“ส่วนบุตรในครรภ์ของนางนั้น ในเมื่อวัตุดิบหลักของยามาอยู่ตรงหน้า หม่อมฉันจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร?”“ลั่วจิ่วหลี! รสชาติของหญ้าเซิงเฉ่าอูเป็นอย่างไรหรือ ยังไงซะอ๋องเจาก็เป็นคนป้อนมันให้เจ้ากับมือเชียวนะ ฮ่าๆ ๆ!”เยียนทิงเหลียนหัวเราะเยาะอย่างชั่วร้าย นางมองไปยังลั่วจิ่วหลีที่หน้าตาถอดสีและแทบอยากจะฆ่านางให้ตายคามือ นางจึงกล่าวเย้ยหยัน“แต่ถึงเจ้ารู้แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า? เจ้าไม่กล้าฆ่าข้า และต่อให้เจ้ากล้าก็ฆ่าข้าไม่ได้อยู่ดี”“แม้แต่ท่านอ๋องเก้า ก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าฆ่าข้าหรอก ข้ากับอ๋องเจากินพิษรักเข้าไป หากข้าตาย อ๋องเจาก็จะตายด้วยเช่นกัน”นี่คือไพ่ไม้ตายของนาง อ๋องเจาเป็นผู้ที่ไทเฮารักสุดหัวใจ อีกทั้งยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหูกุ้ยเฟย หากฆ่าเขาก็เท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูกับไทเฮา หูกุ้ยเฟย และจวนสมุหพระกลาโหมลั่วจิ่วหลีที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเสียงเย็น ราวหิมะที่โปรยออกมาจากริมฝีปาก ความแข็งกร้าวระหว่างดวงตาและคิ้วโค้งแผ่ซ่านออกมา ดุจพายุที่ใกล้จะมาเยือนนางสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย เพื่อหยิบมีดผ่าตัดที่บางเฉียบราวกับปีกจักจั่น“หากข้าจะทำสิ่งใดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะเข้ามาขัดขวาง
เซียวหมิงเสวียนมุ่นคิ้ว ก่อนที่นางจะล้มลงกับพื้น เขาพลันคว้าจับมือของนางไว้ทันท่วงที ก่อนจะก้มลงไปช้อนอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน “นายท่าน” ฉินอิ่นสงบจิตใจลง พลางเร่งรุดก้าวไปข้างหน้า ในยามที่มองลั่วจิ่วหลีที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของนายท่านแล้ว ก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เนื่องจากยากที่จะเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ ความจริงนั้นมาเยือนอย่างฉับพลันไม่ทันได้ตั้งตัว พวกเขาลอบสืบหาตัวสตรีนางนั้นนานกว่าแปดเดือน กลับไร้ซึ่งเบาะแสใด ๆ คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะกลายเป็นคุณหนูรองตระกูลลั่ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่หาตัวไม่พบ เพราะแม้แต่คุณหนูรองตระกูลลั่วเองยังถูกเยียนทิงเหลียนลบความทรงจำ ตัวนางเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วคนนอกจะรู้ได้อย่างไร เมื่อครู่นี้เพียงเพื่อไม่ให้ทำร้ายคุณหนูรองตระกูลลั่ว นายท่านจึงทำเพียงหลบเลี่ยงและป้องกันการโจมตี ไม่กล้ารวบรวมพลังภายใน และไม่กล้าลงมือแรง ๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่วิถีการต่อสู้ของนายท่านเลย ใบหน้าที่ถือตนและเย็นชาของเซียวหมิงเสวียนถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำค้างแข็ง เขามองเยียนทิงเหลียนเหมือนมองคนตายคนหนึ่งเท่านั้น แตกต่างจากเยียนทิงเหลี
