ชั่วครู่หนึ่ง ฉันถูกบีบให้เข้าสู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าฉันปฏิเสธเขา ฉันจะกลายเป็นคนถ่อยที่เนรคุณคนทันทีแต่ถ้าฉันตอบตกลง ก็กลัวว่าจะเข้าไปพัวพันกับเขาอีก“ฉันไม่บังคับเธอหรอกนะ ถ้าเธอไม่เต็มใจ ก็ลืมมันไปซะเถอะ อย่างที่คิดไว้เลย ทำดีไม่ได้ดีจริง ๆ ด้วย”กู้จือโม่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสายถอนหายใจยาว เสียงนี้เป็นเหมือนกับเสียงของปีศาจที่วนเวียนอยู่ในหัวใจของฉันไม่หยุด“อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงที่นั่น”ขณะที่เขากำลังจะวางสาย ฉันก็ตอบตกลงต่อให้เราจะใกล้ชิดกันสักสองสามวันแล้วจะทำไม ฉันไม่มีทางเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีกับเขาอย่างมากสุด อีกหน่อยก็อยู่ให้ห่างจากเขาเยอะหน่อยฟังจากที่พูดมา เหมือนว่าเขาจะยังไม่ได้กินข้าวเช้า ฉันเลยรีบนั่งแท็กซี่ไปที่ร้านอาหารเช้าใกล้โรงพยาบาล แล้วซื้ออาหารเช้าสองสามอย่างแล้วหิ้วมันไปที่โรงพยาบาลด้วยกันกู้จือโม่ในเวลานี้กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างสง่างาม เขาก็แค่กระดูกมือหัก ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องเข้าแอดมิดในโรงพยาบาลด้วยเมื่อเห็นฉันมาถึง เขาก็เริ่มทักทายฉันทันที“เมื่อวานฉันนอนเฝ้าดูอาการอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ต
นิ้วเรียวยาวของเขากำลังดึงสายกางเกง เหมือนว่าจะเป็นเพราะมือของเขาเข้าเฝือกอยู่ เลยทำให้มัดเชือกได้ยากถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาสวมกางเกงเสร็จแล้ว ฉันคงได้เห็นเขาล่อนจ้อนจริง ๆวินาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองแดงเหมือนกุ้งที่เพิ่งต้มสุกเลย“นาย…”ฉันอยากจะตำหนิเขา แต่ก็รู้สึกเขินอายอย่างมาก จึงหันหลังกลับและรีบวิ่งออกไปให้ตายสิ ทำไมเขาถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ?ฉันที่ยืนอยู่ที่ประตูรู้สึกเหมือนหัวใจตึกตักไม่หยุด ใบหน้าแดงก่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งแดงจนร้อนผ่าวแม้แต่การหายใจก็ยังหอบกระชั้น แทบจะขาดอากาศหายใจอยู่แล้วฉันหลับตาลงอย่างตื่นเต้น แต่ในหัวก็เอาแต่นึกถึงนิ้วยาวของเขาที่กำลังดึงสายกางเกงไม่หยุดมองดูผ้าห่มที่ยังไม่ได้พับซึ่งกองอยู่บนเตียง ฉันก็รีบปรี่ขึ้นไปแล้วพับผ้าห่มผืนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเขาเดินออกมา ฉันถึงได้วางผ้าห่มไว้ข้าง ๆฉันหันหน้าหนีทันที ไม่กล้าเผชิญหน้าเขาส่วนเขารอบตัวกลับปลดปล่อยกลิ่นอายที่เจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของกู้จือโม่ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน“อะไร เธอเขินเหรอ?”น้ำเสียงของเขามีเสน่ห์อย่างมาก ฉันรู้สึกเหมือนว่าขื
