สามวันให้หลัง กองกำลังหยุนเจิงนำเชลยศึกและศพทหารกลับมาถึงชายแดนเว่ยยอกจากศพทหารที่ตายในสนามรบแล้ว ยังมีคนบาดเจ็บสาหัสที่ทนไม่ไหวด้วยนับดูแล้ว กองทัพหนึ่งหมื่นคนและกองทหารโลหิตหนึ่งพันคน รวมกัยแล้วมีคนตายเกือบเจ็ดพันแปดร้อยคนแค่นายพลก็สูญเสียคนไปหกคน รวมถึงผู้บัญคับบังชาคนโปรดของหยุนเจิงตู้กุยหยวนด้วยในนั้นยังมีสามสี่ร้อยคน ต่อให้รักษาหายดีแล้ว คาดว่าคงไม่อาจอยู่ในกองทัพได้ต่อไปนับดูแล้ว ทั้งหมดหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน สูญเสียไปเจ็ดพันกว่าคนเหี้ยมโหดจนไม่อาจเหี้ยมโหดไปได้มากกว่านี้แล้ว!สงครามครั้งนี้ แม้พวกเขาจะได้รับผลงานมหาศาล แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสียหายสาหัสขั้นสุดกองกำลังตู๋กูเชอโจมตีค่ายทหารที่เขาห่านป่าหวนกลับไม่สำเร็จตอนที่พวกเขาบุกไป ทัพศัตรูก็ล่าถอยไปนานแล้วทว่า ตอนที่กองทัพตู๋กูเช่อไล่ตามไป พวกเขาสกัดกั้นสองชนเผ่าที่กำลังอพยพไปยังราชสำนักเป่ยหวนโดยไม่ได้ตั้งใจตู๋กูเช่อปิดล้อมโดยตรง ยึดคนและปศุสัตว์ของพวกเขาทั้งหมดมาเป็นเชลยศึกตู๋กูเช่อให้คนมาส่งข่าวให้หยุนเจิง เขาเดินทางกลับชายแดนเว่ยก่อน เหลือหนึ่งหมื่นคนคุ้มกันขนส่งเชลยศึกและปศุสัตว์เหล่านั้นกลับชายแดนเ
แต่ไหนแต่ไร มีเพียงแม่ทัพนายพลระดับสูงที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้“พอแล้ว ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามอวี๋ซื่อจง “เอาของดูต่างหน้ามาจากร่างทุกคนหรือยัง?”“เอามาหมดแล้ว!”อวี๋ซื่อจงตอบทันที “ของดูต่างหน้าล้วนห่อเอาไว้แยกกันและเก็บไว้พร้อมข้อมูลบุคคล”“ดี!”หยุนเจิงพยักหน้า ตะโกนเสียงดัง “เอาเหล้ามา!”คนของกายนำานำเหล้าที่ได้จากแอลกอฮอล์และน้ำมาหลายไหทันทีหยุนเจิง ตู๋กูเช่อ ฉินชีหู่ เสิ่นลั่วเยี่ยน...จำนวนเล็กๆ น้อยๆ รวมกัน เกือบหนึ่งร้อยคนทุกคนรับไหสุราจากคนข้างกายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแสดงความเคารพหยุนเจิงหยิบไหสุรา ชูขึ้นสูง“พี่น้องทุกท่าน พวกท่านล้วนเป็นวีรบุรุษของต้าเฉียนเรา!”“ข้าอยู่ที่นี่เพื่อเชิญทุกท่านร่วมดื่มสุราฉลอง!”“พวกท่านจากไปอย่างวางใจ ข้าจะสั่งคนให้นำของดูต่างหน้าและเงินบำนาญมอบให้ถึงมือครอบครัวพวกท่าน!”“ข้าขอยืมคำพูดเสด็จพ่อ ใครกล้าแตะต้องเงินบำนาญของพวกท่าน ข้าก็กล้าแตะต้องหัวพวกเขา!”คำพูดของหยุนเจิง แม้จะกล่าวกับทหารที่เสียชีวิตเหล่านี้ แต่ก็พูดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกันนี่เป็นการเตือนเหล่าคนที่อาจคิด
