หลังผ่านพิธีแต่งงานไปครบเจ็ดวันก็ถึงยามที่ลูกสะใภ้ของทั้งสองตระกูลจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของตนเอง ฉีอันหนิงนั้นกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก่อนซ่งเจียวซินที่ยามนี้ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นพี่สะใภ้ของกันและกัน จวนสกุลฉีนั้นครึกครื้นกว่าจวนสกุลซ่งเพราะยังมีน้องชายอีกสองคนอาศัยอยู่ในจวน และปีหน้าก็จะถึงคราวของฉีอันลิ่งที่จะแต่งภรรยารองเข้าจวน ซึ่งคู่หมั้นของเขาก็คือคุณหนูสกุลอิ่นที่มีจวนอยู่ติดกัน
“ลูกเขยขอคารวะท่านพ่อตาท่านแม่ยายขอรับ/หนิงเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ” คู่สามีภรรยาจากจวนสกุลซ่งกล่าวออกมาขณะที่คำนับผู้ใหญ่ของจวนสกุลฉีทั้งสอง“ตามสบายเถิดลูก หนิงเอ๋อร์มิได้สร้างความลำบากให้เจ้าใช่หรือไม่เฉินเอ๋อร์” ใต้เท้าฉียิ้มออกมาเมื่อมองเห็นสีหน้าของบุตรสาว นางดูมีความสุขกับการได้ออกเรือนไปกับคุณชายซ่งผู้นี้“น้องหญิงมิได้สร้างความลำบากใจให้ผู้น้อยเลยขอรับ” ซ่งมู่เฉินตอบออกมาด้วยถ้อยคำสุภาพ“ได้ยินเช่นนี้พ่อกับแม่ก็สบายใจ”หลังจากทำความเคารพบิดามารดา ซ่งมู่เฉินและฉีอันหนิงก็หันไปคำนับพี่ชายทั้งสาม ข้างๆ ของฉีอันหลงมีฮูหยเกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ณ เมืองตงหลาง แห่งแคว้นโจวหนานเหมันตฤดูเวียนมา เหล่าหมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอยู่บนท้องนภาในยามอิ๋น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน ผ้าม่านที่ทอด้วยไหมปลิวไสวไปตามสายลมหนาว ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมกายอยู่ถูกเท้าเล็กถีบออกจนสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ต้องดึงขึ้นมาปกคลุมร่างเล็กของคุณหนูสี่เอาไว้เพื่อมิให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น“ข้าร้อน” เสียงเล็กเปล่งออกมาจากคนที่นอนปิดเปลือกตาอยู่“แต่คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูต้องห่มผ้าเอาไว้นะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูป่วย… บ่าวโดนตีหลังลายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”ซุนซุนบอกคุณหนูสี่ด้วยเหตุและผล เด็กจิตใจดีอย่างฉีอันหนิง หรือคุณหนูสี่ บุตรีคนเล็กของใต้เท้า ฉีอันจวิ้น กับฉีฮูหยินย่อมได้ฟังแล้วต้องเห็นอกเห็นใจใต้เท้าฉีเป็นเจ้าเมืองตงหลางเขาได้แต่งงานกับฉีฮูหยินมาเกือบสิบห้าปีแล้ว ทั้งสองมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง ฉีอันลู่และมีฉีอันหนิงที่เป็นบุตรีคนเล็กของตระกูลฉี บุตรีที่บิดาและมารดาหวงราวกับเป็นไข่ในหิน“ข้าห่มแล้ว ข้าไม่อยากให้ซุนซุนถูกตี”เสียงเล็กเอ่ยออกมา ถึงจะวัยเพียงเจ็ดปี แต่ทว่าเด็กหญิงกลับเฉลียวฉลาด นางขี่ม้าได้ อ่านหนังสือ