ลมหายใจอุ่น ๆ พ่นรดลงมาและกระจายไปโดนใบหูและแก้มของฉันแต่เดิมฉันก็เป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลามีคนมาพูดที่ข้างหู จึงทำให้ฉันยิ่งเขินอายเข้าไปใหญ่ ใบหูแดงก่ำจนเกือบสุกเขายื่นมือออกมากอดฉันไว้ จากนั้นก็ก้มศีรษะลงมาริมฝีปากบางเฉียดผ่านแก้มของฉันไปเบา ๆดวงตาคู่นั้นมันช่างล้ำลึกเหมือนเหมือนจะรวบรวมเอาความเวิ้งว้างของกาแล็กซีไว้ แค่ได้มองครั้งเดียวก็ทำให้คนตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเมื่อเห็นริมฝีปากบางขยับเข้ามาใกล้ฉัน ฉันก็รู้สึกราวกับมีมนต์สะกดมาพันธนาการตัวฉันไว้ ฉันจับเชือกมัดกางเกงนั้นด้วยมือทั้งสองข้างและยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ แม้แต่ลมหายใจก็กระชั้นแทบจะหยุดลงผู้ชายที่เคยทำให้ทั้งชีวิตนั้นของฉันน่าทึ่ง จะไม่หวั่นไหวเมื่อพบเขาเป็นครั้งที่สองได้อย่างไรเมื่อคุณพบใครสักคนที่น่าทึ่งมากเมื่อสมัยยังเด็ก น่ากลัวว่าไม่เพียงแต่คุณจะไม่สามารถลืมมันได้ตลอดทั้งชีวิต แม้ว่าจะมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่อาจหนีพ้นเป็นเหมือนกับกับดักที่ทำให้ใจเต้น และก็เป็นเหมือนตาข่ายความรักที่ผูกมัดผู้คนไว้แน่นโดยไม่รู้ตัวเขากำลังจะจูบปากของฉัน และฉันเองก็แอบคาดหวังนิด ๆ
หลังจากที่เฉินเยวี่ยพูดจบ ฉันก็ตกตะลึงไปสองวินาทีก่อนที่จะกลับมาได้สติอีกครั้งเธอเดินขึ้นมา จับมือของฉันแล้วถามฉันอย่างจริงใจ “ลั่วลั่ว เธอจะอวยพรให้กับฉันและอาโม่ใช่ไหม?"ฉันมองดูท่าทางคาดหวังของเฉินเยวี่ย แล้วดึงมือของตัวเองกลับ“ขอโทษทีนะ ฉันคิดว่าพวกเธอไม่ต้องการคำอวยพรจากฉันหรอก ยังไงพวกเธอก็ต้องมีชีวิตที่ดีมากอยู่แล้ว”“แต่พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันเหรอ?”ฉันอยากจะหัวเราะเล็กน้อย เฉินเยวี่ยเห็นว่าฉันเป็นนางโง่รึไง?ไม่ใช่ว่าฉันจะสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในพักนี้ของกู้จือโม่ไม่ได้ เพียงแต่ว่าถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี ฉันยังจดจำหลักการนี้ได้อย่างขึ้นใจตอนนี้ฉันมีความฝันที่อยากจะทำมันให้สำเร็จแล้ว มีชีวิตที่อยากจะมี ห้วงทุกข์ในอดีต มีแต่จะเตือนฉันว่าให้อยู่ให้ห่างจากเขา“เฉินเยวี่ย” ฉันมองเธออย่างเย็นชาและยิ้ม “สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าเธอกำลังจะกลายเป็นหลานสะใภ้ของตระกูลกู้ และเป็นคู่หมั้นของกู้จือโม่ในเร็ว ๆ นี้หรอกเหรอ?”“ทำไมฉันถึงมองเห็นความหวาดกลัวจากในสายตาของเธอกันล่ะ?”ฉันเปิดโปงความคิดของเฉินเยวี่ยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ใบหน้าที่ไร้เดียงสานั้นฉับพลันจึงบิดเบี้ย
ฉันจับมือของเธอลงมาแล้วส่ายหัว "เปล่า วันนี้ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ"“แล้วพวกนั้นล่ะ?”