“อ่านอะไรน่ะ มิน”ธันวาโฉบมาหา แล้วก็สงสัยครามครันกับท่าทีตั้งอกตั้งใจเป็นอันมากในการจะอ่านข่าวหน้าหนึ่ง“ผู้หญิงคนนั้น จำได้หรือเปล่า” หล่อนวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะจิ้มให้ดูรูป “คนที่เราเจอที่โรงพยาบาล ที่ว่าตกเลือด ตายซะแล้วนะ โดดจากตึกของโรงพยาบาลชั้นแปดเมื่อวานนี้เอง ใจถึงซะด้วย”ธันวาชะโงกไปดูรูปนั้น“ตาแบบนี้ตายโหงทุกราย”“ดูออกด้วยเหรอ”“ตาฉ่ำเกินไปไงล่ะ...น่าเสียดายผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่ง ผู้หญิงพวกนี้ใจทำด้วยอะไรนะ ถึงได้กล้าหาญชาญชัยในทางแบบนี้”“เพราะเธอถูกทำร้ายจนไม่มีทางเหลือให้เลือกอีกแล้วน่ะซิ ไอ้หมอนั่นแหละตัวร้ายนัก...”“ใครอีก”“ก็มือขวาเจ้าแม่แหม่มนั่นไง...” น่าแปลกที่ชื่อทุกชื่อตกมาถึงเวลานี้มินตาจำได้แม่นยำไม่มีตกหล่นสักนิด“นายศิลา เขาทำเหมือนทองไม่รู้ร้อนนะ”“รู้ได้ยังไง ข่าวบอกหรือเปล่า”ไม่มีชื่อเขาในข่าว ทั้งเขาทั้งเจ้าแม่แหม่มนั่นแหละ เหมือนอำนาจเงินและอิทธิพลมืดได้ปกป้องเอาไว้ให้พ้นผิด พวกคนชั่วนี่มีสิ่งคุ้มครองเสมอกว่าจะได้ชดใช้บาปชั่วๆ นั้นก็ทำให้คนดีๆ หลายรายต้องจบชีวิตลง ยิ่งคิดมินตาก็ยิ่งแค้นใจขนาดหนักจนไม่อาจจะให้อภัยกับศิลาได้เลยและหล่อนก็คงจะไม่อยากเก็บ
ปากของหล่อนเสียอีกแล้ว มินตาพอจะรู้ตัวอยู่เหมือนกันแต่ทำอย่างไรได้พูดไปแล้วนี่ คำพูดไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้พอตกจากปากจะได้เที่ยวลนลานมาเก็บใส่ปากดังเดิมเห็นแววตาลุกวาบของเขาก็รู้ว่านี่คือจุดอ่อนที่เขาเปราะบางอยู่หล่อนนั่งลงสุดปลายข้างหนึ่งของโซฟา พูดกับเขาอย่างเป็นการงาน“ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ผิด ไม่จำเป็นต้องมาตามเรื่องกับฉัน มีเวลาว่างมากนักหรือ“ก็ว่าง...” เขาตอบเนิบๆ น้ำเสียงไม่ดังมากนักแต่ได้ยินกันชัดเจน สีหน้าของเขาก็ยังดูเป็นปกติ “มากพอจะมาดูว่าคุณทำอะไรที่ไหน...ไม่เลวเหมือนกันนะสำหรับบริษัทเล็กๆ”เขากวาดตามองไปรอบๆ ดูการตกแต่งภายในสวยงาม...ด้วยสายตาเก็บรับความสวยงามของศิลปะใส่ตัวได้แบบซึมซับหมดจด“ผมจะมาดูด้วยว่าจะมีลู่ทางดึงคุณไปทำงานกับผมบ้างไหม”เขาพูดต่อในสีหน้าเป็นปกตินั่นแหละแต่คนฟังรู้สึกเลือดฉีดแรงไปทั้งตัว แล้วโทสะก็กรุ่นฮือกันขึ้นมาเมื่อรู้เป็นอย่างอื่น ไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าหล่อนกำลังถูกดูหมิ่นอย่างร้ายกาจที่สุด“เป็นงานจ๊อบพิเศษ เงินดีนะ...ถึงคุณจะดูมอมแมมไปสักนิด ไม่เป็นผู้หญิงสวยสดใส แต่ผมมักจะมีสายตาพิเศษเสมอ”เขาหันกลับมามองหล่อนตรงๆ แววตาของเขาทำให้มินตาร้อ