ในยามเช้าตรู่ของสองวันถัดมาหลังจากพิธีแต่งงานของฉีอันลิ่ง ฉีอันหนิงที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงกับผู้เป็นสามี ก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกจากห้องไปอาเจียนด้านนอก นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเองนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองตงฉวน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นนางเองก็มิอาจจะจดจำได้ มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไปก่อนที่จะโก่งคออาเจียนจนเสียงดังจนสองสาวรับใช้คนสนิทพากันตกอกตกใจ“แอว๊ะ!!! อุ….แหวะ….” สองสาวรับใช้รีบเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงทันทีเสียงอาเจียนของฉีอันหนิงดังขึ้นปลุกให้ผู้เป็นสามีต้องรีบลุกจากที่นอนแล้วรีบสาวเท้าตามร่างเล็กของนางออกไปด้านนอก“ยี่หรุน!!! เจ้าให้คนรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการของนายหญิงเร็วเข้า”ซ่งมู่เฉินออกคำสั่งออกมาเมื่อเห็นอาการของภรรยาผิดแปลกไปจากทุกวัน ซุนซุนลูบแผ่นหลังและส่งน้ำให้นายหญิงของตนเพื่อใช้กลั้วปาก ฉีอันหนิงรับมาแต่ยังไม่ทันได้กลั้วปากด้วยน้ำสะอาดนางก็อาเจียนออกไปอีกหน“เจ้าค่ะท่านเขยสี่”ยี่หรุนรีบวิ่งออกไปบอกให้บ่าวที่อยู่ด้านหน้าจวนรีบไปตามท่านหมอมาดูอาการนายหญิงเล็ก ก่อนท
ความเก่งกาจของฉีอันหนิง และความดีของซ่งมู่เฉินถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองตงฉวน และเล่าลือมาจนถึงเมืองตงหลางเช่นกัน ชาวเมืองตงหลางนั้นมิได้ประหลาดใจเลยที่ฉีอันหนิงนั้นจะสามารถช่วยชีวิตสามีของนางเอาไว้ได้ด้วยฝีมือการยิงธนูของนาง เพราะเรื่องที่ถูกเล่าลือที่นางเก่งเกินสตรีนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าชาวเมืองบ่อยครั้งนางมักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกขอทานหรือไม่ก็พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกพวกนักเลงรีดไถ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่นางยังมิได้ออกเรือน จนบุรุษทั่วทั้งเมืองตงหลางต่างพากันอิจฉาซ่งมู่เฉิน ที่สามารถคว้าหัวใจของสตรีที่เพียบพร้อมเช่นนางไปครอบครองได้“ข้าเคยเห็นกับตาว่าฮูหยินเล็กสกุลซ่งนะสู้กับพวกนักเลงด้วยพัดเล่มเดียว ครานั้นนางยังเยาว์วัยอยู่เลย สักห้าหกปีได้แล้วล่ะ ข้ายังคิดอยู่ว่าชายใดจะคว้าใจนางไปครอง สุดท้ายคุณชายใหญ่สกุลซ่งก็ได้ใจของนางไปครอง” ชาวเมืองตงหลางผู้หนึ่งเอ่ยออกมาขณะที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในยามนี้“คุณชายซ่งช่างโชคดีเสียจริง แต่เขาก็เป็นถึงคนของฮ่องเต้มิใช่หรือ”ไม่มีผู้ใ