เมืองจักรพรรดิจักรพรรดิเหวินไถ่ถ่ามเรื่องอันหวังก่อกบฎในราชสำนักตามปกติอีกทั้ง ผลที่ได้รับกลับทำให้จักรพรรดิแทบอยากจะกระโดดด่ามารดานี่ผ่านมากี่วันแล้ว?ยังไม่อาจสยบการก่อกบฏของอันหวัง?กองทัพของราชสำนักต้านทางทัพกบฏของอันหวังไม่ได้หรือ?นี่ทำสู้รบได้ไร้สาระ!ทว่า สุดท้ายจักรพรรดิก็ข่มอารมณ์ไว้ได้“องค์รัชทายาท เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”จักรพรรดิเหวินพยายามระงบความโกรธ หันหน้ามองหยุนลี่ “เจ้าคิดว่าข้าควรลงโทษอู๋ตู๋ที่ปราบกบฏได้ไม่ดี?”หยุนลี่ครุ่นคิด จากนั้นก็โค้งคำนับ “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า เรื่องนี้ไม่อาจโทษแม่ทัพอู๋ได้ ตอนนี้ทางใต้มีฝนตกฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ถนนเป็นโคลน การคุ้มกันส่งเสบียงค่อนข้างล่าช้า ด้านหน้าขาดแคลนเสบียง แม่ทัพอู๋รอบครอบไม่โจมตีโดยหุนหันพลันแล่น...”“ก็จริง”จักรพรรดิเหวินพยักพระพักตร์ จากนั้นก็ทอดพระเนตรเซวียเช่อที่รับตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร “ข้าขี้เกียจเขียนราชโองการ! กรมทหารส่งคนไปส่งข่าวให้อู๋ตู๋ เซียวว่านโฉวหลังจากกินยาพื้นบ้าน ร่างกายกลับเป็นปกติแล้ว กำลังคิดอยากให้เขายืดเส้นยืดสาย หากเขาทำไม่ได้ ข้าจะสั่งให้เซียวว่านโฉวไป! ถึงเวลานั้น อย่าบอกว่าข้าไม่
“เร็ว นำกล่องเปิดให้ข้าดู!”จักรพรรดิเหวินทิ้งรายงานการรบ สั่งองครักษ์วังด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำสั่งของจักรพรรดิเหวิน องครักษ์วังรีบเปิดกล่องออกทันทีทว่า ยังไม่รอให้จักรพรรดิเหวินเห็นชัดเจน เหล่าขุนนางในราชสำนักก็กระเถิบเข้าไปชะโงกหน้าดูแม้พวกหันจิ้นจะโรยปูนขาวไว้บนศีรษะเหล่านั้นแล้ว ทว่าส่งศีรษะมาด้วยระยะทางไกลเช่นนี้ ศีรษะก็ยังมีกลิ่นเล็กน้อยแต่ว่า ทุกคนกลับไม่สนใจมากมาย จับจ้องศีรษะมนุษย์ทั้งสามโดยละเอียดฮูเจี๋ย!โปหลวน!ศีรษะมนุษย์อีกหัว พวกเขาไม่รู้จักทว่า ในเมื่อส่งกลับมา ย่อมต้องเป็นบุคคลสำคัญของเป่ยหวน“นี่คือลูกชายของฮูเจี๋ย!”“โปหลวน ข้าจำเจ้าสุนัขนี่ได้!”“ฮ่าๆ องค์ชายหกแค่ทำสงครามก็ประหารโปหลวนและฮูเจี๋ยได้ ชื่อมรณกรรมอู่เลี่ย สมชื่อจริง!”“ตาแก่ เจ้าเลอะเลือนแล้วกระมัง? องค์ชายหกยังมีชีวิตอยู่ดี เจ้าจะกว่าถึงชื่อมรณกรรมอะไร?”“เอ่อ...คือ...”เหล่าขุนนางอาวุโสทั้งดีใจทั้งตกใจ พูดจาไม่ผ่านสมองขบคิดแล้วเมื่อได้ฟังคำของเหล่าขุนนางอาวุโส เหล่าขุนนางพากันชะโกงหน้าไปดูคราวนี้ จักรพรรดิเหวินเองก็เห็นไม่ชัดแล้วใบหน้าหยุนเจิงเผยรอยยิ้มดีใจ ทว่าในในเด