“ไม่รู้สิ น่าจะใกล้กลับมาแล้วมั้ง พวกนั้นออกไปช้อปปิ้ง ฉันไม่ได้ไปด้วย แค่ไปเดินเล่นที่สนามกีฬาน่ะ”“โอเค งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”“ไปเถอะ ถ้ารู้สึกไม่ดีก็รีบเก็บของและพักผ่อนซะนะ”หลังจากที่ฉันออกจากห้องน้ำ ทุกคนก็กลับมาแล้ว ฉันพูดหยอกล้อกับพวกเธออีกสักพัก แล้วจึงขึ้นเตียงนอนประมาณสี่ทุ่ม กู้จือโม่ก็ส่งข้อความมาบอกให้ฉันไปที่โรงพยาบาลในเช้าวันพรุ่งนี้ เพราะพยาบาลพิเศษติดธุระบางอย่างเลยจะไม่มาทำงานแล้วฉันมองดูตัวอักษรบนหน้าจอแต่ละแถว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันน่าหัวเราะเขากำลังจะหมั้นหมายกับเฉินเยวี่ย แต่ก็ยังมาเกาะแกะฉันอีก นี่เขาหมายความว่ายังไง?ฉันซุกโทรศัพท์ไว้ใต้หมอน หลับตาแล้วพยายามทำให้ตัวเองหลับไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเที่ยงคืน ฉันก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโอนเงินไปให้กู้จือโม่ก้อนหนึ่ง จากนั้นก็บล็อกวีแชทของเขาไปตลอดคืนไร้ซึ่งความฝันเนื่องจากเพิ่งจะเปิดเทอม ตารางเรียนของพวกเราจึงยังไม่ออกมาโดยส่วนใหญ่ทุกคนจึงว่างกันมากฉันเพิ่งจะมองหางานพาร์ทไทม์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเสื้อผ้าผ่
ฉันกำหมัดไว้ข้างหลังตัวเอง ในขณะที่น้ำเสียงเย็นชา “ก็อย่างที่นายเห็นนั่นแหละ”“เธอบล็อกฉันเหรอ?”กู้จือโม่ถามด้วยสีหน้าที่เข้มขึ้นฉันมองเขาแล้วยิ้ม “ก็เห็น ๆ กันอยู่นี่ไง”สีหน้าของกู้จือโม่จากหม่นหมองกลายเป็นเคร่งเครียด ดวงตาของเขาจ้องมาที่ฉันเหมือนจะเผาฉันให้เป็นจุณ มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาฉันเริ่มรู้สึกกลัวโดยสัญชาตญาณ จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวแต่ในทันทีนั้นเอง มือใหญ่มาก็วางลงบนบ่าของฉันฉันหันกลับไปมอง ก็พบลั่วอี้ฝานยืนอยู่ เขามองฉันด้วยดวงตาแฝงไปด้วยความสนุกสนาน“อรุณสวัสดิ์นะ ที่รักของฉัน”ฉันเงียบ “...”ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำเรียกของลั่วอี้ฝาน แล้วส่งสายตาให้เขาปล่อยมือจากไหล่ฉันแต่เขากลับเลิกคิ้วขึ้น เหมือนจงใจไม่ยอมปล่อยการที่ฉันกับลั่วอี้ฝานเงียบกันแบบนี้ ในสายตาของกู้จือโม่คงดูเหมือนว่าเรากำลังหยอกล้อกันกู้จือโม่ใช้มือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกจับข้อมือของฉัน ในขณะเดียวกันลั่วอี้ฝานก็เหมือนจะรู้ทัน เขาก็จับข้อมือของฉันอีกข้างไว้เช่นกันทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างแรงราวกับอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตอนนี้เป็นเวลาประมาณเก้าโมงเช้า นักศึกษาท
ฉันเดินใต้ร่มไม้ไปสักพัก กลิ่นหอมของต้นไม้และใบไม้รอบตัวทำให้จิตใจของฉันสงบขึ้น“วันนี้เธอมีเรียนไหม?” ลั่วอี้ฝานวิ่งตามมาจากข้างหลัง “ฉันจะพาเธอไปกินของอร่อย”ในช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับลั่วอี้ฝานเริ่มซับซ้อนขึ้น มันไม่ใช่ทั้งเพื่อนและก็ไม่ใช่แค่คนรู้จักฉันยังจำความเจ็บปวดที่เขานำมาให้ฉันในชาติก่อนได้ชัดเจน แต่ในชาตินี้ฉันก็เห็นว่าเขากำลังช่วยฉันหลายอย่าง“ฉันไม่อยากไปกินกับนาย” ฉันหยุดเดินและรอให้เขาเดินมาถึง “อีกอย่าง ฉันไม่ได้ชอบกู้จือโม่และยิ่งไม่ได้ชอบนายด้วย ดังนั้นถ้ามีปัญหาอะไรก็แค่ทำเป็นไม่รู้จักฉันก็พอ”ฉันพูดจบแล้วก็ไม่สนใจสีหน้าของลั่วอี้ฝาน