“ท่านฉิน เหตุใดท่านฉินจึงมาที่นี่เล่า ท่านอ๋องมาด้วยหรือไม่ขอรับ?” ฉินอิ่นนั่งอยู่บนรถม้า “อย่ามัวพูดจาเหลวไหล รีบไปเปิดประตูด้านหลังเดี๋ยวนี้” เนื่องจากประตูด้านหลังไม่มีธรณีประตู จึงสามารถแล่นรถม้าเข้าไปได้โดยตรง เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินคำสั่ง ก็วิ่งหายวับเพื่อไปเปิดประตูด้านหลังทันที “เชิญท่านฉินขอรับ” รถม้าทั้งสองคัน แล่นเข้าสู่ด้านในเขตเรือนรับรองตามลำดับ ฉินอิ่นโบกมือให้สัญญาณแก่เหล่าองครักษ์ ทันใดนั้นองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยก็หันหลังเพื่อเฝ้าพิทักษ์ทั้งในและนอก ตลอดจนทั้งซ้ายและขวา แม้แต่ทางเข้าของเรือนรับรองก็ยังได้รับการคุ้มกัน องครักษ์ที่มาด้วยกันเหล่านี้ล้วนเป็นองครักษ์ลับของจวนอ๋องเก้า โดยแสร้งแต่งกายด้วยเครื่องแบบองครักษ์ มีไว้เพื่ออารักขาอ๋องเก้าโดยเฉพาะ ฉินอิ่นกระโดดลงจากรถม้า และยืนอยู่ด้านนอกรถม้า “นายท่าน มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ “อืม” ภายในรถม้า เซียวหมิงเสวียนตอบรับอืมเบา ๆ ฉินอิ่นได้เปิดประตูรถม้าไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาแค่เดินลงจากรถม้าโดยมีลั่วจิ่วหลี่ที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขน เรือนรับรองแห่งนี้และห้องนี้ นายท่านไม่เคยปล่อยให้คนนอกไ
“ลั่วจิ่วหลี...” ลั่วจิ่วหลีผู้ที่ยังไม่ได้สติพลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งมาพูดพล่ามไม่หยุดอยู่ที่ข้างโสต กระนั้นนางก็ไม่สามารถขัดจังหวะมันได้เลย และไม่อาจจะหลุดพ้นได้ด้วย ราวกับว่านางถูกเถาวัลย์พันไว้อย่างแน่นหนาก็มิปาน ดิ้นรนไปก็ไร้เรี่ยวแรง มีเสียงนับไม่ถ้วนดังมาจากทั่วทุกสารทิศ และมีแสงดารานับไม่ถ้วนระเบิดต่อหน้าต่อตาของนาง นางได้เห็นอ๋องเจาตวาดลั่นใส่นาง กล่าวหาว่านางตั้งครรภ์ลูกนอกสมรส นางเห็นเยียนทิงเหลียนที่ดวงตาหนึ่งข้างมืดบอด กำลังหัวเราะเยาะนางว่าหญิงชั้นต่ำที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว เหตุใดไม่ตาย ๆ ไปเสีย นางเห็นลั่วจิ่วหลีกำลังอุ้มทารกน้อยเอาไว้ พลางโบกมืออำลาให้นาง นางเห็นเพื่อนนักโบราณคดีกำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง สีหน้าโศกเศร้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อสายตาเลื่อนไปที่หลุมศพนั้น และเห็นคำว่าลั่วจิ่วหลีสามคำที่สลักบนป้ายสุสาน นางพลันรู้สึกราวกับว่าตกลงไปในอุโมงค์ที่เก็บน้ำแข็ง เพราะนั่นคือชื่อของนางเอง “ไม่นะ ไม่ ฉันยังไม่ตาย ฉันยังไม่ตาย” นางร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง ร้องเรียกสุดชีวิต นางอยากจะบอกเพื่อนนักโบราณคดีว่า นางอยู่ตรงนี้ นางอยู่ที่นี่ แล
