเอียดแทบทั้งแผ่นหลัง“หยุด… พอแล้ว…ได้โปรด” เสียงเธอแผ่วเบาราวกับฝนที่กระทบหน้าต่าง “ฉันกำลังจะตายฉัน….ฉัน”เฉิงซีหยวนที่โน้มตัวคร่อมเธออยู่ยกยิ้มบาง จูบริมหน้าผากที่ชื้นเหงื่อของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะกระซิบชิดหู“แค่นอนเฉยๆ ... ปล่อยให้ผมได้แสดงความรักกับคุณก็พอ”มือของเขายังลูบไล้เบา ๆ ไปที่เอวเปลือยคอดกิ่ว สัมผัสของเขาราวกับรู้ว่าตรงไหนที่เธออ่อนไหวที่สุดกดเอวลงซ้ำๆ จังหวะของเขานุ่มนวล แต่แน่วแน่… และเต็มไปด้วยความเย้ายวนจนเหรินเหมยหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านขัดขืนทำไมเก่งจังทำไมเขาทำได้เก่งขนาดนี้เหรินเหมยเบนหน้าหนี ริมฝีปากพ่นลมหายใจหอบเหนื่อย เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง... แต่ไม่ทันได้เปล่งเสียง ริมฝีปากของเขาก็กดทับลงมาอีกแล้วจูบนั้นทั้งหนักแน่นและลึกซึ้ง... เขาบอกรักเธอด้วยการจูบ
สายวันนั้นเสียงฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่างดังเปาะแปะ เฉิงซีหยวนยืนอยู่กลางห้องรับแขก สีหน้าเรียบเย็นเยือก เขาสวมเสื้อเข้ารูปสีเข้มอย่างไม่เป็นทางการ แต่ดวงตานั้นทอประกายมุ่งมั่นยิ่งกว่าสายฟ้านอกหน้าต่างคุณเสวียเตอ นั่งอยู่บนโซฟาอย่างสงบข้างเขา สายตาเฉียบขาดไม่แพ้กันไม่กี่นาทีถัดมา คุณนายจางก็เดินเข้ามา สีหน้ากังวลแต่พยายามยิ้มรับ“อา...คุณเสวียเตอ คุณเฉิงขอโทษที่ให้รอ” เดินอ้อมมาเพื่อนั่งลงตรงหน้าคนททั้งสองที่โซฟาหลุยส์เฉิงซีหยวนลุกขึ้นนิดๆ แสดงความเคารพก่อนจะนั่งลงหลังจากที่คุณซีหยินนั่งลงก่อนแล้วคุณเสวียเตอเอ่ยอย่างนุ่มนวล“ผมกับคุณแม่ตั้งใจมาที่นี่ จึงไม่กังวลว่าจะต้องรอหากคุณจางจะออกมาคุยกับเราสักนิด” เสียงเฉิงซีหยวนดังขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค ไม่เหลือความลังเล “เอ่อ ขอโทษจริงๆ ที่ซูจิงมาพบพวกคุณไม่ได้ ทั้งๆ ที่คู่หมั้นมาถึงบ้าน” สีหน้ากังวลจนไม่อาจปกปิดได้อีก“เราสองคนที่นี่เพื่อเรื่องสำคัญ” คุณเสวียเตอช่วยเสริมทั้งอึดอัดและเหมือนถูกกดดัน คุณจางยิ้มแห้งๆ“เรื่องสำคัญอะไรหรือคะหรือว่าพวกคุณ เองก็มีเรื่องที่อยากจะพูดและตกลงกัน”คุณเสวียเตอมองสบตากับเฉิงซีหยวน“ฉันจำต้อ