ก่อนจะเดินจากไปทันทีการเรียนในสาขาออกแบบเสื้อผ้าไม่เข้มงวดมาก ส่วนใหญ่ไม่ต้องเรียนในห้องเรียนช่วงเช้าเราต้องไปดูขั้นตอนการผลิตผ้าที่โรงงาน จนถึงเที่ยงถึงได้กลับมาพอกลับมาถึงมหาวิทยาลัย โรงอาหารก็หมดเวลาอาหารกลางวันไปแล้วฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จึงตัดสินใจไม่ทานอาหารกลางวัน และกลับห้องพักทันทีระหว่างทางฉันได้รับสายจากเฉิงเฉิงเฉิงเฉิงต้องฝึกทหารนานกว่าเรา ช่วงนี้เธอยังอยู่ในการฝึกเดินแถวอยู่เลยเธอโทรมาหาฉันระหว่าง
เมื่อคืนฉันฝันร้ายตลอดทั้งคืนเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าก็เลยรู้สึกปวดหัวและเวียนหัว สมองมึนงงไปหมด สภาพโดยรวมไม่ค่อยดีนักฉันทำทุกอย่างด้วยความงุนงง ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นหยิบกระเป๋าเตรียมไปเรียนจู่ ๆ เจี่ยนซินที่นั่งอยู่บนเตียงก็เรียกฉันไว้ “ลั่วลั่ว เธอจะไปไหนเหรอ?”“ฉันจะไปเรียน” ฉันหันกลับไปมองพวกเธอ เห็นว่าเจี่ยนซินและหลี่เสี่ยวอวี่ยังใส่ชุดนอนอยู่ จึงรู้สึกแปลกใจ “จะเก้าโมงแล้วนะ ทำไมพวกเธอยังไม่ลุกกันล่ะ ไม่กลัวสายเหรอ?”หลี่เสี่ยวอวี่กับเจี่ยนซินหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะเจี่ยนซินสวมรองเท้าแตะแล้วรีบเดินมาหาฉัน เธอยื่นมือมาจับหน้าผากฉัน “เด็กคนนี้ก็ไม่ได้เป็นไข้นี่นา”หลี่เสี่ยวอวี่พูดขึ้น “ซิงลั่ว วันนี้วันเสาร์นะ”ฉันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันแขวนกระเป๋าไปที่ตะขอ แล้ววิ่งไปกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว “เยี่ยมไปเลย งั้นฉันจะนอนต่ออีกหน่อย”ครั้งนี้ฉันหลับลงอย่างรวดเร็ว และไม่มีฝันร้ายอีกแล้วฉันตื่นขึ้นเพราะถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกหัวหน้าชมรมโทรมาบอกว่าเย็นนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่หัวหน้าชมรมพูดต่อไป ฉันคิ
บนใบหน้าของลั่วอี้ฝานมีแววประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายกับได้เจอเพื่อนรู้ใจที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้อาวุโสหนานก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “สาวน้อย เธอเล่นหมากรุกเป็นไหม?” จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ฉันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วตอบว่า “เคยเล่นในมือถือไม่กี่ครั้งเองค่ะ ดูเหมือนว่าจะเล่นไม่เป็นค่ะ” ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งดูเหมือนผู้อาวุโสหนานจะชอบความตรงไปตรงมาของฉันเช่นกัน ท่านโบกมือเรียกฉันพร้อมพูดว่า “มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหา นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก ผู้อาวุโสหนานอธิบายกฎของหมากล้อมให้ฉันฟัง ฉันตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ไม่นานนักผู้ช่วยก็เอากระดานหมากรุกชุดใหม่มาให้ ผู้อาวุโสหนานส่งหมากสีดำให้ฉันพร้อมพูดว่า “ลองดูไหม?” ฉันรับมาก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจปนลังเลว่า “แต่คุณปู่ต้องอย่าโกรธจนปาแผ่นกระดานนะคะ” “แล้วก็ห้ามไล่พวกเราออกไปด้วยนะคะ”ฉันกอดถ้วยหมากล้อมไว้ มือขวาหยิบหมากสองตัวขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “แม่น้ำแยงซีคลื่นลูกเก่าผลักดันคลื่นลูกใหม่ คุณต้องให้โอกาสพวกเราเติบโตบ้างนะคะ” ความจริงตอนที่พูดคำพวก