ในเวลาเดียวกัน ได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิวของลูกศรเพลิงที่แหลมคมถูกยิงทะลุผ่านอากาศเข้ามาในห้อง แผดเผาโต๊ะและเก้าอี้ไม้ในห้องให้ลุกไหม้ทันตาเห็น ประตูห้องพลันถูกใครคนหนึ่งเปิดออกจากด้านนอก “นายท่าน มีคนโจมตีเรือนรับรองพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอิ่นถือดาบยาว และยืนอยู่นอกห้องนอน ภาพที่ได้เห็นคือนายท่านและคุณหนูรองตระกูลลั่ว กำลังประมือกันในลักษณะที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง “พูดมา” นัยน์ตาของเซียวหมิงเสวียนเย็นชา ฉินอิ่นก้มศีรษะลง รีบรายงาน “มีหน่วยกล้าตายชุดดำบุกเข้ามาในเรือนรับรองทั้งสิ้นสิบหกคน ล้วนไม่ทราบตัวตน และมีวิทยายุทธแกร่งกล้า เป้าหมายของคนเหล่านั้นคือเยียนทิงเหลียนพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอิ่นรายงานอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งคำที่เหลวไหลแม้เพียงคำเดียว เซียวหมิงเสวียนแสยะยิ้มเย็นชา ก่อนจะช้อนอุ้มลั่วจิ่วหลีขึ้นมาแล้วก้าวลงจากเตียง ในเวลาเช่นนี้ ลั่วจิ่วหลีก็รู้ว่าไม่สามารถใช้อารมณ์แง่งอนได้ “ท่านอ๋อง ได้โปรดรีบวางหม่อมฉันลงด้วยเพคะ แม้ว่าวรยุทธ์ของหม่อมฉันไม่ดีเท่าพวกท่าน ทว่ายังสามารถช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย ยิ่งไปกว่านั้น มือของท่านยังบาดเจ็บอยู่ด้วย” “เฮอะ ตอนนี้เพิ่งจะร
“อั่ก!” ลั่วจิ่วหลีรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะอาเจียนออกมา ส่วนหน่วยกล้าตายชุดดำที่เหลือ ก็ดูเหมือนจะถูกควบคุมด้วยพิษกู่เช่นกัน ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บแค่ไหน และไม่ว่าจะมีอาวุธอยู่ในมือหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดล้วนพุ่งมาข้างหน้า ในพริบตาเดียว เรือนรับรองพลันกลายเป็นสมรภูมิเลือด ลั่วจิ่วหลีไม่เข้าใจ เหตุใดเซียวหมิงเสวียนยืนกรานที่จะอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน เนื่องจากสิ่งนี้ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาด้อยลงในระดับหนึ่ง แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของบุรุษผู้นี้จะสูงทะลุมาตรฐาน ทว่านางก็ไม่ต้องการจะเป็นภาระให้เขา ในยามนี้ ณ จุดที่อยู่ไม่ไกลจากเขานั้น มีองครักษ์คนหนึ่งของจวนอ๋องเก้ากำลังสังหารหน่วยกล้าตายชุดดำ ทว่าหน่วยกล้าตายถูกควบคุมด้วยพิษกู่และบีบแขนของเขาไว้แน่น ก่อนจะใช้เล็บแหลมคมจิกเอาไว้ในเวลาเดียวกับที่บินออกไป ทำให้แขนเสื้อขององครักษ์ถูกตัดขาด และทิ้งบาดแผลลึกจนเห็นถึงกระดูกเอาไว้หลายจุด องครักษ์ร่วงล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกหน่วยกล้าตายชุดดำอีกคนแทงหนึ่งกระบี่เข้าที่หน้าอก ลั่วจิ่วหลีทนเห็นคนฝั่งตัวเองถูกสังหารไม่ได้ จึงปล่อยแขนออกจากลำคอของเซียวหมิง