ในยามเหม่าม้าสองตัวที่มีผู้ที่กำลังขี่อยู่ข้างบนหลังของพวกมันคือบุรุษรูปร่างองอาจและสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ด้านหลังมีม้าของผู้ติดตามอีกสามตัว ส่วนสองสาวรับใช้มิได้ติดตามมาด้วยกัน ดวงหน้างามปะทะกับสายลมที่พัดโชยมา เสียงวิหคขับขานราวกับเป็นท่วงทำนอง เสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของผู้ที่กำลังบังคับม้าดังไปทั่วทั้งสนามหญ้า แสงจากพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า ฉีอันหนิงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการได้ทำในสิ่งที่นางชื่นชอบโดยที่ผู้เป็นสามีสนับสนุน“ดีที่อากาศมิได้หนาวเย็นเท่าใดนัก มิเช่นนั้นพี่คงมิให้เจ้านั่งควบม้าตามลำพังเป็นแน่”ซ่งมู่เฉินตะโกนบอกภรรยาที่ควบม้าอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉีอันหนิงส่งยิ้มให้สามีก่อนที่จะตะโกนตอบเขากลับไป“ท่านพี่ก็รู้ดีว่าน้องชื่นชอบอากาศที่หนาวเย็น มิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ น้องน่ะมิป่วยง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”สองสามีภรรยาและสามผู้ติดตามควบขี่ม้าชื่นชมธรรมชาติในยามเช้าตรู่อยู่จนเวลาล่วงเลยไปยามเฉิน ซ่งมู่เฉินจึงเอ่ยชวนภรรยากลับเรือนพักเพื่อที่จะได้เตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ในป่าที่อยู่ทางเขาด้านหลังของสำนักวารีพยัคฆ์ เมื่อไปถึงเรือ
สองฝั่งข้างทางที่เป็นธรรมชาติเรียกสายตาของฉีอันหนิงให้มองออกไปผ่านหน้าต่างของรถม้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยเห็นภาพเช่นนี้ยามเมื่อคราที่เดินทางไปยังเมืองตงยางกับตงชวน หนทางจากเมืองตงหลางมายังเมืองตงฉวนนั้นค่อนข้างไกล ทำให้นางรู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งไปบนเส้นทางที่ขรุขระอยู่ไม่น้อย“ท่านพี่นี่เราใกล้จะถึงที่หมายหรือยังเจ้าคะ น้องรู้สึกเมื่อยล้ายิ่งนัก อีกอย่างน้องว่าม้าของเราต้องการพักนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเปิดม่านบอกผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้านนอก“อีกไม่ไกลแล้วล่ะน้องหญิง แต่ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะพักก่อน ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม""ถ้าเช่นนั้นเราแวะพักกันสักครึ่งชั่วยามเถิดเจ้าค่ะ หากยังไปอีกไม่ไกลมันก็คงยังมิมืดค่ำเท่าใดนัก”ซ่งมู่เฉินเห็นด้วยกับภรรยา ครานี้เขามิได้มาแต่กับเหล่าบุรุษแต่ทว่าเขาพาสตรีมาด้วย ชายหนุ่มจึงหันไปสั่งผู้ติดตามให้หยุดพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมสุดท้ายของเมืองนี้ก่อนเข้าสู่เมืองตงฉวนที่โรงเตี๊ยมยามนี้มีลูกค้าไม่มากเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมา กลิ่น