ทันทีที่ประตูปิดลง เสียง คลิก ของกลอนประตูเหมือนตัดโลกภายนอกออกไป เหลือแค่สองคนในห้องเงียบสงบ เหริยเหมยกลับรู้สึกว่าหายใจไม่ออกอึดอัดและมือชื้นเหงื่อเฉิงซีหยวนหันกลับมามองเหรินเหมยที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเฉิงซีหยวนก้าวเข้ามาใกล้ช้าๆ ...จนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ จับมือเหรินเหมยมากุมไว้“กลัวหรือ”เสียงเขาเบานุ่มเหมือนสายลมยามค่ำเหรินเหมยก้มหน้า“ไม่ต้องกลัว...” เขาพูด น้ำเสียงแฝงความสั่นไหวแต่หนักแน่น “ผมจะปกป้องคุณเอง... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”เหรินเหมยไม่ได้ตอบอะไร เธอยังยืนนิ่งเหมือนกำลังประมวลผล แต่ภายในใจกลับร้อนวูบขึ้นมาทีละน้อย ความเจ็บ ความอัดอั้น และความรู้สึกที่เธอเคยพยายามกลั้นไว้เหมือนถูกคลายล็อกทั้งหมดเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตาเฉิงซีหยวน“คุณ จะโกรธไหมถ้าฉันจะบอกว่าก่อนที่จะอุ้มท้องเด็กแฝดทั้งสองฉัน..ฉันเคยโพสน์แอบปลื้มคุณในโซเซียล.” น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ“อย่างนั้นหรือ เคยชอบฉันแล้วอย่างไร”“เคยชอบแล้ว คราวนี้คู่ขาของคุณผู้หญิงของคุณหรืออะไรก็แล้วแต่ฉันหมายถึงผู้หญิงคนนั้นเขาเลยจะใช้ความผิดพลาดนี้ของฉันเพื่อที่จะทำให้คุณโกรธ ว่าฉันชอบคุณเลยตั้งใจรับงานนี้เพื่อ
ชาไช้…“หนีออกมาเดินเล่นคนเดียวแบบนี้ ถ้าหลงฉันจะหาเธอเจอได้ยังไง”เสียงเขาแหย่เบาๆ แต่แววตาที่มองเธอนั้นกลับไม่ได้ขำซูจิงหัวเราะในลำคอ หันกลับไปสบตาเขา “นายก็หาจนเจอนี่”“ฉันหาเธอเจอตลอดแหละ...ความจริงแล้วตั้งใจเที่ยวรอบโลกเสียก่อนค่อยหลับมาทำงานแต่ได้ยินว่าซูจิงกลับมาบ้านเฉิงเพื่อดูแลพี่สสะใภ้ฉันเลยรีบกลับบ้านเฉิงบ้างอย่างไรเล่า เฮ้อแต่เธอไม่เคยหันมามอง”ประโยคที่ออกจากปากเขาทำให้หัวใจเธอสะดุดไปชั่ววูบลมทะเลพัดแรงขึ้นจนเธอขยับตัวเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติ เขายื่นมือออกมา กางแขนโอบเธอไว้แน่นในอ้อมอก“รู้ไหม...ฉันเคยคิดว่าถ้าได้จูบเธอตรงนี้ บนหาดทรายที่มีแค่เรา ฉันคงไม่มีอะไรต้องเสียดายในชีวิตนี้อีกเลย”ซูจิงเงยหน้ามองเขาช้าๆ ดวงตาเธอสะท้อนแสงจันทร์และแววตาอ่อนโยนที่เขามีให้“งั้นจูบฉันสิ...ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”คำพูดของเธอเหมือนหยุดเวลาไว้ทั้งโลก ชาไช้ไม่รอให้เธอพูดซ้ำ มือเขาประคองใบหน้าเธอเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงริมฝีปากของเขาสัมผัสเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก เหมือนกำลังถามว่า ‘เธอแน่ใจนะ’ แต่เมื่อเธอตอบกลับด้วยจูบเดียวกัน จูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดแน่นที่ไม่เคยพูด มันก็ลึกซึ้งขึ้น ช