“อยากพบฉันรึ”น้ำเสียงของพิมสุดาฟังรื่นหู อย่างน้อยๆ ก็ยังเดา ‘กำพืด’ เดิมเกือบจะไม่ได้ทีเดียว ทำให้มินตารู้สึกขัดใจอย่างไรอยู่ หากหล่อนได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงท่าทางเจนโลกีย์และรอบจัดสักคน บางทีอาจจะพูดอะไรได้คล่องปากกว่านี้ ไม่ต้องมายืนทำท่าอ้ำอึ้งอยู่เลย“ค่ะ” อีกนานกว่าจะหลุดเสียงตอบรับออกมาได้“เดี๋ยวนี้หรือเปล่า...พระกำลังจะสวดจบแรก รอให้พระสวดจบก่อนได้ไหมคะ”หางเสียงไม่ลง ‘จ๊ะ’ แต่ลง ‘คะ’ ฟังนุ่มนวลกว่า และมินตาก็อยากจะเชื่อว่าอย่างไรก็ตามเจ้าแม่แหม่มคนนี้ก็ผ่านคอร์สการอบรมกิริยามารยาทมาอย่างยอดเยี่ยม...หรือไม่ก็อาจจะมีภูมิหลังมาจากครอบครัวที่ดีๆ สักครอบครัวหนึ่งมิน่าเล่า...นายศิลามือขวาของเธอถึงได้ทำท่ากระเหี้ยนกระหือเมื่อยามถามหล่อนว่าเป็นหญิงผู้ดีหรือเปล่า...เขาอาจจะฝังใจกับหญิงผู้ดี ถึงถามหล่อนแล้วยังมีวาจาแปลกๆ หยาบคายได้ถึงเพียงนั้นหล่อนยังจำได้ติดหูทีเดียว เขาว่าจะลองจากหญิงผู้ดีคนพี่ก่อนค่อยมาเป็นคนน้องนั่นยังทำให้หล่อนสยดสยองอยู่ไม่หายอีกด้วย“แล้วเราค่อยคุยกัน”“ก็ได้ค่ะ”เพราะกิริยาสุภาพ วิธีการพูดดี และท่าทีที่ดีไปหมดทำให้มินตาโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย“นั่งด้วยก
ธันวาเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อนกับเสียงหัวเราะรื่นรมย์มากเกินการของพิมสุดานั่นเอง...เขารู้ว่าหมดเวลาที่มินตาจะมานั่งอยู่แถวหน้าของเก้าอี้หน้าศพนี้แล้ว ควรจะได้เวลากลับไปบ้าน“มิน เรากลับกันดีกว่า ไม่ต้องอยู่จนสวดจบหรอก”“อยู่ทานข้าวต้มด้วยกันก่อนซิคะ ฉันเหมาจากร้านดังทีเดียว เป็นของชอบของอ้อย”“ไม่ล่ะค่ะ บ้านมินอยู่ไกล...”“บางกะปิ ไม่ไกลนะ เมื่อก่อนอาจจะเป็นท้องทุ่ง แต่ตกมาถึงตอนนี้จะเป็นย่านกลางเมืองไปแล้วนะ”มินตาซึ่งลุกขึ้นแล้วเข่าอ่อน เมื่อได้ยินแห่งที่ตั้งบ้านของหล่อน มันหมายความว่าหล่อนได้เป็นที่รู้จักอย่างดี ก็เพราะมิ่งขวัญนั่นแหละ เพราะมิ่งขวัญชักนำศึกเข้าหาตัวเองและศึกนี้ยากที่จะฟาดฟันให้เสร็จสิ้นไป แล้วครองความเป็นผู้ชนะเอาไว้อีกด้วย สีหน้าของมินตาไม่สู้จะดีเอาเสียเลย“แล้วไว้พบกันอีกนะคะ คุณมินตา” พิมสุดาบอกไม่แปลกใจที่มินตาไม่ยอมไหว้เธอ แค่ที่มินตายกมือไหว้ลาพระ แล้วไหว้ไปยังหีบศพของยุพาวรรณก็บอกได้ว่าอย่างน้อยมินตาก็ยังมีมารยาทสังคมอยู่ อาจจะเป็นสิ่งฝืนใจมินตาหากจะต้องมาไหว้เธอเข้าอีกคนหนึ่ง“เร็วๆ นี้”“ไม่...เราไม่ควรจะต้องพบกันอีกแล้ว”/////////////////////////////////////