เมื่อได้ฟังคำของจักรพรรดิเหวิน ใบหน้าหยุนลี่กระตุกทันทีปล่อยให้รัชทายาทอย่างเขาไปเป็นแนวหน้าเพื่อปราบกบฏทว่า คำพูดของเสด็จพ่อมีเหตุผลเจ้าหกทำสงครามเก่งเช่นนี้ หากเขาไม่รู้เรื่องการทหารในสักนิด หากภายหน้าไอสารเลวนี่ก่อกบฏ เขาก็คงไม่สามารถเอาแต่พึ่งพาเหล่าแม่ทัพในราชสำนักนี้ได้!ถึงเวลานั้น แม่ทัพอาวุโสหลายคนคงไม่อยู่แล้ว!ขบคิดเงียบๆ หยุนลี่โค้งคำนับกล่าว “ลูกรับพระบัญชา! ลูกจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง!”“อื้ม! เช่นนั้นก็เอาตามนี้!”จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์เบาๆ “จริงด้วย พ่อลูกหยวนฉงเหมือนจะยังอยู่ในคุก?”“พ่ะย่ะค่ะ!”หยุนเจิงโค้งตัวกล่าวหยวนฉงทิ้งด่านเป่ยลู่ ไม่ได้ทิ้งให้ตกอยู่ในมือศัตรูภายนอก แต่เป็นคำร้องขอของขุนนาง แม้ว่าจักรพรรดิเหวินจะล้มเลิกความคิดที่จะประหารสกุลหยวนกงเก้าชั่วโคตร แต่จับตัวหยวนฉงและหยวนกุยพ่อลูกเข้าคุก วางแผนที่จะประหารหลังฤดูใบไม้ร่วงจักรพรรดิเหวินครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าว “ราชสำนักตอนนี้ต้องการใช้คน ข้าจะไม่เอาชีวิตพวกเขาชั่วคราว! เจ้านำพวกเขาไปด้วย ให้พวกเขาเป็นบริวารหน้ารถม้าของเจ้า ทำความดีชดใช้ความผิด! ควรอธิบายกับพวกเขาเช่นไร เจ้าจัดกา
นี่ไม่ใช่ให้โอกาสสวีสือฝู่การจัดตั้งพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือ?เมื่อเห็นฉินลิ่วก่านยังคิดไม่ได้ จักรพรรดิเหวินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความจนใจครู่ต่อมา จักรพรรดิเหวินลุกขึ้น หยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากช่องในห้องตำราส่งให้ฉินลิ่วก่าน “ชื่อคนในจดหมายฉบับนี้ ล้วนเป็นคนในกองทัพที่ติดต่อใกล้ชิดกับเจ้าสาม เจ้าเก็บไว้ให้ดี! พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้เจ้าดูแลกองทหารเสินอู่และองครักษ์อวี่หลินชั่วคราว หากคนพวกนี้ไม่ทำเกินเลย เจ้าก็ไม่เจ็บเป็นต้องเคลื่อนไหว แค่จับตามองมากหน่อยก็พอ!”“นี่... ไม่ดีกระมัง?”ฉินลิ่วก่านยิ้มแห้งมองจักรพรรดิเหวิน “ไม่อย่างนั้น ข้าไปซั่วเป่ยกับพระองค์ด้วย ข้า...”“อย่าแม้แต่จะคิด!”จักรพรรดิเหวินดับฝันฉินลิ่วก่านโดยตรง “เจ้าอยู่ที่เมืองจักรพรรดิ ข้าถึงจะวางใจ!”ฉินลิ่วก่านนิ่งไปเล็กน้อย ทำได้เพียงกลืนคำในปากลงไปอย่างรวดเร็วก็ได้!รอเขากลับมาก่อน เขาค่อยไปซั่วเป่ยอีกครั้งก็ได้!เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว!อื้ม ชีหู่เจ้าสัตว์ร้าย ทำให้เขาได้หน้าจริงๆนึกไม่ถึงว่าจะตัดหัวของฮูเจี๋ยด้วยมือตัวเองแล้ว?อื้อๆ เดี๋ยวต้องกลับไปจุดธูปไหว้บรรพชนหน่อยแล้ว!จักรพรรดิเหวิน