แต่ไหนแต่ไรมา ในใต้หล้านี้ ก็ไร้ซึ่งการช่วยเหลือโดยไม่มีสาเหตุจริง ๆ แม้นางจะรู้สึกว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ก็ต้องยอมรับว่า นางร่ำเรียนวิชาแพทย์มาทั้งชีวิต และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ จนแล้วจนรอดนางก็กลายมาเป็นยาของเขาจริง ๆ เซียวหมิงเสวียนกระชับนางไว้ในอ้อมแขนจนแน่น กลิ่นอายสังหารแผ่กระจายออกจากร่างกายของเขา “กอดข้าไว้” เสียงนั้นทั้งเย็นชาและแหบแห้ง ลั่วจิ่วหลียกแขนขึ้นกอดคอของเขาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ภายในใจยังมีคำถามมากมายที่ไม่กระจ่าง ทว่าเพียงเปิดปาก พลันถูกลมหนาวพัดเข้าเต็มใบหน้า เซียวหมิงเสวียนกอดนาง ก่อนที่คนทั้งคนจะออกวิ่งไปราวกับเสือที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก! ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจนั้นลั่วจิ่วหลีขยับได้แค่มือและเท้า สองขาเกี่ยวรอบเอวของเขาไว้แน่น สองมือก็กอดรอบลำคอของเขาแน่นไม่ต่างกัน กระบี่ยาวในมือของเขาไม่ต่างจากพู่กันอาคมที่อยู่ในมือของพญายมราช เพียงหนึ่งเสียงฉึก หมอกโลหิตหนาแน่นพลันซ่านกระเซ็น หน่วยกล้าตายชุดดำคนหนึ่งกระเด็นออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียว สิ่งที่เหลือทิ้งไว้คือแขนทั้งท่อน! มีหน่วยกล้าตายชุดดำอีกคน
เมื่อเข้ามาในห้อง เซียวหมิงเสวียนโยนกระบี่เย็นอาบโลหิตไปไว้ด้านข้าง และอุ้มนางให้มานั่งบนเก้าอี้ ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดปริปากเอ่ย ทำให้ทั้งห้องนั้นเงียบงัน เพียงแต่หัวใจที่เต้นแรงเสียงดังตึกตักนี้ และความรู้สึกอึดอัดใจของคนทั้งสองที่อยากจะปล่อยมือ แต่ยังต้องกอดกันเอาไว้เช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกประดักประเดิดจริง ๆ สุดท้าย เป็นเซียวหมิงเสวียนที่เอ่ยทำลายความเงียบก่อน “ลั่วจิ่วหลี เจ้าต้องทนกล้ำกลืนอีกสักพัก ยังต้องรอจนถึงยามเหม่า...” “ได้” ไม่รอให้เขาพูดจบก่อน ลั่วจิ่วหลีก็รีบพยักหน้า เซียวหมิงเสวียนก้มมองลงไปเห็นติ่งหูสีแดงและลำคอขาวผ่องของนาง ยังมีความร้อนที่สะท้อนออกจากอาภรณ์เนื้อบาง พลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งแผดเผาดวงตา จึงรีบเบนสายตาออกไปทันที ลั่วจิ่วหลีกัดลิ้นของตนเอง แค่รู้สึกว่าคำว่าได้ที่เอ่ยออกไปนี้ ช่างลวกปากเสียจริง ๆ “คือว่า ท่านอ๋อง” ให้ตายเถอะ หากยังต้องถูกกอดเอาไว้นานขนาดนั้น นางคงจะสามารถใช้นิ้วเท้าทั้งหมดขุดหลุมศพขึ้นมาหนึ่งหลุมได้เลย ทันใดนั้นลั่วจิ่วหลีพลันเงยหน้าขึ้น และมองสบดวงตาของเขาโดยตรง หัวใจกำลังเต้นตึกตัก ซึ่งมันไม่เคยเต้นรัวเร็วขนาดน
“เพคะ นี่คือยาเม็ดที่หม่อมฉันทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ”“งั้นหรือ?”ฮ่องเต้มองที่ใบหน้าสงบนิ่งของลั่วจิ่วหลี เห็นว่านางไม่ลนลานแม้แต่น้อย และไม่มีทีท่าว่าโกหกเช่นกันก้มหัวลงดูของสิ่งนี้ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหากบอกว่านี่คือขวด วัสดุกลับไม่เหมือน หากพูดว่านี่ไม่ใช่ขวด แต่ยาเม็ดเล็ก ๆ เหล่านั้นกลับใส่อยู่ในนี้จริง ๆ“ในเมื่อเป็นยาเม็ดที่ทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินโดยเฉพาะ เหตุใดจึงทำให้เฟิงเต๋อฮูหยินไม่ได้สติเล่า?”