พิมุสดาเปิดประตูเข้าไปก็ได้เห็นศิลากำลังก้มหน้าคร่ำเคร่งกับสมุดบัญชีอย่างมาก มันเป็นการทุ่มเทเหมือนจะชดเชยแน่นอน เพราะคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดีทำให้เธอพอจะแน่ใจว่าจิตใจของชายหนุ่มก็ระส่ำระสายกับการตายของยุพาวรรณ แม้สิ่งที่เขาแสดงออกจะทำให้ใครต่อใครเข้าใจว่าเขาช่างใจดำเสียนี่กระไร ที่ไม่ยอมไปปรากฏตัวที่วัดเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้ตาย“ศิลา...ดึกแล้วนะนี่...สะสางงานอะไรกันนักหนา”“ผมไม่รู้จะทำอะไร เลยเก็บเอามาเคลียร์ดีกว่าปล่อยทิ้งเอาไว้”คำตอบของเขาแปลว่าที่เธอคิดอยู่นั้นไม่ได้ผิดพลาดสักนิด“น้าแวะมาดูเพราะนึกอยู่แล้วว่าต้องอยู่ที่นี่”เขาเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ยอมถามทั้งที่แววอยากรู้อยากเห็นว่างานศพในคืนแรกนี้เป็นอย่างไรบ้าง“มีคนไม่มากนัก ก็พวกเรากันเองทั้งนั้น ญาติไม่มี...ลูกค้าไม่มา” เธอนั่งลงจุดบุหรี่สูบ เธอเองก็สะเทือนใจอยู่เหมือนกันในงานอาชีพนี้ “จะเอาอะไรกันนักหนาจริงไหม ใครจะกล้าไปงานเพื่อประจานตัวเองว่าเป็นลูกค้าของเรา เขาอุดหนุนเราได้ก็นับว่าต่อชีวิตพวกเราให้มีการงานมีเงิน แต่จะไปหวังให้เขาไปเป็นคนนั่งฟังสวดศพพวกเรา น้าหวังเกินไป”“น้าแหม่มคิดยังไงล่ะฮะที่แม้แต่ผมก็ยังไม่ไป”“น้ารู้ว่
“ใส่บาตรหรือคะ”“จ้ะ เมื่อคืนป้าฝันไม่ค่อยจะดีเลย ใจคอชอบกลนัก นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ”“แค่ฝันหรอกค่ะ คุณป้า” มินตาปลอบโยน เห็นหญิงคนหนึ่งมองดูหล่อนเขม็ง หญิงที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อคุณสีดามองไปบ้างก็บอกว่า“เด็กใหม่ เพิ่งมาจากบ้านคุณยาย ยังไม่ค่อยจะเก่าเท่าไหร่”มินตารับรู้ไปอย่างนั้นเอง บ้านนี้ระเบียบมากพอที่จะทำให้เด็กผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันมาบ่อยๆ เพราะคุณสีดาเป็นคนจู้จี้จุกจิกและเข้มงวดจนเกือบจะเป็นตึงไปเสียทุกเรื่องจะมีบ้านที่เธอผ่อนปรนให้คือลูกชาย...สาวิตต์อยู่เหนือกฎเกณฑ์ตึงเป๊ะทั้งหลายทั้งมวลเสมอมา“ชื่อแม่แหวน” เธอกระซิบเบาลง “ป้าเห็นหน้าตามันแล้วก็ยังหวาดเสียว มันดูดีเกินไป ลูกกะตามันก็เหมือนกัน ส่อแววฉ่ำๆ เหมือนระริกระรี้กับผู้ชายหมดทั้งโลกก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไว้ได้นานไหม กลัวจะให้ท่าพ่อเอ”เป็นความกลัวของคนเป็นแม่ทุกคนนั่นแหละ...“คุณเอคงจะไม่สนใจมังคะ”“ถ้านังนี่มันคอยให้ท่าอยู่ล่ะ ป้ากลัวจะเป็นเรื่องของการพลาดท่ามากกว่า ยายมินเอ๊ย ถ้าเป็นอย่างนั้นละก้อป้าคงจะช้ำใจตายแน่เลย”แต่มินตาก็ยังเชื่อว่าสาวิตต์จะไม่ทำเช่นนั้น และเมื่อผู้ชายไม่มีทีท่าเปิดกว้างก่อน ผู้หญิงน