ชายแดนเว่ยหยุนเจิงเมื่อได้รับข่าว ชนเผ่าของเป่ยหวนและกองทัพทั้งหมดล่าถอยแล้วตอนนี้หากพวกเขาอยากจับเชลยศึกเป่ยหวน ก็ต้องวิ่งไปไกลแสนไกลแล้วตอนนี้ เขตแดนและทั่วทั้งทุ่งหญ้ามู่หม่าของเกออาซู ล้วนลายเป็นของในกระเป๋าของพวกเขาแล้วการต่อสู้จบลงชั่วคราวแล้วแต่เรื่องที่ทำให้หยุนเจิงปวดหัวมาแล้วเขตแดน เขายึดมาได้แล้วตอนนี้ปัญหาคือ จะครอบครองเขตแดนเหล่านี้ตลอดไปเช่นไรพวกเขาจะเป็นต้องส่งกองทัพขนาดใหญ่ยึดครองดินแดนเหล่านี้ เส้นทางจัดสรรเสบียงก็จะลากยาวไปไกลมากต่อให้เป็นทหารชาวนา ก็ไม่อาจเดินทางไกลเกินไป อย่างมากสุดก็แค่รอบบริเวณสามเมืองชายแดนอีกอย่าง น้ำฝนในทุ่งหญ้าแม้จะชุก ทว่ามีฤดูฝนที่ค่อนข้างสั้นเมื่อถึงฤดูฝน ทุกหนแห่งล้วนกลายเป็นดินโคลน เส้นทางจัดสรรเสบียงยิ่งยากขึ้นหากส่งคนมาน้อยเกินไป ก็ต้องกังวลว่าจะถูกเป่ยหวนจู่โจมอีกครั้งหากปล่อยที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ผืนใหญ่ไว้ดู เช่นนั้นพวกเขาสู้ยึดที่ดินผืนนี้มาจะมีประโยชน์ใด?อีกทั้ง พวกเขายังต้องสร้างสะพานบนแม่น้ำสาขาของแม่น้ำไป๋สุ่ยด้วยแม่น้ำสาขาบริเวณใกล้เขตแดนของอาหลู่ไถต้องต้องสร้างสะพาน แม่น้ำสาขาบริเวณใกล้ทุ่งหญ้ามู่หม
คำพูดของตู๋กูเช่อ ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน“ใช่ ใช่!”“ทุ่งหญ้ามู่หม่าจำเป็นต้องแย่งมาให้ได้!”“ต้าเฉียนเราไม่มีสนามเลี้ยงมาที่ดี...”“ขอแค่ยึดครองทุ่งหญ้ามู่หม่า ต่อไปพวกเราก็ไม่ขาดแคลนม้าศึกยอดเยี่ยมแล้ว!”“ใช่แล้ว...”ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วยสำหรับทุ่งหญ้ามู่หม่า พวกเขานั่งมองน้ำลายไหลนานแล้วสนามม้าโม่หยางใหญ่สักเท่าใดกันเชียว?ทุ่งหญ้ามู่หม่าหนึ่งแห่ง สามารถทดแทนสนามม้าโม่หยางได้หลายต่อหลายแห่งตั้งแต่ต้าเฉียนเปิดแคว้มาจนถึงตอนนี้ ในเรื่องการทำสงครามเป่ยหวน สิ่งที่เสียเปรียบอย่างมากก็คือไม่มีม้าศึกหกปีก่อน ต้าเฉียนสะสมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ในที่สุดก็มีกองทหารม้าที่แข็งแกร่งผลปรากฏว่า หลังสงครามครั้งเดียว กลับถูกตีจนกลับสภาพเดิม!ตอนนี้มีคุณสมบัตินี้แล้ว พวกเขาไม่ยอมปล่อยทุ่งหญ้ามู่หม่าที่สามารถเอามาได้ง่ายดายหากเป็นไปได้ พวกเขายังอยากจะแย่งทุ่งหญ้าฉินหลินที่ใหญ่ที่สุดของเป่ยหวนมาด้วยเมื่อได้ฟังคำของทุกคน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะส่ายหน้า“ทุ่งหญ้ามู่หม่า พวกเราย่อมต้องครอบครอง!”หยุนเจิงตัดสินใจครั้งสุดท้าย จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็น “แต่ว่า ตอนนี้พวกเราต้องสร
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