หลังจากงานแต่งงานของซือหมิงกับเซียงเซียงผ่านไปอย่างเรียบร้อย... ชินอ๋องก็พาจ้าวชิงเฟิงไปเที่ยวเทศกาลชมดอกไม้ พร้อมกับประมุขพรรคยาจกและอาหลี แต่ก่อนจะไปยังสวนป่ากุ้ยหลินเพื่อชมดอกโบตั๋น ทั้งหมดได้แวะกินอาหารกลางวันที่หอสุราจุ้ยเซียนก่อน ห้องที่ชินอ๋องสั่งให้คนจองไว้ ยังคงเป็นห้องเดิมของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นห้องที่สามารถมองเห็นนักดนตรีสาวที่บรรเลงฉินได้อย่างชัดเจน และสามารถมองทิวทัศน์ท้องถนนในตัวเมืองอีกด้วย นักดนตรีสาวสวยวัยสิบหกกำลังบรรเลงฉินอย่างไพเราะอ่อนหวาน อาหารหลากหลายมาขึ้นโต๊ะอย่างไว จ้าวชิงเฟิงใช้ช้อนเงินและตะเกียบเงินที่ชินอ๋องให้องครักษ์เตรียมมาด้วย เขาคีบอาหารให้อาหลี ที่กินอย่างเอร็ดอร่อย ชินอ๋องก็คอยคีบอาหารใส่ปากของจ้าวชิงเฟิงอีกทอดหนึ่ง “เกอเกอ...” อาหลีเรียกจ้าวชิงเฟิง เพราะอยู่จวนชินอ๋องหลายวัน เริ่มจะคุ้นเคยกันแล้ว “ข้าอยากได้น่องไก่ในชามของท่าน” “เอาสิ” จ้าวชิงเฟิงคีบน่องไก่ในชามของตนเองที่ชินอ๋องคีบให้ ไปใส่ในชามของอาหลี อาหลีดีอกดีใจกินแก้มตุ่ย บนดวงหน้างดงามอ่อนเยาว์ของจ
“ข้ากลัวแพ้หรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็น...” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเกียจคร้าน “ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าท่านเป็นผู้ต้องการจะประลองกับข้าต่างหาก ไม่ใช่ข้าต้องการจะประลองกับท่าน” ชินอ๋องขยับตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ในท่าสบายยิ่งขึ้น “แล้วท่านก็กล่าวออกจากปากมาเองว่า...พระชายางามล้ำ ค่าควรเมือง! แต่ท่านกลับเอาผลแก่นปราณที่ต่ำค่ากว่าพระชายามากมายมาเดิมพัน เช่นนี้มิใช่ท่านเอาเปรียบข้ามากเกินไปหรอกหรือ? ถ้าจะให้เหมาะสม...ท่านต้องเอาแคว้นซีเซี่ยตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดของซีเซี่ยมาลงเดิมพันสิ” “เป็นไปไม่ได้” รัชทายาทแห่งซีเซี่ยโพล่งขึ้น “ข้าก็รู้ว่าท่านทำไม่ได้ เพราะท่านไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งซีเซี่ย” ณ เรือนรับรองคณะทูต... ทัวปาหรู่ รัชทายาทแห่งซีเซี่ย ดื่มสุราไปพลางครุ่นคิดไปพลาง มีท่านทูตที่เดินทางมาด้วยดื่มเป็นเพื่อน “น่าโมโห...” รัชทายาทแห่งซีเซี่ยกระแทกจอกสุราทองคำในมือลงบนโต๊ะ จะพูดอย่างไร ชินอ๋องก็ไม่ยอมเอาพระชายามาเป็นเดิมพัน” “เขาอาจจะคาดเดาจุดประสงค์ของพวกเราออกว่าต้องการตัวพระชายา เพราะว่าพระชายาเป็นทายาทของฮ่องเต้แคว้นเป่ยเพียงค