“ข้าดีใจด้วยนะเจียวซิน นี่หลานคนแรกของข้าอยู่ในท้องน้อยๆ ของเจ้าเช่นนั้นหรือนี่” ฉีอันหนิงยกมือไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงไม่ใหญ่โตเพราะเพิ่งจะมีครรภ์ของซ่งเจียวซินพลางเอ่ยแสดงความยินดีกับสหายสนิทที่มีสถานะเป็นทั้งพี่สะใภ้ และน้องสามี“ขอบน้ำใจเจ้านะอันหนิง ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าเขาจะมาเกิดไวเช่นนี้ เพียงปีเดียวเขาก็มาเลย พี่ชายของเจ้าน่ะเขาทะนุถนอมข้ามาก เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลไปหรอกหนา”“ได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยสบายใจ อืม…ท่านพี่รองของข้าจะแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้านี้แล้วใช่หรือไม่”“อื้อ… เห็นท่านพ่อท่านแม่บอกว่าเช่นนั้นหนา ยามนี้ก็เริ่มเตรียมเรือนหอเอาไว้แล้ว”“ถ้าเช่นนั้นเจ้าทั้งสองนั่งคุยกันก่อนเถิด พี่ขอตัวไปดูพี่สามของน้องหญิงฝึกซ้อมที่ลานฝึกซ้อมด้านหลังจวนก่อน” ซ่งมู่เฉินลุกขึ้นและเอ่ยออกมา“เจ้าค่ะท่านพี่ แต่เราต้องกลับเรือนก่อนยามเว่ยนะเจ้าคะ น้องอยากจะแวะตลาดซื้อผ้าไหมเอาไปปักยามว่างเสียหน่อย” ฉีอันหนิงรั้งแขนของสามีพลางเอ่ยออกมา“ได้สิ พี่จะมิห่างเจ้า
หลังจากออกเรือนไปฉีอันหนิงกับซ่งมู่เฉินก็ครองคู่และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว แต่ทว่าฉีอันหนิงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เสียที ในขณะที่สะใภ้คนโตของสกุลฉีนั้นมีข่าวดีแล้ว ใต้เท้าซ่งกับซ่งฮูหยินนั้นมิได้รบเร้าให้บุตรชายกับสะใภ้เร่งมีทายาทในยามนี้เพราะเข้าใจดีว่าสะใภ้สุดโปรดนั้นยังเด็กนัก รออีกปีสองปีค่อยมีก็ยังไม่สาย“ท่านพี่ น้องต้องขออภัยท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ” จู่ๆ ภรรยาที่อยู่ในอ้อมกอดก็ปริปากออกมา“หืม…ขออภัยเรื่องอันใดหรือน้องหญิง”“ก็เรื่องที่เรายังไม่มีลูกอย่างไรล่ะเจ้าคะ” เสียงหวานตอบอ้อมแอ้ม“ไม่เป็นอันใดหรอกหนา พี่มิได้รีบ”‘มิได้รีบ….แต่ก็มิเคยว่างเว้น’ ฉีอันหนิงนึกค่อนขอดสามีอยู่ภายในใจ“แล้วงานของท่านพี่พักนี้มิได้พบกับความยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล้าปริปากเอ่ยถามถึงงานของสามีเป็นเพราะเขาบอกมาตั้งแต่ต้นว่าเขาอนุญาตให้นางถามไถ่เขาได้“ไม่เลยล่ะ พักนี้พี่ถึงได้อยู่กับน้องหญิงบ่อยๆ แบบมิต้องกังวลใดๆ เช่นไรล่ะ&rdq
เกือบสองชั่วยามที่ซ่งมู่เฉินพาภรรยามาเยี่ยมบ้านเดิม สองสามีภรรยาคำนับลาบิดามารดาและพี่ชายก่อนที่จะกลับจวนสกุลซ่งกัน แต่ระหว่างทางนั้นฉีอันหนิงอยากแวะตลาดเพื่อหาซื้อผ้าแพรเอาไปเย็บปลอกหมอนและผ้าม่านในเรือนที่ตนและสามีพักอยู่ ซ่งมู่เฉินเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เขาตามใจภรรยามากเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี“ท่านพี่ สีของปลอกหมอนกับผ้าม่านภายในห้องของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องอยากให้ห้องนอนของเราสดใสขึ้นน่ะเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงถามความคิดเห็นของสามีที่เดินเคียงข้างกันเข้าไปภายในร้านขายผ้าไหมผ้าแพร“ตามใจเจ้าเถิดน้องหญิง หากเจ้าอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดในเรือนของเราก็ขอให้บอก พี่จะสั่งให้คนมาทำให้ใหม่”สุ้มเสียงที่อ่อนโยนกระซิบบอกภรรยาสาว ฉีอันหนิงจึงยิ้มให้ผู้เป็นสามีทั้งสองจึงเดินไปเลือกดูผ้าแพรที่ต้องการ สาวรับใช้สองนางกับจูจงฉีก็ติดตามคอยรับใช้นายท่านกับนายหญิงไม่ห่างเมื่อเดินเลือกสิ่งของที่ต้องการจนพอใจแล้ว ซ่งมู่เฉินจึงพาภรรยาเดินทางกลับจวนสกุลซ่ง และกว่าจะเดินทางไปถึงก็เป็นมื้อเย็นพอดี ใต้เท้าซ่งและซ่งฮูหยินต่างยิ้มแย้มออกมาอย่า