ออกจากบ้านเดิมตระกูลเฉียว ฉันกับลั่วอี้ฝานขึ้นรถแล้วจากไปทันทีที่ขึ้นรถเสียงหยอกล้อของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นทันที "เฉียวซิงลั่ว เธอเตรียมตัวมาดีจริง ๆ ถึงขั้นพกเครื่องรูดบัตรมาเลยเหรอ? ในกระเป๋าเธอคงไม่ได้ใส่เครื่องนับเงินมาด้วยใช่ไหม? เอามาให้ฉันดูหน่อยสิ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง"มือข้างหนึ่งของเขายื่นมาตรงหน้าฉันฉันตบมือลงบนฝ่ามือของเขาเสียงดัง "เพียะ!" พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญ "ฉันจะพกเครื่องนับเงินไปทำไมกันล่ะ"แถมหลี่เหม่ยอิงก็คงไม่พกเงินสดหนึ่งร้อยล้านบาทมาให้ฉันหรอกโง่จริง ๆ"นี่" ฉันคลายมือออก เผยให้เห็นบัตรเอทีเอ็มที่อยู่ด้านล่างลั่วอี้ฝานตาเป็นประกายทันที เขาหยิบบัตรเอทีเอ็มขึ้นมา พร้อมกับอุทานอย่างตกใจว่า “นี่มันไม่ใช่หนึ่งร้อยล้านบาทที่หลี่เหม่ยอิงให้เธอหรอกเหรอ?!”"ใช่แล้ว เอาไว้เป็นเงินสำรองสำหรับบริษัท""ดีขนาดนี้เชียว?" ลั่วอี้ฝานเลิกคิ้วฉันตอบ "ใช่ บริษัทมีปัญหา ฉันก็ช่วยได้แค่เรื่องเงินนี่แหละ""ว่าแต่ พรุ่งนี้ไปเจอผู้อาวุโสหนาน นายเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ"ฉันมองไปที่ลั่วอี้ฝานเขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ส่วนฉันก็แค่ช่วยเปิดทางเล็กน้อยถ้าเขาไม่ไป โครง
เมื่อมองเฉียวซิงอวี่ ฉันเผลอคิดเพลินไปว่าที่จริงแล้วเธอก็โชคดีไม่น้อยไม่ว่าจะอย่างไร หลี่เหม่ยอิงก็ยังรักเธอและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้สิ่งที่ดีที่สุดแม้ฉันจะเคยด่าว่าเธอทั้งโง่ทั้งไร้เดียงสา แต่บางทีความโง่และไร้เดียงสาแบบนี้อาจเป็นความสุขอย่างหนึ่ง“ฉันง่วงแล้ว จะไปนอนก่อน” ฉันลุกขึ้น ไม่สนใจลั่วอี้ฝาน “ถ้านายไม่กลับบ้านคืนนี้ ก็ไปนอนที่ห้องรับรองแล้วกัน”……เช้าวันรุ่งขึ้นฉันกับลั่วอี้ฝานพาบอดี้การ์ดคุมตัวเฉียวซิงอวี่กลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลเฉียว ในตอนที่ไปถึงหลี่เหม่ยอิงก็รออยู่ที่นั่นด้วยสีหน้ากระวนกระวายเฉียวซิงอวี่อุทานออกมาด้วยความดีใจ “แม่คะ!”“ซิงอวี่!” หลี่เหม่ยอิงรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเราโดยไม่ทันคิด“หยุดอยู่ตรงนั้น!”ลั่วอี้ฝานตะโกนห้าม น้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยการข่มขู่ “ถ้าคุณกล้าเข้ามาอีกก้าวเดียว เราจะไม่ออมมือกับเธอ”หลี่เหม่ยอิงหยุดการเคลื่อนไหวทันที ดวงตามองฉันอย่างเย็นชา ราวกับงูพิษที่กำลังแลบลิ้น "เฉียวซิงลั่ว การลักพาตัวมันผิดกฎหมายนะ!"“แล้วการเอาน้ำกรดมาสาดคนอื่นไม่ผิดกฎหมายหรือไง?” ฉันสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาหลี่เ