รถเคลื่อนผ่านถนนสายเลียบทะเล แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกค่อยๆ ซัดผ่านกระจกรถเป็นสีส้มแดง เปลวแดดอุ่นสาดกระทบใบหน้าของซูจิงที่นั่งพิงเบาะในท่าสบายผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เหม่อมองคลื่นทะเลซัดฝั่งไม่หยุดเหมือนกับสนุกเสียเต็มที่ มือเธอแตะกับขอบกระจกอย่างเหม่อลอย ขณะที่หัวใจเต้นสับสนในความเงียบที่ล้อมรอบชาไช้ขับรถเงียบๆ มาตลอดทาง เขาไม่ใช่คนพูดมากนัก โดยเฉพาะเวลาที่หัวใจยังสั่นไหวเหมือนตอนนี้ …สงสาร“คุณยังไม่หายเสียใจเหรอ?” เสียงเขาเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงคลื่น กับเพลงเบาๆ ที่คลออยู่ในรถซูจิงหันมาหาเขา “ไม่รู้สิ...อาจจะยังไม่หาย...ไม่รู้สิฉันสับสนความจริงกว่าว่าต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ที่จะตามมามากกว่า”เธอยิ้มบาง แต่เป็นยิ้มเศร้าพูดเบาๆ“มันเหมือนกับว่า...ฉันเสียเวลากับคนที่ไม่เคยมองเห็นฉัน ความจริงแล้วพี่ซีหยวนก้ไม่เคยมองเห็นฉันอยู่แล้วฉันก็แค่คำสัญญาและคำขอร้องของพี่ซูจ๋ายที่พี่ซีหยวนต้องยอมจำนน”ชาไช้ถอนหายใจ“ซูจิง” เขาเรียกชื่อซูจิงเบาๆ เป็นครั้งแรกที่เอ่ยโดยไม่มีคำล้อหรือเล่นสนุกซูจิงเองก็ใจเต้นตึกตักแต่ก็รอฟังว่าอีกคนจะพูดอะไร“เมื่อห้าปีก่อน...วันนั้นที่คุณทำขนมช็อกโกแลตลาวามาให้
จูดี้หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ดวงตาคู่นั้นเปล่งแสงวาบเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง “ก็ข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่น่ะค่ะ... ข่าวที่บอกว่าซีหยวนยกเลิกงานแต่งงานกับน้องเมียเก่าหรือคุณซูจิงเพราะคุณ เก่งจังนะคะทำพี่เขาตตายแล้วยังมีความสามรถทำให้เขายกเลิกงานแต่งงานได้เพราะคุณ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะทำสำเร็จจนได้”คำพูดของจูดี้ทำให้เหรินเหมยรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงจากมีดคม เหรินเหมยคุมสติ กลั้นความร้อนรุ่มในอกไว้ “คุณหมายความว่าอย่างไร?”จูดี้ยิ้มขำอย่างมีเลศนัย ท่าทางเหมือนรู้จักทุกอย่างดีเกินไป “เอาเถอะค่ะ… ฉันแค่จะบอกคุณว่า ความจริงมีแค่หนึ่งเดียว... คุณเคยบอกกับเฉิงซีหยวนไหมคะว่า...เหตุผลที่คุณยอมอุ้มบุญให้ซีหยวนมันไม่ใช่แค่เพราะความสงสาร กับเรื่องเงินที่ต้องเอาไปรักษาแม่ของคุณแต่ยังมีบางสิ่งที่คุณไม่เคยบอกใคร” เธอหยุดพูดชั่วขณะแล้วมองเหรินเหมยอย่างเจาะจง “มันคือความรู้สึกที่คุณมีต่อเขา... คุณแอบรักเขาอยู่ใช่ไหมคะ?”เหรินเหมยรู้สึกเหมือนตัวเองโดนทำร้ายด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “คุณพูดอะไรน่ะ?”จูดี้ยิ้มเย็นชา เธอลุกขึ้นและก้าวเข้าใกล้เหรินเหมยอีกนิด ก่อนจะพูดเสียงเบา แต่เจา