แต่ถึงจะโกรธ ชื่อเหยียนก็ต้องเริ่มพิจารณาเงื่อนไขของหยุนเจิง“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็นไปได้!”“ถ้าอย่างนั้น สู้ตายกับหยุนเจิงดีกว่า!”“แต่ถ้าเราพ่ายแพ้ล่ะ?”“ทหารเกือบทั้งหมดของเราอยู่ที่นี่ หากพ่ายแพ้ พวกเรากุ่ยฟางก็จบสิ้น!”“ความจริงแล้ว พวกเราอาจต้องพิจารณาเงื่อนไขของหยุนเจิงดู! หากตอนนี้พวกเราไม่ยอมรับข้อเสนอ เมื่อกองทัพอีกสายของพวกเขาบุกเข้ามา เกรงว่าเราคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะเจรจาขอสงบศึก...”เหล่าแม่ทัพของกุ่ยฟางเริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือดอีกครั้งมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนการต่อสู้ ฝ่ายที่สนับสนุนการเจรจา และฝ่ายที่ลังเลไม่เพียงแต่ทหารราบที่ไร้ขวัญกำลังใจ แม่ทัพที่นำกองทัพก็แทบจะหมดความเชื่อมั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่ามู่ลี่จวีพ่ายแพ้เมื่อคนฉลาดอย่างทัวฮวนยังเลือกที่จะนำทัพมายอมจำนน นั่นแสดงให้เห็นว่าศึกครั้งนี้แทบไม่มีความหวังที่จะชนะ“ฝ่าบาท พวกเราห้ามยอมรับเงื่อนไขของหยุนเจิงเด็ดขาด!”มู่ลี่จวีพยายามโน้มน้าวอย่างเต็มกำลัง “แทนที่พวกเราจะยกทรัพย์สินและเสบียงให้พวกเขาเปล่าๆ สู้ส่งทหารสองหมื่นนายไปตัดทางล่าถอยจะดีกว่า! ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ศัตรูที่ยกทัพ
ในยามค่ำคืนหลังจากการเดินทัพตลอดทั้งวัน ทหารของกุ่ยฟางส่วนใหญ่ต่างอ่อนล้าจนหมดแรงสำหรับการล่าถอยครั้งใหญ่เช่นนี้ หากสภาพอากาศไม่เลวร้าย ก็มักจะไม่ตั้งค่ายพักแรมในทุกคืนในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นเช่นนี้ ทหารหลายคนใช้เพียงหญ้าแห้งบางๆ รองนอนเพื่อพักผ่อนเนื่องจากเกรงว่าศัตรูจะโจมตีในยามวิกาล ทหารทั้งหมดจึงสวมเกราะไม่ห่างจากตัวเลยและไม่ใช่เพียงคืนนี้ แต่ตั้งแต่เริ่มล่าถอย พวกเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอดแม้ทุกคนจะเข้าใจถึงความจำเป็นของสิ่งนี้ แต่การทำเช่นนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานกลับสร้างความกดดันทางจิตใจให้กับพวกเขาอย่างมากการที่ต้องกังวลเรื่องการโจมตีในยามวิกาลทุกวัน และต้องสวมเกราะอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอย่างมากรอบบริเวณที่พวกเขาตั้งค่าย มีการก่อกองไฟไว้มากมายกองไฟเหล่านี้ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน และเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับพวกเขากลุ่มทหารที่สวมเกราะและถืออาวุธเดินลาดตระเวนรอบบริเวณค่ายพัก เพื่อป้องกันการโจมตีในยามวิกาลจากศัตรู“เจ้าว่า พวกเราต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะล่าถอยกลับไปได้?”“ใครจะไปรู้ล่ะ? ขอให้กลับไปได้เร็วๆ ก็แล้วกัน!”“เฮ้อ องค์ราชาก็จริงเช
แม้พวกเขาจะหารือกันมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรมาบางคนสนับสนุนให้ยอมรับเงื่อนไขของหยุนเจิง ขณะที่บางคนยังคงคัดค้านทั้งสองฝ่ายไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้หนึ่งชั่วโมงผ่านไป“โครมคราม…”เสียงฝีเท้าม้าที่ดังกึกก้องดังขึ้นอีกครั้งทหารกุ่ยฟางเตรียมพร้อมป้องกันอีกครั้งทว่า ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อน ยังคงเป็นแค่เสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าม้า แต่ไม่มีการโจมตีจริงเสียงตะโกนและเสียงโห่ร้องของกองทหารมณฑณทางเหนือนั้นดังสนั่น แต่ไม่มีการบุกโจมตีแต่อย่างใดเมื่อทราบว่าศัตรูถอยไปอีกครั้ง ชื่อเหยียนและเหล่าแม่ทัพต่างพากันโกรธจัดครั้งแรก ยังพอสงสัยได้ว่า ศัตรูอาจพบว่าพวกเขาเตรียมพร้อมอย่างดี จึงตัดสินใจถอยกลับไปแต่การกลับมาครั้งที่สองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าศัตรูจงใจ“ศัตรูชัดเจนว่าต้องการทำให้พวกเราไม่ได้พักผ่อน!”“พวกมันใช้เล่ห์กลนี้เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของเรา!”“ไม่แน่ว่าพวกมันอาจต้องการให้เราหมดแรง แล้วจึงบุกโจมตีเราอย่างกะทันหัน!”“อย่างไรก็ตาม ศัตรูไม่มีเจตนาดีแน่นอน เราต้องระวังให้มาก…”ในช่วงเวลานั้น เหล่าแม่ทัพต่างกัดฟันแสดงความคิดเห็นของตนเองกลยุทธ์ของศัตรูนี
ทั้งคืนที่ผ่านมา กองทหารมณฑลเหนือสร้างความปั่นป่วนขึ้นแทบทุกหนึ่งชั่วโมงชื่อเหยียนก็ไม่อาจรู้ได้ว่าที่กองทหารมณฑลเหนือทำนั้นคือการเตรียมโจมตีจริงหรือเป็นเพียงกลอุบายถ่วงเวลา เขาทำได้เพียงให้เหล่าทหารระมัดระวังอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการบุกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวจากกองทหารมณฑลเหนือเหล่าทหารต่างนอนไม่หลับ แม้แต่ชื่อเหยียนเองก็ไม่อาจข่มตาได้อย่าว่าแต่กองทหารมณฑลเหนือสร้างเสียงดังทั้งคืนเลย ต่อให้พวกกองทหารมณฑลเหนือเงียบสนิท เขาก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดีในยามนี้ ชื่อเหยียนทั้งหวังให้ฟ้าสางเร็วขึ้น และในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ฟ้าสางขัดแย้งในใจอย่างมาก แต่สิ่งที่รู้สึกยิ่งกว่านั้นคือความหมดหนทางหากฟ้าสางเร็วขึ้น กองทหารมณฑลเหนือคงหยุดเล่นสงครามประสาทเช่นนี้เสียทีแต่การที่ฟ้าสางก็หมายความว่า เวลาที่เหลือให้เขาตัดสินใจว่าจะยอมรับเงื่อนไขของหยุนเจิงหรือไม่นั้นเหลือน้อยเต็มทีจนถึงตอนนี้ชื่อเหยียนก็ยังไม่ได้ตัดสินใจในยามนี้ ชื่อเหยียนเพียงหวังให้ทัวต๋าตื่นขึ้นมาเร็วๆเช่นนี้ เรื่องหนักอกหนักใจทั้งหมดก็จะไม่ตกอยู่ที่เขาอีกต่อไปด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้วหลังจากเผาไหม้ตลอดทั้งคืน ไ