ลานประลอง...ใช้ลานฝึกซ้อมของราชองครักษ์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชวังด้านขวา เป็นลานปูแผ่นหินแข็งแกร่งราบเรียบกว้างขวาง ด้านข้างสร้างพลับพลาที่ประทับของฮ่องเต้สำหรับชมดูการประลอง ด้านข้างของพลับพลาที่ประทับ ก็เป็นพลับพลาเล็กสำหรับองค์หญิงหลี่หมิงจูกับพระชายาจ้าวชิงเฟิง ถัดมาก็เป็นศาลาของเหล่าขุนนาง ส่วนเหล่านางในนั้น เนื่องจากว่าพระสนมเอกซูเฟยที่เป็นใหญ่ที่สุดของฝ่ายใน ถูกสั่งกักบริเวณอยู่ จึงพลอยทำให้เหล่านางในทั้งหมดอดมาชมดูการประลองด้วย จ้าวชิงเฟิงนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ องค์หญิงหมิงจูบนยกพื้นสูง เพื่อชมดูการประลอง ตุมๆๆๆๆๆ... เสียงกลองดังเป็นจังหวะเร้าใจ ผู้ประลองทั้งสองยืนคนละมุม... รัชทายาทแห่งซีเซี่ยสวมอาภรณ์สีแดงขลิบทองหรูหรา มือถือดาบใหญ่ลายมังกรสันหนาคมกริบ ชินอ๋องหลี่เฉิงสวมอาภรณ์สีกรมท่าสง่าผึ่งผาย มือถือกระบี่สองคมเล่มยาว พอฮ่องเต้ชูธงสีเหลืองในมือขึ้น... เสียงกลองก็หยุด การประลองเริ่มขึ้นทันที เคล้งๆๆๆๆๆ ! เสียงอาวุธปะทะกันดังถี่ยิบ ใจของจ้าวชิงเฟิงเต้นรัว... เข
จ้าวชิงเฟิงรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องแขน ตามมาด้วยอาการชาวาบ ตุบๆๆ ! เสียงคนล้มลง เสี่ยวหงเสี่ยวชุ่ยและจางจง ต่างถูกสาวใช้ขององค์หญิงหมิงจูที่ยืนประกบแทงด้วยปิ่นอาบยาชา ล้มลงนอนกับพื้น ตุบ! เสียงคนล้มลงอีก แต่เป็นร่างของสาวใช้ขององค์หญิงหมิงจูคนที่ยืนประกบเสี่ยวหยวนจื่อ...นางก็ใช้ปิ่นทองคำอาบยาชาแทงใส่เสี่ยวหยวนจื่อเช่นเดียวกัน ทว่าเสี่ยวหยวนจื่อหลบทัน แล้วฟาดสันมือใส่ท้ายทอยของนาง ทำให้นางสลบกลางอากาศ ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น เสี่ยวหยวนจื่อผิวปากเสียงแหลม ฉับพลัน...เสี่ยวหู่กับเหล่าองครักษ์ลับก็พุ่งเข้ามาในห้อง สยบสาวใช้และบ่าวไพร่ทั้งหมดขององค์หญิงหมิงจูอย่างรวดเร็ว องค์หญิงหมิงจูมองเหตุการณ์ที่พลิกผันด้วยดวงตาเบิกกว้าง และนั่งตะลึงกับที่ เสี่ยวหู่ไม่เกรงใจ ให้มัดคนของซีเซี่ยทุกคนเอาไว้ รวมทั้งองค์หญิงหมิงจูด้วย “เจ้ากล้าแตะต้องตัวข้าหรือ?” องค์หญิงตะคอกใส่ เสี่ยวหยวนจื่อไม่สนใจ จัดการมัดองค์หญิงไว้กับเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วรีบดูบาดแผลของจ้าวชิงเฟิง บาดแผลไม่ใหญ่
คืนนั้น... ขณะเตรียมตัวเข้านอน...ชินอ๋องได้ยื่นจดหมายที่ท่านมหาอำมาตย์นำมาให้ในตอนบ่ายให้แก่จ้าวชิงเฟิง “เอาให้ข้าทำไม?” จ้าวชิงเฟิงถาม “ให้เจ้าอ่าน” ชินอ๋องตอบ จ้าวชิงเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาชั่งใจ ชินอ๋องกล่าวว่า “เจ้าอ่านเถอะ...แล้วข้าจะอธิบายข้อสงสัยของเจ้าเอง” “แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของท่านมิใช่หรือ?” ชินอ๋องแย้ง “เราสองคนคือสามีภรรยา เรื่องของสามี ภรรยาสมควรจะได้รู้” จ้าวชิงเฟิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับจดหมายมาเปิดออกอ่านออกเสียงไม่ดังนักว่า “กราบเรียนชินอ๋อง...ตงเหมยสารภาพความผิดของจินเหลียนกับหยางป๋อ ตั้งแต่จินเหลียนยังไม่ได้ออกเรือน จนกระทั่งออกเรือนไปแล้ว ให้ข้าน้อยรู้หมดทุกอย่างแล้ว...ข้าน้อยรู้สึกละอายใจต่อท่านอ๋องยิ่งนัก เวลานี้ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว นอกจากคำขออภัย...และขอความเมตตาจากท่านอ๋อง โปรดช่วยจินหลานด้วย จากตู้เสียง” อ่านจบ...จ้าวชิงเฟิงก็พับเก็บจดหมายคืนแก่ชินอ๋อง ชินอ๋องนำจดหมายไปจ่อกับเปลวเทียน...จนจดหมายไหม้เหลือเพียงเล็กน้อย เขาก็ทิ้งมันลงในจานเปล่าใบหนึ่ง ไม่นาน