“ไปเล่นนี่ยังเจอกับสาวิตต์ไหม”“เจอค่ะ...เขายังเฮงเหมือนเดิม”“ผมมีเรื่องหนึ่งอยากขอร้อง” ด้วยเสียงอันอ่อนโยนแล้วแววตาแบบนั้นใครหรือจะกล้าขัดใจเขา ยิ่งเป็นลักษมีด้วยแล้วหล่อนยอมรับได้ทุกอย่าง แม้มันจะไม่ต้องประสงค์ของตัวหล่อนเองเลยก็ตามที“สนิทกับเขาเอาไว้หน่อยนะ คุณหมี แล้วผมก็อยากทำความรู้จักกับเขาสักหนหนึ่ง”แม้จะอยากรู้ว่าทำไม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หล่อนควรจะถาม สำหรับศิลาไม่ควรจะมีคำถามไปเซ้าซี้กับเขาเป็นอันขาด“จะให้รีบไหมคะ”“เอาให้คุณหมีสะดวกก็แล้วกัน ผมไม่เร่งร้อนอะไร...”เขารอมาได้เนิ่นนาน นับประสาอันใดกันเล่ากับการรอคอยอีกเล็กน้อย ในเมื่อเขาจัดฉากการแสดงเอาไว้หมดแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป จะได้ซึมซับเอาความสาแก่ใจได้สูงสุด“แล้วหมีจะโทร. ไปบอก...วันนี้หมีว่าง คิวละครไม่มีเลย ว่างไปตั้งสามวัน...หมีอยากจะไปพักผ่อน ไปชายทะเลคุณศิว่างไหมคะ” เหมือนสิ้นไร้ศักดิ์ศรีที่ต้องเอ่ยชวนผู้ชายทั้งที่โดยตัวหล่อนเองแล้ว มีแต่ผู้ชายรอให้หล่อนเปิดโอกาสสักนิด แต่กับเขาเหมือนจะต้องอ้อนวอนกันทีเดียว แต่ลักษมีก็กล้ำกลืนความอับอายเอาไว้เขาอยากจะปฏิเสธอยู่เหมือนกัน แต่แววตาอ้อนวอนแบบนั้น ทำให้เขาอดจะใจอ่อน
ที่นี่แวดล้อมไปด้วยคนต่างประเทศเสียเป็นส่วนมากนั่นทำให้วันเวลาของศิลากับลักษมีปลอดภัยพอจากพวกสอดรู้สอดเห็น หากตราบใดที่ตัวลักษมียังเป็นข่าวได้และศิลาก็ยังเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอม ที่ใครจับตามองกันอยู่ว่าเขาจะลงเอยกับสาวคนใดลักษมีจึงแช่มชื่นได้ หล่อนมีสิ่งทดแทนการพนันการได้อยู่กับศิลาเป็นสิ่งที่หล่อนคิดว่าดีที่สุด หากเป็นไปได้ หล่อนอยากได้เขาเป็นการถาวร หญิงสาวฝันถึงวันแต่งงานชุดเจ้าสาว และชีวิตครอบครัวอันผาสุกแต่นั่นเป็นแค่ความฝัน และจะเป็นไปชั่วนิรันดรหล่อนไม่วันได้ครอบครองเขาในแบบนั้น แค่ได้เขาชั่วคราว...สัมผัสความเป็นเขาเติมใส่ในใจในความฝันของตัวเองก็นับว่าเป็นบุญแล้ว“ลงไปทานอาหารค่ำด้วยกันนะคะ...” หล่อนกระซิบบอกเขาที่ยังนอนอยู่เหมือนคนเกียจคร้าน ดูเหมือนเวลาที่มาจะหมดไปบนเตียงนอนมากกว่า ที่อื่นอย่างเต็มอกเต็มใจจากหล่อนที่จะบริการเขา...“ก็ดี”เขาคงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ดีกว่าจะโทร. สั่งจากร้านอาหารให้ขึ้นมาบริการ“หมีจะจัดเสื้อผ้าให้...คุณไปอาบน้ำก่อน”หล่อนเอาอกเอาใจ...ก็ไม่แตกต่างจากหญิงคนอื่นที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา นั่นแหละก็น่าแปลกที่บทบาทเยี่ยงนี้ไม่ได้จับติดจับใจขอ