เมื่อพวกเขาบุกเข้าไป ความโกลาหลในกองทัพกุ่ยฟางก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปทหารที่ประสาทตึงเครียดถึงขีดสุดสูญเสียความเชื่อใจต่อคนรอบข้าง บนสมรภูมินั้นดูเหมือนว่าทุกแห่งหนจะเต็มไปด้วยศัตรู“เกิดอะไรขึ้น?”ชื่อเหยียนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวาย รีบวิ่งออกมาจากกระโจม และเจอกับทหารที่หน้าตาตื่นตระหนกวิ่งมารายงาน“ฝ่าบาท ศัตรูบุกเข้ามาแล้ว! ทั่วทั้งค่ายมีแต่ศัตรู...”ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“อะไรนะ?”ชื่อเหยียนถึงกับใจสั่นไหวในค่ายเต็มไปด้วยศัตรูอย่างนั้นหรือ?หรือศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่จริงๆ?ชื่อเหยียนตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก แต่พยายามบังคับตัวเองให้สงบ แล้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ตีเกราะ! รีบตีเกราะเดี๋ยวนี้! ส่งคำสั่งไปยังทุกกอง ต้องสกัดศัตรูให้ได้ ฆ่าศัตรูแล้วไล่มันกลับไป!”ทันทีที่คำสั่งของชื่อเหยียนถูกส่งออกไป เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วค่าย“ตึง ตึง ตึง...”เสียงกลองที่ดังถี่ยิบเป็นสัญญาณบอกการโจมตีเมื่อได้ยินเสียงกลองดังนี้ กองทหารกุ่ยฟางก็เริ่มโจมตี “ศัตรู”ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาโจมตี ความโกลาหลกลับยิ่งลุกลามเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกลองถี่ยิบดังมาจากกองทัพกุ่ยฟาง ใบหน้าของหย
จนกระทั่งฟ้าสว่างจ้า สนามรบที่อยู่ไกลออกไปจึงค่อยๆ สงบลงทหารกุ่ยฟางหลบหนีอย่างไร้ทิศทาง หยุนเจิงก็ไม่ได้ส่งคนไล่ตามในตอนนี้ ทหารกุ่ยฟางตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่งพวกทหารเหล่านั้นไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ มีเพียงความคิดที่จะเอาชีวิตรอดใครที่ขวางทางพวกเขา พวกเขาก็พร้อมจะสู้ตายถ้าส่งคนไปไล่ตามตอนนี้ พวกเขาจะต้องสูญเสียมากปล่อยให้พวกมันหนีไปก่อน!อย่างไรเสีย พวกมันก็ถอนกำลังอย่างลนลาน แถมยังไม่มีเสบียงติดตัวรอจนพวกมันหมดแรงวิ่ง แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวถึงตอนนั้น อาจไม่ต้องจับตัวพวกมันด้วยซ้ำ แค่พวกทหารที่หนีแตกพ่ายรู้ว่าการยอมแพ้จะทำให้พวกเขามีข้าวกิน พวกมันก็จะเข้ามายอมจำนนเองหยุนเจิงวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันไปสั่งชวีจื้อว่า “รีบพาคนไปกวาดล้างสนามรบ ฆ่าศัตรูที่บาดเจ็บสาหัสให้ตายอย่างรวดเร็ว! ระวังแยกแยะคนของเราให้ดี!”“ขอรับ!”ชวีจื้อรับคำสั่ง แล้วนำคนเข้าไปยังสนามรบที่เต็มไปด้วยความพินาศคนของพวกเขาจะผูกผ้าขาวไว้รอบข้อเท้า เพียงแค่เลิกกางเกงขึ้นมาก็จะมองเห็นแม้ว่าจะเสียเวลาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่จะฆ่าทหารบาดเจ็บฝ่ายตัวเองได้มากที่สุดขณะที่ชวีจื้อนำคนเข้