ฉันโทรหาหลี่เหม่ยอิงครั้งแรกเธอไม่รับ ฉันจึงโทรซ้ำอีกครั้งเสียงของหลี่เหม่ยอิงเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเธอรับสาย “เฉียวซิงลั่ว นางเด็กสารเลว พ่อเธอตายเพราะเธอแล้ว ยังจะโทรมาหาฉันอีกทำไม!”ฉันไม่ได้ตอบอะไร ทว่าใช้เล็บที่เพิ่งทำใหม่ขึ้นมาแตะใบหน้าที่แดงก่ำจากการถูกตบของเฉียวซิงอวี่เฉียวซิงอวี่ร้องไห้ออกมาทันที “แม่คะ ช่วยหนูด้วย!”หลี่เหม่ยอิงเงียบไปชั่วขณะก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันที “ซิงอวี่เหรอ? เฉียวซิงลั่ว เธอทำอะไรลูกสาวฉัน!”“หึ” ฉันหัวเราะเยาะ เอาโทรศัพท์แนบหู “คุณป้าพูดผิดแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่ฉันที่ทำอะไรน้องสาวตัวเอง คุณป้าน่าจะถามลูกสาวที่แสนดีมากกว่าว่าเธอทำอะไรฉัน”“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง... ไม่สิ” ฉันหยุดคิดและเผยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง เจอกันที่บ้านเดิมตระกูลเฉียว” พูดจบ ฉันก็ตัดสายทันที…… ที่อะพาร์ตเมนต์หลี่เสี่ยงลั่วอี้ฝานมัดมือและเท้าของเฉียวซิงอวี่ แล้วโยนเธอไว้ที่ระเบียงเฉียวซิงอวี่ยังคงร้องไห้เสียงดัง “เฉียวซิงลั่ว ปล่อยฉันนะ! เธอไม่มีสิทธิ์มาจับฉัน! ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”ฉันรำคาญเสียงร้องไห้ของเธอ จึงเดินไปที่ครัว เพื่อหยิบผ้าขี้ริ้วออกมา
เมื่อเห็นว่าฉันปลอดภัย ลั่วอี้ฝานจึงลากร่างของคนที่สาดน้ำกรดใส่ฉันขึ้นมาฉันเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ยกมือขึ้นถอดหน้ากากของคนร้ายทันใดนั้นเองใบหน้าของเฉียวซิงอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน"เฉียวซิงอวี่?"ฉันจ้องมองใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำ เธอตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “ทำไมเธอไม่ไปตายซะ! เฉียวซิงลั่ว ทำไมเธอไม่ไปตายซะ!""แกทำลายพ่อฉัน ทำลายครอบครัวฉันจนพังพินาศ!""เฉียวซิงลั่ว นางสารเลว! ไปตายซะ!""ฉันไม่น่าจะใช้แค่น้ำกรดสาดแก ฉันควรจะเอามีดแทงแกให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ!"ใบหน้าฉันเริ่มเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซิงอวี่ เมื่อเธอพูดจบฉันก็ยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มีฉันใส่แรงทั้งหมดลงไปในฝ่ามือนั้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฉียวซิงอวี่แดงก่ำและบวมขึ้นทันที หมวกที่เธอสวมหล่นลงพื้น เผยให้เห็นผมยาวสยายฉันมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เธอคนที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกับฉันเมื่อครั้งที่อยู่บนเรือ ฉันเคยรู้สึกผิดที่ทำร้ายเธอ เพราะต้องการปกป้องตัวเองจากแผนการของเฉียวเจี้ยนกั๋ว แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกดีใจที่ครั้งนั้นฉันไม่ลังเลที่จะลงมือสำหรับคนในตระกูลเฉียว นอกจากคุณ