“ไม่ใช่ห้องนี้”มินตาตัวแข็ง เมื่อเขาเปิดประตูห้องที่หล่อนเป็นคนตกแต่งเพื่อเป็นห้องหอของเขากับมิ่งขวัญหล่อนพยายามจะถอยกลับ แต่ศิลาผลักหล่อนออกเดินไปข้างหน้า“ฉันยอมมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ห้องนี้” หล่อนยังเสียงแข็งและมีท่าทีปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“คุณแต่งมันเอง...ก็ใช้เสียเองซิ” เขาบอกนุ่มๆ “ที่ทางของคุณเอง“ฉันทำเพื่อพี่มิ่ง” หล่อนยืนยัน หล่อนรักมิ่งขวัญไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น“แต่มันเป็นสิ่งที่คุณชอบ” เขาดักคอ “ผมรู้ว่ารสนิยมของมิ่งขวัญเกิดจากตัวคุณเป็นหลัก...ลืมซะว่าผมเคยสั่งว่าอย่างไร นั่นเป็นข้ออ้างจะเอาตัวคุณมาทำงานต่างหากเล่า ถ้าผมไม่บอกว่าเป็นห้องหอมีหรือที่คุณจะยอมมาทำ ตอนนั้นคุณชังน้ำหน้าผมจะแย่”“ตอนนี้ก็ใช่”“ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ...”เขาปิดประตูไว้ข้างหลังแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น ตอบหล่อนด้วยถ้อยคำหนักแน่นเขาจะไม่ยอมเสียหล่อนไปศิลาบอกตัวเองว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมปรารถนาให้จงได้ ต่อให้ยากเท่ายากก็ตามที“เราจะต้องคุยกันตามลำพังสองต่อสองแล้วละ มินตา”เขาบอกด้วยเสียงนุ่มทุ้ม และแน่นอนว่ามีกังวานของความรักอยู่มากมาย เขาไม้ปฏิเสธใจตัวเอง“ไม่...” หล่อนป
พิมสุดามาแล้วกลับไปแล้ว ปล่อยให้มินตาได้ครุ่นคิดตามลำพัง แม้จะมีปรางคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ แต่มินตาก็เหมือนอยู่คนเดียว...หล่อนคิดถึงอนาคตวันข้างหน้าเมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้คว้าติดอีกหล่อนจะทำอย่างไรดีนั่นคือสิ่งที่มินตาต้องคิด...มันไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย เพราะเท่ากับต้องเอาอนาคตมาเป็นเดิมพัน...อนาคตที่มินตาไม่แน่ใจ และหล่อนก็รู้ว่าเพราะตัวเขานั่นแหละที่ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา/////////////////////////////ผู้ชายสองคนต่างวัยแต่มีสายเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกันได้เผชิญหน้ากันอีกครั้ง คนแก่ดูจะยิ่งแก่ ในขณะที่คนหนุ่มก็มิได้ทำท่าลำพองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ต่างคนต่างมองกันชั่วอึดใจในความเงียบงันแล้วศิลาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “สาวิตต์เป็นอย่างไรบ้าง”“ก็ยังเหมือนเดิม...เก็บตัวเอง...และไม่พูดไม่จากับใครเลย”“เขาคงจะหายสักวันหนึ่ง“นั่นคือความหวัง”“ผมจะเอาใจช่วยแล้วกัน”คุณทรงศักดิ์ทำท่าเหมือนไม่คาดคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น“ต่อ...ให้อภัยพ่อกับพี่แล้วใช่ไหม”ชายหนุ่มส่ายหน้า นั่นคือความจริง เขายังไม่อาจจะให้อภัย เพียงแต่เขาคิดว่าเขาจะวางมือในส่วนนี้...หลายปีที่เ