ทัวต๋า?หยุนเจิงสะดุดใจ ก่อนจะสั่งกองทหารองครักษ์ว่า “ไปตามเหมิงตัวมา ให้เขาตรวจดูว่าคนผู้นั้นคือทัวต๋าหรือไม่!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบรุดไปไม่นาน หยุนเจิงก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนคนผู้นั้นก็คือทัวต๋า ราชาแห่งกุ่ยฟางจริงๆรถม้าของทัวต๋าพลิกคว่ำระหว่างการถอนกำลัง กองทหารกุ่ยฟางที่หนีตายอย่างลนลานอาจไม่ได้สังเกตเห็นทัวต๋าเลยทัวต๋าที่หมดสติถูกหามเข้ามาเมี่ยวอินเงยหน้ามองหยุนเจิงแล้วถาม “ให้ข้าตรวจดูอาการของทัวต๋าก่อนหรือไม่?”“อย่าเพิ่งไปสนใจเขา!”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ช่วยหวังชี่รักษาบาดแผลก่อน!”ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของกุ่ยฟาง นับได้ว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นตามสถานการณ์ปกติ ต่อให้ทัวต๋าตาย กุ่ยฟางก็ควรจะยอมแพ้แล้วหากกุ่ยฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ยังมีวิธีจัดการกุ่ยฟางต่อให้ทัวต๋าตาย ยังมีทัวฮวนและเหมิงตัวอยู่มิใช่หรือ?เพียงแต่ถ้าทัวต๋ายังมีชีวิตอยู่ อาจช่วยลดความยุ่งยากได้บ้างแต่ในใจเขา ชีวิตของทัวต๋าไม่มีค่ามากเท่าชีวิตของหวังชี่เลย“เข้าใจแล้ว!”เมี่ยวอินไม่พูดอะไรอีก และลงมือใช้เส้นด้ายจากลำไส้แกะเย็บบาดแผลของหวังชี่ที่ทำความสะอาดแล้วผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เมี่
บนทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อวี่ซื่อจงและเจียเหยายังคงนำทัพบุกโจมตีพวกเขาใช้กลยุทธ์ในการเดินทัพเช่นเดียวกัน โดยให้กองหน้าเตรียมหญ้าแห้งสำหรับกองหลังอย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกำลังพลของกองทหารมณฑลเหนือและเป่ยหวนเข้าด้วยกัน ก็มีจำนวนถึงสองหมื่นนายทำให้ความเร็วในการบุกโจมตีของพวกเขาช้าลงจากความเร็วในปัจจุบัน พวกเขาต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันถึงจะไปสมทบกับหยุนเจิงได้เมื่ออวี่ซื่อจงนำกองทหารม้า 10,000 นายมาถึงทุ่งหญ้าเล็กๆ ที่เจียเหยากล่าวถึง ทหารกองทหารมณฑลเหนือก็เริ่มปฏิบัติการกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งบางคนเริ่มปล่อยม้าให้เล็มหญ้า บางคนเริ่มเก็บเกี่ยวหญ้าแห้งเพื่อเตรียมไว้ให้กองกำลังเป่ยหวนที่ตามมาบางส่วนรวบรวมถุงน้ำของทุกคนแล้ววิ่งไปยังต้นน้ำเพื่อเติมน้ำอวี่ซื่อจงหยุดพัก หยิบข้าวคั่วกำมือเล็กๆ ใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจหลังจากผ่านไปกว่าชั่วโมง กองกำลังเป่ยหวนที่เป็นกองหลังก็มาถึงขณะนั้น กองทหารมณฑลเหนือได้เตรียมหญ้าแห้งให้ม้าศึกของพวกเขาเรียบร้อยแล้วเมื่อเจียเหยามาหา อวี่ซื่อจงยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง“แม่ทัพอวี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เจี
เมื่อเห็นทั้งสองคน ทหารยามที่อยู่หน้ากระโจมรีบคำนับ“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงโบกมือ แล้วพาเมี่ยวอินเข้าไปในกระโจมแม้ว่าทัวต๋าจะฟื้นสติได้สองสามวันแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงดูแย่มาก แทบไม่มีเลือดฝาด ดูเหมือนคนที่ใกล้สิ้นใจเต็มทีเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ทัวต๋าถามอย่างแผ่วเบา “หยุน... หยุนเจิง?”นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันแต่ทัวต๋าก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือจิ้งเป่ยอ๋อง หยุนเจิง“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพยักหน้า พร้อมจ้องทัวต๋าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคงได้ยินข่าวว่ากองทัพของเจ้าพ่ายแพ้ทั้งสายแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ทราบ ข้าก็ยินดีบอกให้เจ้าฟัง”ทัวต๋ารู้ข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพแนวหน้าแล้วจริงๆอีกทั้ง ยังรู้ด้วยว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างไรแม้ว่าเขาจะไม่เคยออกจากกระโจม แต่ก็ได้ยินทหารยามที่อยู่นอกกระโจมพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อย“เจ้าต้องการ…ให้ข้ายอมจำนนหรือ?”ทัวต๋าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หายใจรัว พร้อมกับคาดเดาจุดประสงค์ของหยุนเจิงได้“ใช่แล้ว!”หยุนเจิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าแ
เช้าวันรุ่งขึ้น หยุนเจิงก็ได้รับข่าวว่าหวังชี่ฟื้นแล้ว“ดียิ่งนัก!”หยุนเจิงตะโกนด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเรียกเมี่ยวอินว่า “เร็ว ไปดูหวังชี่กัน!”พูดจบ หยุนเจิงก็คว้ามือเมี่ยวอินแล้ววิ่งไปยังกระโจมที่หวังชี่อยู่โดยไม่รอคำตอบเมื่อพวกเขามาถึงกระโจม ด้านในก็เต็มไปด้วยผู้คนทั้งหมดเป็นทหารใต้บัญชาของหวังชี่“พอแล้ว พอแล้ว! ออกไปกันก่อนเถอะ ข้างในคนแน่นขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้ว?”หยุนเจิงไล่ทหารที่ล้อมอยู่ในกระโจมให้ออกไปทั้งหมด แล้วให้เมี่ยวอินจับชีพจรของหวังชี่เพื่อตรวจดูว่าอาการบาดเจ็บของเขาเริ่มคงที่แล้วหรือยังหวังชี่รู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยว…”“พอแล้ว อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้!”เมี่ยวอินขัดหวังชี่ก่อนจะตั้งใจจับชีพจรของเขาต่อหยุนเจิงพยักหน้าให้หวังชี่เล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นไม่นาน เมี่ยวอินก็ปล่อยข้อมือของหวังชี่ พร้อมกับถอนหายใจโล่งอกก่อนจะพูดว่า “ชีวิตเจ้าถือว่ารอดมาได้แล้ว! แต่คราวนี้เจ้าบาดเจ็บหนักมาก คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว”หวังชี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเมี่ยวอินอีกครั้ง “ขอบ…ขอบคุณฮูหยินเมี่ยวอิน…ที่ช่ว
หวังชี่ยังคงอยู่ในอาการหมดสติ และมีไข้สูงที่ไม่ลดลงเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าไข้ของหวังชี่เกิดจากร่างกายที่อ่อนแอเกินไป หรือเพราะบาดแผลติดเชื้อเมี่ยวอินเตรียมยาต้มให้คนคอยป้อนหวังชี่ แต่จนถึงตอนนี้ ไข้ของหวังชี่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงขณะที่หยุนเจิงเดินเข้ามาในกระโจม เมี่ยวอินก็กำลังตรวจอาการของหวังชี่อยู่“เป็นอย่างไรบ้าง?”หยุนเจิงถามด้วยความกังวล“ก็เหมือนเดิม ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว!”