เมื่อพูดจบผู้อาวุโสหนานก็เดินจากไปสีหน้าของประธานหลี่ย่ำแย่จนเกินจะบรรยาย อีกไม่นานก็มีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนผู้ช่วยเดินเข้ามาหาเขาและกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู จากนั้นเขาก็สะบัดมือออกจากมือของคุณหนูคนนั้นอย่างแรงเพราะสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ คุณหนูคนนั้นจึงถูกสะบัดจนเสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที แถมยังทำเครื่องดื่มบนโต๊ะข้าง ๆ หกใส่ตัวเองจนเปียกโชกไปทั้งชุดอีกเสื้อผ้าชุดใหม่ของเธอเปียกชุ่มจนดูน่าเวทนา ใบหน้าแสดงออกทั้งความอับอายและความโกรธ แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้“นี่มันอะไรกัน! กล้าทำตัวแบบนี้ใส่คนอย่างผู้อาวุโสหนานอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอคงไม่ได้เฉียดเข้ามาในงานนี้หรอก!”ประธานหลี่กดเสียงต่ำ คำพูดที่ออกมาล้วนหยาบคายและน่ารังเกียจสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่พวกเขา ประธานหลี่รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นคนสุภาพนุ่มนวล ยื่นมือพยุงคุณหนูขึ้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ทำไมถึงไม่ระวังเลย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เสื้อผ้าก็เลอะหมดแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”พูดจบเขาเรียกพนักงานเสิร์ฟมาถามหาห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพาหญิงสาวออกจากงานไปลั่วอี้ฝานขมวดคิ้วพลางเอ่ยเบา ๆ “ผีเน่ากับโลงผุจริง
ฉันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบา ๆไม่นานนักฉันกับลั่วอี้ฝานก็เดินมาถึงห้องจัดเลี้ยง เสียงดนตรีไพเราะบรรเลงไปทั่ว ผู้คนต่างจับกลุ่มกันพูดคุยหรือเดินถือแก้วแชมเปญไปมา ทั้งหมดต่างต้องการใช้โอกาสในงานเลี้ยงนี้เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเองซึ่งฉันกับลั่วอี้ฝานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันเพราะปกติฉันไม่ค่อยออกสังคม ลั่วอี้ฝานจึงพาฉันไปทำความรู้จักกับคนอื่น ๆเพิ่งแนะนำตัวกับบางคนเสร็จ ลั่วอี้ฝานก็เหลือบมองเป้าหมายอีกคนที่สะดุดตาเข้าอย่างจังเขาใช้ศอกสะกิดฉันเบา ๆ ฉันจึงมองตามสายตาของเขาแล้วพูดว่า "ประธานสวีก็มาเหมือนกัน ไปกันเถอะ เราไปทักทายเขาหน่อย"“ได้สิ”ลั่วอี้ฝานพาฉันเดินไปหาประธานสวี แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเราฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ และเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ฉันก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นนี่คงเป็นผลกระทบจากการช่วยเหลือครั้งนั้น“เธอคนนี้แหละ”หญิงสาวผู้ดีคล้องแขนชายคนหนึ่งไว้ แล้วชี้มาที่ฉันพร้อมกับทำเสียงออดอ้อนว่า “ประธานหลี่ต้องช่วยฉันเอาคืนเธอให้ได้นะคะ”“กล้านักนะ กล้ารังแกคนของหลี่ซู่คนนี้ได้ยังไง?” ประธานหลี่มอง