“ไล่ปรางหรือคะ...” มินตาแสนจะตกใจ “ทำไมล่ะคะ ปรางทำผิดตรงไหน”“มันเป็นพวกแกนี่ รับเอาไปซิ นังนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง หวังว่าที่พูดมานี่แกคงจะเข้าใจนะ”“ค่ะ มินตารับคำ ดวงหน้าสลด ครอบครัวของหล่อนคือซาก...มันคืออดีตที่เหมือนจะเนิ่นนานผ่านมาแล้ว ดวงตาของหล่อนซุ่มไปด้วนน้ำตา ป่วยการจะพูดมากไปกว่านี้อีกเมื่อคุณมารศรีและมิ่งขวัญปั้นปึ่งใส่ มินตามาไหว้พ่อ นั่งพับเพียบอยู่นานจนศิลาต้องเป็นฝ่ายสะกิดหล่อน“กลับดีกว่ามั้ง มินตา...เขาประคองหล่อนลุกขึ้น ท่าทีถนอมเป็นนักหนาบาดตาของมิ่งขวัญสุดขีด หล่อนไม่อาจจะยอมรับออกมาดังๆ ว่าลึกลงไปนั้นหล่อนเจ็บปวดกับการที่ถูกทิ้ง...ทั้งที่หล่อนเคยทระนงในตัวเองมาตลอด ผู้ชายคนนั้นคือชายที่หล่อนรักและเมื่อความจริงเปิดเผยออกมารักกลายเป็นร้าง และขมขื่นที่สุดจะหารสชาติใดมากกว่านี้ ในชีวิตคงจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน“แม่คะ...มิ่งตัดสินใจแน่นอนแล้ว พอเสร็จงานพ่อ มิ่งจะไปอยู่เมืองนอก เราไปด้วยกันไหนคะ แม่...เอาบ้านนี้ให้เช่า...ถ้าไม่คิดจะขาย เราคงจะพอมีเงินสักก้อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน พอให้มิ่งหายช้ำใจแล้วค่อยกลับมาใหม่...หรือบางทีเราอยู่ทางโน้นกันเลยก็ได้ มิ่งก็พอจะมีเพื่อนที
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง และมินตาก็นิ่งงันปราศจากเสียงกรีดร้องจนเขาใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าหล่อนเสียใจแค่ไหนกันการรับรู้ในการสูญเสียหนนี้ มือของเขาลูบไล้เส้นผม“มินตา ได้ยินผมหรือเปล่า”“ก็ดีเหมือนกัน” หล่อนพึมพำออกมา “จะได้จบสิ้นกันแท้จริงๆ”“ไม่....” เขาปฏิเสธเสียงลั่น“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”“อย่าพูดแบบนี้...ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง แล้วเราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด จะไม่ให้อภัยคนที่รู้สำนึกหรอกหรือ มินตา...ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ เพียงแต่ ตอนนั้นความแค้นทำให้ผมบ้าเลือดและลากคุณเข้ามาพัวพันด้วย”“ฉันให้อภัย แล้วก็โยนมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นแหละ...”ศิลากำลังจะพูดอีก แต่เสียงเคาะประตูห้องขัดจังหวะเสียงก่อนและประตูเปิดเข้ามาหลังจากนั้นครรชิตเดินนำหน้าธันวาเข้ามาพร้อมกับกระเช้าดอกไม้ใหญ่ที่บรรจุดอกไม้สวยงามสีสันสดใสชายหนุ่มขยับห่างออกจากเตียงนิดหนึ่ง ครรชิตทักทายและแสดงความห่วงใย ต่อสภาพบาดเจ็บของเขาสักห้านาทีก่อนจะหันไปหามินตา“ไง...มิน หน้าตาเหมือนคนเจ็บหนัก”“เกือบจะตายแต่ไม่ยักจะตาย...”“ประชดใครล่ะนั่น”ถูกดักคอแบบนี้มินตาทำตาวาว “มินไม่มี