เมี่ยวอินลุกขึ้นด้วยความอ่อนใจ “หากไข้ของเขาลดลงได้ ก็น่าจะรอดชีวิตได้”สิ่งที่ทำได้ นางได้ทำไปหมดแล้วตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตจำนงในการมีชีวิตรอดของหวังชี่“เข้าใจแล้ว!”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “ไปเถิด ไปเดินเล่นข้างนอกกับข้าหน่อย”เมี่ยวอินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ท่านไปดูทัวต๋ามาหรือยัง?”ทัวต๋าฟื้นสติแล้วแต่ร่างกายยังคงอ่อนแอมาก“ยังไม่ได้ไปเลย!”หยุนเจิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ให้เขาฟื้นตัวก่อนเถิด ถ้าข้าไปคุยกับเขาแล้วเขาโมโหตายไป ข้าก็เสียเวลาพูดเปล่าๆ!”เมี่ยวอินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ “นั่นสิ! ขนาดคนที่แข็งแรงยังแทบทนไม่ไหวกับเงื่อนไขของท่าน แล้วคนที่ใกล้ตายแบบเขายิ
ขณะที่หยุนเจิงได้รับข้อความตอบกลับจากเจียเหยา เขากำลังตรวจสอบรายงานการรบที่ตู๋กูเช่อส่งมาข้อความตอบกลับของเจียเหยานั้นเรียบง่ายมากมีเพียงสองคำรับทราบ!และไม่ได้เขียนเป็นรหัสลับเพียงสองคำนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รหัสลับหยุนเจิงวางข้อความของเจียเหยาทิ้งไว้ข้างๆ และตรวจสอบรายงานการรบของตู๋กูเช่อต่อองค์ชายรองแห่งโฉวฉือ หยวนเว่ย นำกองกำลังป้องกันด่านเทียนฉงทิ้งป้อมหลบหนีในปัจจุบัน จั่วเริ่นได้นำทัพเข้าไปประจำการที่ด่านเทียนฉงแล้วแต่ผลลัพธ์จากการไล่ล่าโหลวอี้ของตู๋กูเช่อและพวกกลับไม่ดีนักแม้ว่านักรบภูตสิบแปดจะสามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างกองทัพโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลในวงกว้าง ทำให้ศัตรูสูญเสียกำลังเพียงสามพันกว่านายเท่านั้นขณะที่ตู๋กูเช่อนำทัพไล่ตาม โหลวอี้ได้นำกองกำลังถอนตัวไปยังพื้นที่ใกล้ชายแดนแคว้นต้าเย่ว์แล้วตู๋กูเช่อนำทัพโจมตี ทำลายศัตรูได้สองพันนาย และจับเชลยได้มากกว่าสี่พันคนกองกำลังใหญ่ของโฉวฉือและแคว้นต้าเย่ว์ถูกโหลวอี้พากลับเข้าไปในแคว้นต้าเย่ว์ตู๋กูเช่อกังวลเรื่องเสบียง จึงหยุดการไล่ล่า และหันไปควบคุมเชลยศึกกล
ขณะเดียวกัน ผู้เลี้ยงเหยี่ยวที่ได้รับข่าวสารก็ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์หญิง! ข่าวจากฝั่งจิ้งเป่ยอ๋องมาถึงแล้ว!”ผู้เลี้ยงเหยี่ยวมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา และส่งข้อความที่ได้รับมาอย่างรวดเร็วเจียเหยารับข้อความนั้น แล้วใช้ไฟจากไม้ขีดจุดกองหญ้าแห้งเล็กๆ เพื่อเริ่มถอดรหัสข้อความกองกำลังของเราสลายกองทัพศัตรูแล้ว ให้รีบมาจับเชลยทางตะวันตกของแม่น้ำหยางฉางข้อความของหยุนเจิงนั้นสั้นกระชับอย่างไรก็ตาม ขณะที่เจียเหยาอ่านข้อความ นางกลับนิ่งอึ้งไปเจียเหยาถูตาอย่างแรง ก่อนจะตรวจสอบข้อความอีกครั้งอย่างละเอียด กลัวว่าตนเองจะถอดรหัสผิดแต่ไม่ว่านางจะถอดรหัสอีกกี่ครั้ง เนื้อหาก็ยังเหมือนเดิมหยุนเจิงนำกองกำลังสลายทัพเจ็ดหมื่นของกุ่ยฟางได้แล้วหรือ?นี่…เป็นไปได้อย่างไร?กุ่ยฟางยังมีกองกำลังถึงเจ็ดหมื่นไม่ใช่หรือ!หยุนเจิงมีกำลังพลแค่หมื่นกว่านาย และในจำนวนนั้นมีทหารม้าเพียงห้าพันเท่านั้น!พวกเขายังไม่ทันโจมตี ยังไม่ได้สมทบกับหยุนเจิงเพื่อโจมตีศัตรู หยุนเจิงก็สลายกองทัพศัตรูได้แล้ว?นี่มันบ้าไปแล้ว!หยุนเจิงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?ถึงแม้ขวัญกำลังใจของกุ่ยฟางจะตกต่ำ ก็ไม่น่าจะถูกทำลายลงได
บนทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อวี่ซื่อจงและเจียเหยายังคงนำทัพบุกโจมตีพวกเขาใช้กลยุทธ์ในการเดินทัพเช่นเดียวกัน โดยให้กองหน้าเตรียมหญ้าแห้งสำหรับกองหลังอย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกำลังพลของกองทหารมณฑลเหนือและเป่ยหวนเข้าด้วยกัน ก็มีจำนวนถึงสองหมื่นนายทำให้ความเร็วในการบุกโจมตีของพวกเขาช้าลงจากความเร็วในปัจจุบัน พวกเขาต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันถึงจะไปสมทบกับหยุนเจิงได้เมื่ออวี่ซื่อจงนำกองทหารม้า 10,000 นายมาถึงทุ่งหญ้าเล็กๆ ที่เจียเหยากล่าวถึง ทหารกองทหารมณฑลเหนือก็เริ่มปฏิบัติการกันเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งบางคนเริ่มปล่อยม้าให้เล็มหญ้า บางคนเริ่มเก็บเกี่ยวหญ้าแห้งเพื่อเตรียมไว้ให้กองกำลังเป่ยหวนที่ตามมาบางส่วนรวบรวมถุงน้ำของทุกคนแล้ววิ่งไปยังต้นน้ำเพื่อเติมน้ำอวี่ซื่อจงหยุดพัก หยิบข้าวคั่วกำมือเล็กๆ ใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจหลังจากผ่านไปกว่าชั่วโมง กองกำลังเป่ยหวนที่เป็นกองหลังก็มาถึงขณะนั้น กองทหารมณฑลเหนือได้เตรียมหญ้าแห้งให้ม้าศึกของพวกเขาเรียบร้อยแล้วเมื่อเจียเหยามาหา อวี่ซื่อจงยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง“แม่ทัพอวี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เจี
ทัวต๋า?หยุนเจิงสะดุดใจ ก่อนจะสั่งกองทหารองครักษ์ว่า “ไปตามเหมิงตัวมา ให้เขาตรวจดูว่าคนผู้นั้นคือทัวต๋าหรือไม่!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบรุดไปไม่นาน หยุนเจิงก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนคนผู้นั้นก็คือทัวต๋า ราชาแห่งกุ่ยฟางจริงๆรถม้าของทัวต๋าพลิกคว่ำระหว่างการถอนกำลัง กองทหารกุ่ยฟางที่หนีตายอย่างลนลานอาจไม่ได้สังเกตเห็นทัวต๋าเลยทัวต๋าที่หมดสติถูกหามเข้ามาเมี่ยวอินเงยหน้ามองหยุนเจิงแล้วถาม “ให้ข้าตรวจดูอาการของทัวต๋าก่อนหรือไม่?”“อย่าเพิ่งไปสนใจเขา!”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “ช่วยหวังชี่รักษาบาดแผลก่อน!”ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของกุ่ยฟาง นับได้ว่าถูกทำลายจนหมดสิ้นตามสถานการณ์ปกติ ต่อให้ทัวต๋าตาย กุ่ยฟางก็ควรจะยอมแพ้แล้วหากกุ่ยฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาก็ยังมีวิธีจัดการกุ่ยฟางต่อให้ทัวต๋าตาย ยังมีทัวฮวนและเหมิงตัวอยู่มิใช่หรือ?เพียงแต่ถ้าทัวต๋ายังมีชีวิตอยู่ อาจช่วยลดความยุ่งยากได้บ้างแต่ในใจเขา ชีวิตของทัวต๋าไม่มีค่ามากเท่าชีวิตของหวังชี่เลย“เข้าใจแล้ว!”เมี่ยวอินไม่พูดอะไรอีก และลงมือใช้เส้นด้ายจากลำไส้แกะเย็บบาดแผลของหวังชี่ที่ทำความสะอาดแล้วผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง เมี่