จ้าวชิงเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ สองมือเรียวงามกำมีดพกแน่น เอ่ยเสียงแช่มช้าว่า “ท่านอ๋อง...หากข้าฆ่าท่าน ราชวงศ์แคว้นเป่ยจะกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้หรือไม่?” “ย่อมไม่” ชินอ๋องตอบเสียงหนักแน่น “อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้ว เรียกร้องอย่างไรก็ไม่มีวันหวนกลับมา...และเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าก็ไม่อาจโทษว่าท่านแต่เพียงฝ่ายเดียว...ในสนามรบ มิใช่ท่านตายก็เป็นเราสิ้น นี่เป็นสัจธรรม ข้าเข้าใจ เพียงแต่...ข้าไม่อยากเป็นหมากบนกระดานของผู้ใด ยิ่งไม่อยากเป็นหุ่นให้ผู้ใดเชิด...ข้าเข้าใจความต้องการของทั้งอ๋องห้า ทั้งรัชทายาทแห่งซีเซี่ย ทั้งฮ่องเต้ต้าหนาน...พวกเขาล้วนเห็นข้าเป็นหมากในกระดาน ที่จะจับหันซ้ายหรือหันขวาได้ตามแต่ใจต้องการ ทว่าข้าจะเอาแต่ปวดร้าวใจมิได้ ข้าต้องหาทางแก้ไข” “เจ้าจะแก้ไขอย่างไร?” ชินอ๋องถาม “ข้าไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้แคว้นเป่ย แล้วข้าก็ไม่อยากให้เกิดสงคราม เพราะประชาชนทุกข์ยากลำบากมานานมากแล้ว คนชราที่ไร้ลูกหลานดูแล สตรีหม้าย และเด็กกำพร้าก็มีมากเกินไปแล้ว” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าท่าทีจริงจังยิ่ง “ข้าอยากขอยืมพวกเ
จางจงสลบไปเพราะความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้สติขึ้นมา...ความเจ็บปวดจากบาดแผลถูกแทงยังคงไม่ได้บรรเทาเบาบางลงแม้แต่น้อย กลับรู้สึกจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ จนร่างกายสั่นระริกไปหมด แต่เขาพยายามตะเกียกตะกายคืบคลานออกมาที่ประตู รอยเลือดลากกับพื้นเป็นทางยาว เพื่อส่งเสียงร้องอันแผ่วเบาราวกระซิบ “เสี่ยวหู่...ชะ ช่วยพระชายา...ดะ ด้วย” เสี่ยวหู่กระโดดออกมาจากมุมลับ เข้ามาประคองจางจง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” “เจียง จะ จ้าน...สะ เสี่ยวหยวน จะ จื่อ ทะ ทรยศ ชะ ช่วย พระชายา ดะ ด้วย” จางจงที่ดิ้นรนคืบคลานออกมาบอกข่าว พอบอกออกไปแล้ว จึงค่อยยินยอมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในความมืดมิด... เสี่ยวหู่ขบกรามกรอด เมื่อครู่ใหญ่...เขาก็เห็นเจียงจ้านเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ โดยมีเสี่ยวหยวนจื่ออุ้มห่อผ้าลักษณะกลมยาวห่อหนึ่งตามหลังมาด้วย เวลานี้มาคิดดู ห่อผ้านั้นน่าจะห่อพระชายาเอาไว้ เขาผิวปากเสียงยาว...เหล่าองครักษ์ลับพากันปรากฏตัว “ตามท่านหมอ แล้วส่งข่าวบอกท่านอ๋อง...เจียงจ้าน เสี่ยวหยวนจื่อทรยศ ลักพาตัวพระชายาไป” องครักษ์
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