สาวิตต์นอนอยู่บนเตียง...ขาของเขาข้างหนึ่งที่ถกขากางเกงขึ้นไปถูกพันด้วยผ้าขาวหนาเปอะ แล้วหน้าตาของเขาก็เหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอ มีรอยช้ำปูดโปนนั่นยังทำใจได้ว่ามันจะหาย แต่ดูซิ...ดูสีหน้าและแววตาของเขามันดูเลื่อนลอย...และมองมาทางเธอย่างว่างเปล่า“เอ...”เธอถลาเข้าไปหาเขา แล้วก็หยุดอีกหนหนึ่ง เมื่อสาวิตต์ทำเหมือนไม่รับรู้ด้วย เขายังมองเบิ่งไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเธอ คุณสีดาหันขวับมาหาสามี ถามเสียงสั่น“อะไรกันคะนี่ ตาเอเป็นอะไร...ทำไมเขาทำหน้าตาแบบนั้น”คุณทรงศักดิ์โอบบ่าของภรรยาเอาไว้ ร่างแบบบางของเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น“หมอบอกว่าเหมือนเขาจะช็อก พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นพักๆ เหมือนคนสะเทือนใจมากเกินไป”“แล้วแกจะหายไหม”“ต้องอาศัยเวลา แต่ตอนนี้เขาต้องรักษาตัว บางทีอาจจะต้องลางาน...หรืออาจจะต้องถึงขั้นลาออกก็ได้”“ไม่!”เธอร้อง หันมาซบหน้ากับบ่าของสามี นานแล้วที่คนสองคนไม่เคยหันหน้าเข้าหากันอีก ต่างมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความบาดหมางในเรื่องเล็กน้อยถูกทำให้ใหญ่มากขึ้น และไม่อาจจะเชื่อมต่อติดกันได้อีกเลยแต่ตอนนี้หัวอกของความเป็นพ่อแม่ที่จะต้องรับผิดชอ
ปืน...มินตาบอกเมื่อเห็นสาวิตต์หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะกลมเล็กข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่งลง แววตาที่เขามองดูศิลาทำให้มินตายะเยือกไปตลอดตัว มันบ่งบอกว่าหากเขาจะลั่นไกปืน เขาก็จะทำได้โดยไม่ต้องหยุดคิดชั่งใจอีกเลย มินตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพูดกับสาวิตต์ดีๆ“คุณเอ ขอให้มินนะ...อย่าถึงกับฆ่ากันเลย...”“บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง ไม่ฆ่าเธอด้วยก็บุญเท่าไหร่รึว่าอยากตายตามผัว”“คุณเอจะทำไมได้นะคะ”“ทำไมพี่จะทำไม่ได้ นึกถึงที่มันทำกับพี่ซิ เพราะมัน...” สาวิตต์ชี้มือไปยังศิลาอย่างคั่งแค้น นั่นคือชายที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็กึ่งหนึ่งที่เหมือนกัน เขาไม่เคยเชื่อใครพูดอย่างไร เขาก็มักจะหัวเราะขบขันเสียเสมอว่าทุกคนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่มีอาการทางจิตที่คิดมากเกินการไปเองทั้งนั้น แต่แล้วเขากลับมารู้เป็นคนสุดท้าย รู้เพื่อทำให้โลกที่เคยสวยงามสำหรับเขามันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเขาจึงมองหาทางออกใดไม่พบนอกจากทางนี้ ฆ่าศิลาเสีย ก็เท่ากับฆ่าไอ้เด็กเวรคนนั้นด้วย เมื่อหนนั้นมันเลือกรอดได้อาจจะเพราะดวงมันแข็ง แต่คราวนี้ไม่มีวันที่ดวงมันจะแข็งเท่าครั้งนั้นอีก มันจะต้องตายนั่นคือทางที่เขาเลือกให้มั