หลังผ่านพิธีแต่งงานไปครบเจ็ดวันก็ถึงยามที่ลูกสะใภ้ของทั้งสองตระกูลจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของตนเอง ฉีอันหนิงนั้นกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก่อนซ่งเจียวซินที่ยามนี้ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นพี่สะใภ้ของกันและกัน จวนสกุลฉีนั้นครึกครื้นกว่าจวนสกุลซ่งเพราะยังมีน้องชายอีกสองคนอาศัยอยู่ในจวน และปีหน้าก็จะถึงคราวของฉีอันลิ่งที่จะแต่งภรรยารองเข้าจวน ซึ่งคู่หมั้นของเขาก็คือคุณหนูสกุลอิ่นที่มีจวนอยู่ติดกัน“ลูกเขยขอคารวะท่านพ่อตาท่านแม่ยายขอรับ/หนิงเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ” คู่สามีภรรยาจากจวนสกุลซ่งกล่าวออกมาขณะที่คำนับผู้ใหญ่ของจวนสกุลฉีทั้งสอง“ตามสบายเถิดลูก หนิงเอ๋อร์มิได้สร้างความลำบากให้เจ้าใช่หรือไม่เฉินเอ๋อร์” ใต้เท้าฉียิ้มออกมาเมื่อมองเห็นสีหน้าของบุตรสาว นางดูมีความสุขกับการได้ออกเรือนไปกับคุณชายซ่งผู้นี้“น้องหญิงมิได้สร้างความลำบากใจให้ผู้น้อยเลยขอรับ” ซ่งมู่เฉินตอบออกมาด้วยถ้อยคำสุภาพ“ได้ยินเช่นนี้พ่อกับแม่ก็สบายใจ”หลังจากทำความเคารพบิดามารดา ซ่งมู่เฉินและฉีอันหนิงก็หันไปคำนับพี่ชายทั้งสาม ข้างๆ ของฉีอันหลงมีฮูหย
“เจ้าสาวออกเรือนแล้ว” เสียงแม่สื่อตะโกนขึ้นเพื่อเป็นการประกาศเสียงดนตรีดังขึ้นในท่วงทำนองที่สนุกสนาน เสียงโห่ร้องรับเจ้าสาวดังเกรียวกราว ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินเดินออกมามองเกี้ยวและขบวนเจ้าสาวออกจากจวนไปน้ำตาคลอด้วยความปีติยินดี และรอคอยการมาของขบวนของบุตรชายที่ออกไปรับเจ้าสาวมาเช่นกันสองข้างทางมีชาวเมืองตงหลางออกมาแสดงความยินดีให้แก่บ่าวสาวทั้งสองคู่กันอย่างเนืองแน่น ฉีอันหนิงที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางซับน้ำตาที่ไหลลงมา หัวใจรู้สึกหวิวยามที่นึกว่านางมิใช่คุณหนูสี่อีกแล้ว หลังจากผ่านการแต่งงานในวันนี้ไปนางจะกลายเป็นฮูหยินของซ่งมู่เฉิน เป็นสตรีที่มีสามีอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม“คุณหนูไม่ร้องนะเจ้าคะ เดี๋ยวหน้าจะเลอะพอเจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าออกแล้วจะไม่งามนะเจ้าคะ” ซุนซุนร้องบอกเข้ามาภายในเกี้ยว นอกจากซุนซุนแล้วท่านแม่ของนางให้ยี่หรุนติดตามมารับใช้นางที่จวนสกุลซ่งอีกคน“อือ…ข้าไม่ร้อง ข้าหิวมากกว่าซุนซุน” คำตอบของเจ้าสาวเรียกรอยยิ้มจากสองสาวรับใช้ได้เป็นอย่างดี“อดเอาก่อนเถิดนะเจ้าคะ ใกล้จะถึงจวนส