เมื่อแขกที่ผ่านไปมาต่างหยุด ทว่าไม่มีใครออกหน้ามาช่วยพูดแทนชายชราเลยแม้กระทั่งคนที่เห็นชัดเจนว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวคนดังกล่าวเดินไม่ระวังเองชายชราถูกต่อว่าจนหน้าแดง แต่ยังคงกล่าวขอโทษต่อไป “ขอโทษนะ คุณหนู ชุดของเธอราคาเท่าไหร่ ฉันจะชดใช้ให้...”“ผู้หญิงคนนี้นี่น่ารังเกียจจริง ๆ” ลั่วอี้ฝานขมวดคิ้ว มองดูความวุ่นวายตรงหน้าฉันหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างชายชรา แล้วส่งยิ้มให้คุณหนูคนดังกล่าวพลางพูดว่า "เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณปู่นะคะ"จากนั้นฉันหันกลับไปเผชิญหน้าหญิงสาวที่แต่งหน้าอย่างประณีต พร้อมชี้ไปที่กล้องด้านบน “ที่นี่มีกล้องวงจรปิด อยากให้เราเรียกมาตรวจดูไหมว่าใครกันแน่ที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ?”หญิงสาวมองฉันด้วยความประหลาดใจ “เธอเป็นใคร?”“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก สำคัญคือต้องเรียกดูภาพจากกล้องวงจรปิด” ฉันหันไปส่งสัญญาณให้ลั่วอี้ฝานลั่วอี้ฝานเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นฉันส่งสายตามาให้ เขาก็เข้าใจทันที ก่อนเรียกพนักงานคนหนึ่งมา “ไปตามผู้จัดการของพวกคุณมา”สมแล้วที่เป็นหุ้นส่วนของฉัน เข้าขากันได้ดีไม่มีที่ติฉันขยิบตาให้ลั่วอี้ฝานด้วยความพอใจเขาย
ฉันง่วงมากจนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน พอรู้ตัวอีกที เสียงของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นปลุกฉัน“ซิงลั่ว ตื่นเถอะ”ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงงงวย มองไปรอบ ๆ อย่างสับสนดูเหมือนว่าเราจะจอดอยู่หน้าร้านเช่าชุดราตรี ฉันเปิดประตูรถลงไปถามว่า “มาที่นี่ทำไม?”“ลืมแล้วเหรอ?”เสียงของลั่วอี้ฝานดังขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ลืมจริง ๆ เหรอ?”“อ๋อ” ฉันพึ่งจะนึกออก หลังจากที่เขาโทรมาบอกตอนกลางวันว่า ตอนเย็นจะพาฉันไปเจอใครบางคน ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเราคือไปร่วมงานเลี้ยงไม่นานนัก เราก็เลือกชุดราตรีจากร้านเสื้อผ้าได้หนึ่งชุด พร้อมทั้งจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อออกมาจากร้านชุดราตรี รถเบนท์ลีย์สีดำสำหรับนักธุรกิจจอดรออยู่ตรงหน้าฉันลั่วอี้ฝานผายมือเชิญอย่างสุภาพ ฉันหันไปมองเขาพลางถาม “เปลี่ยนรถแล้วเหรอ?”“อืม” เขาดูเวลาที่นาฬิกา จากนั้นเปิดประตูรถ “เร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”บนรถ เขาเพิ่งเล่าให้ฉันฟังว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขยายทีมงานเพิ่มขึ้น ทั้งจ้างคนขับรถและพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเล่าถึงครั้งหนึ่งที่เขาไปเจรจาธุรกิจ แต่ถูกยกเลิกการนัดหมาย เพราะแต่งตัวไม่เป็นทางการและรถที่ใ