สาวิตต์เดินปังๆ จากไปแล้ว ก่อนที่เขาจะกระแทกประตูบ้านด้านหน้าปิดลั่นกุญแจ ปรางก็เสนอหน้าเข้ามา“จะช่วยคุณมินทำแผลให้กับเขา”ปรางบอก หล่อนยืนให้ห่างจากสาวิตต์เข้าไว้ ด้วยไม่แน่ใจในความบ้าของเขาและเขาก็ยอมปล่อยปรางเข้ามาโดยดี ปรางมาคุกเข่าดูศิลาอยู่อีกด้านหนึ่งของเขา“เลือดทั้งนั้นเลย...” ปรางพึมพำ “ทำแผลก่อนนะคะ คุณมินจะเอาอะไรบ้าง”“ต้มน้ำร้อนให้ฉันสักกระติก แล้วหาผ้าสะอาดๆ มา...มีพวกผ้าเช็ดหน้าของฉันเหลืออยู่บ้างมั้งในตู้...แล้วก็พวกผ้าขนหนูผืนเล็กๆ นั่นด้วยก็ได้ คุณเอขังเราเอาไว้ในบ้านแล้วนี่ หยูกยาที่นี่ไม่มีสักอย่าง”“ปรางมีทิงเจอร์กับยาแดง...แล้วก็ยาล้างแผล...” ปรางบอกล้วงมือเข้าไปในกางเกงสามส่วนหยิบยาที่บอกออกมา “เอามาได้แค่นี้ค่ะ จะเอาสำลีกับผ้าพันแผลมาด้วย กลัวคุณมิ่งจะเห็น จะเอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง”“ขอบใจมา ปราง”มินตาคว้าขวดยาพวกนั้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ตัวหล่อนเองนั้นสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ยังนอนทอดร่างนิ่งๆ นี่สักเท่าไหร่ หล่อนรู้ตัวว่าตัวเองก็แย่ เจ็บในช่องท้องจี๊ดๆ เตือนเป็นระยะอย่างไม่เคยเป็น แล้วหล่อนก็อยากล้มตัวลงนอน แล้วหลับให้นานโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆ อีกเ
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่
“คุณมินเป็นอะไร...”แตะตัวมินตาแล้วก็พอว่าไม่ขยับสักนิด ปรางเงยหน้าหล่อนได้เห็นสาวิตต์นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวอย่างไม่เห็นมาก่อนเลยหันกลับมามองมิ่งขวัญก็เห็นสีหน้าแย้มเยาะประหลาดนัก“คุณมินสลบนะคะ”“ฉันให้แกมาดู ไม่ได้ให้มาพูดมาก แกมีหน้าที่คอยพยาบาลเอาไว้ แต่แกห้ามยุ่งมากไปกว่านี้อีก”“ค่ะ”“พาเข้าไปในห้องนอนซะ”มิ่งขวัญออกคำสั่ง แล้วหล่อนจึงเดินเข้ามาหาสาวิตต์...จับมือของเขาไปบีบเหมือนจะให้กำลังใจแก่เขา“มิ่งเข้าใจว่าคุณเอกำลังเฮิร์ทมาก อีกไม่นานค่ะทุกอย่างจะเรียบร้อยมันจะกลายเป็นปุ๋ยจมดินไปเลย จะไม่มีใครเห็นซากของมันอีก...อย่างนั้นใช่ไหมคะ...ที่นี่มีที่มากมายให้ฝังมัน...”“เมื่อไหร่มันจะมา” คำถามของสาวิตต์เลื่อนลอย“ใจเย็นหน่อยค่ะ ยังไงซะมันก็จะต้องมา”“มันทำกับพี่เจ็บปวดนัก...” เขาหลับตาลง “รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”“จะไม่มีใครรู้...” หล่อนลูบบ่าของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เหลืออยู่ปลอบโยนเขา “มิ่งสัญญาว่าจะเอาตัวมันมาให้”“แล้วยายมินล่ะ...”“ขายมันซิ คุณเอ...หลังจากจัดการหมอนั่นแล้ว เอายายมินไปขาย” น้ำเสียงของมิ่งขวัญเหี้ยมเกรียม เขาแหงนหน้ามอง “มิ่งพูดจริงๆ นะ ไม่