จนกระทั่งฟ้าสว่างจ้า สนามรบที่อยู่ไกลออกไปจึงค่อยๆ สงบลงทหารกุ่ยฟางหลบหนีอย่างไร้ทิศทาง หยุนเจิงก็ไม่ได้ส่งคนไล่ตามในตอนนี้ ทหารกุ่ยฟางตกอยู่ในอาการคุ้มคลั่งพวกทหารเหล่านั้นไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ มีเพียงความคิดที่จะเอาชีวิตรอดใครที่ขวางทางพวกเขา พวกเขาก็พร้อมจะสู้ตายถ้าส่งคนไปไล่ตามตอนนี้ พวกเขาจะต้องสูญเสียมากปล่อยให้พวกมันหนีไปก่อน!อย่างไรเสีย พวกมันก็ถอนกำลังอย่างลนลาน แถมยังไม่มีเสบียงติดตัวรอจนพวกมันหมดแรงวิ่ง แล้วค่อยส่งคนไปจับตัวถึงตอนนั้น อาจไม่ต้องจับตัวพวกมันด้วยซ้ำ แค่พวกทหารที่หนีแตกพ่ายรู้ว่าการยอมแพ้จะทำให้พวกเขามีข้าวกิน พวกมันก็จะเข้ามายอมจำนนเองหยุนเจิงวางกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันไปสั่งชวีจื้อว่า “รีบพาคนไปกวาดล้างสนามรบ ฆ่าศัตรูที่บาดเจ็บสาหัสให้ตายอย่างรวดเร็ว! ระวังแยกแยะคนของเราให้ดี!”“ขอรับ!”ชวีจื้อรับคำสั่ง แล้วนำคนเข้าไปยังสนามรบที่เต็มไปด้วยความพินาศคนของพวกเขาจะผูกผ้าขาวไว้รอบข้อเท้า เพียงแค่เลิกกางเกงขึ้นมาก็จะมองเห็นแม้ว่าจะเสียเวลาอยู่บ้าง แต่วิธีนี้ช่วยลดโอกาสที่จะฆ่าทหารบาดเจ็บฝ่ายตัวเองได้มากที่สุดขณะที่ชวีจื้อนำคนเข้
เมื่อพวกเขาบุกเข้าไป ความโกลาหลในกองทัพกุ่ยฟางก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปทหารที่ประสาทตึงเครียดถึงขีดสุดสูญเสียความเชื่อใจต่อคนรอบข้าง บนสมรภูมินั้นดูเหมือนว่าทุกแห่งหนจะเต็มไปด้วยศัตรู“เกิดอะไรขึ้น?”ชื่อเหยียนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวาย รีบวิ่งออกมาจากกระโจม และเจอกับทหารที่หน้าตาตื่นตระหนกวิ่งมารายงาน“ฝ่าบาท ศัตรูบุกเข้ามาแล้ว! ทั่วทั้งค่ายมีแต่ศัตรู...”ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“อะไรนะ?”ชื่อเหยียนถึงกับใจสั่นไหวในค่ายเต็มไปด้วยศัตรูอย่างนั้นหรือ?หรือศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่จริงๆ?ชื่อเหยียนตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก แต่พยายามบังคับตัวเองให้สงบ แล้วตะโกนสั่งเสียงดัง “ตีเกราะ! รีบตีเกราะเดี๋ยวนี้! ส่งคำสั่งไปยังทุกกอง ต้องสกัดศัตรูให้ได้ ฆ่าศัตรูแล้วไล่มันกลับไป!”ทันทีที่คำสั่งของชื่อเหยียนถูกส่งออกไป เสียงกลองดังกึกก้องไปทั่วค่าย“ตึง ตึง ตึง...”เสียงกลองที่ดังถี่ยิบเป็นสัญญาณบอกการโจมตีเมื่อได้ยินเสียงกลองดังนี้ กองทหารกุ่ยฟางก็เริ่มโจมตี “ศัตรู”ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาโจมตี ความโกลาหลกลับยิ่งลุกลามเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกลองถี่ยิบดังมาจากกองทัพกุ่ยฟาง ใบหน้าของหย