ฮ่องเต้น้ำเสียงเคร่งเครียด สายตาเย็นชาโกรธขึ้งที่ด้านข้าง ฮองเฮาโบกมือไปทางองครักษ์เหล่านั้นบรรดาองครักษ์ก็ถอยออกไปอย่างหงุดหงิด“ลั่วจิ่วหลี เฟิงเต๋อฮูหยินก็กินยาในขวดนี้นี่ล่ะ แล้วก็หมดสติไป”ฮองเฮาเสียงเบามาก จ้องลั่วจิ่วหลีตาไม่กะพริบลั่วจิ่วหลีส่ายหัว น้ำเสียงหนักแน่น เผชิญหน้ากับสายตาที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเพ่งพินิจนางโดยปราศจากความกลัวใด ๆ“เป็นไปไม่ได้เพคะ นี่คือยารักษาอาการหัวใจวายของเฟิงเต๋อฮูหยิน ไม่ใช่ยาพิษอะไรแน่นอน?”“ยาพิษ?” ที่ด้านข้าง หูกุ้ยเฟยร้องหึอย่างเย็นชาหนึ่งที เดินเข้ามา“ลั่วจิ่วหลี ที่นี่ไม่มีคนบอกว่าเฟิงเต๋อฮูหยินถูกวางยาพิษเสียหน่อย กลับ
เพียงไม่นาน รถม้าก็มาถึงประตูจวนที่นอกรถม้า สวีหมัวมัวเปิดม่านขึ้น“ฮูหยิน คุณหนูรอง ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”สองแม่ลูกทยอยลุกขึ้นตามกันไป ลงจากรถม้ายังไม่ทันได้เข้าจวน ก็เห็นพ่อบ้านวิ่งตรงออกมาอย่างรวดเร็ว“ฮูหยิน คุณหนูรอง ในวังมีจดหมายมา เชิญให้คุณหนูไปที่พระตำหนักกานเฉวียนทันทีหลังกลับถึงจวนขอรับ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง อี้กั๋วกงฮูหยินหนังตากระตุก“เกิดอะไรขึ้น?”พ่อบ้านส่ายหัว“ขันทีที่เชิญพระราชโองการไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า ให้คุณหนูรองเข้าวังได้ทันที”“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คงให้ข้าเข้าวังไปตรวจร่างกายเฟิงเต๋อฮูหยินอีกครั้ง”ลั่วจิ่วหลีพูดปลอบประโลมแล้ว เวลานี้ สาวใช้เรือนฝูชวีก็นำกล่องยาออกมาแล้วลั่วจิ่วหลีรับกล่องยามา“สวีหมัวมัว ดูแลท่านแม่ให้ดี ข้าไปไม่นานก็กลับ”“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง”สวีหมัวมัวประคองอี้กั๋วกงฮูหยิน มองดูลั่วจิ่วหลีขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปทางประตูวัง“พ่อบ้านจาง”อี้กั๋วกงฮูหยินเห็นรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้ว ก็ขมวดคิ้ว“ฮูหยิน”พ่อบ้านจางก้าวขึ้นมา“เอาเงินตำลึงไปเพิ่มหน่อยสิ ไปสืบข่าวมาที”“ขอรับ”พ่อบ้านจางไหนเลยจะกล้าชักช้า จากไปอย่างรีบร้อนตามความร้อนใ
อี้กั๋วกงฮูหยินมองที่นาง“เจ้าฟังออกหรือ?”“ในเมื่อเจ้ายังเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเก้าก็คงจะเข้าใจได้เช่นกัน”“ท่านแม่ นี่ท่าน...”“จิ่วเอ๋อร์”อี้กั๋วกงฮูหยินคว้ามือลูกสาวตัวเองไว้“แม้แม่จะอยู่ในเรือนหลังมานาน แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้ คราวที่แล้วกุ้ยเฟยเรียกเจ้าเข้าวัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพราะเรื่องที่เจ้าหย่าร้างกับอ๋องเจา เรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหูนั่นใส่ร้ายเจ้า แม่ฟังแล้วเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ”ลั่วจิ่วหลีตะลึง เรื่องคราวก่อน นางปิดบังไว้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ก็ยังไปสืบรู้เรื่องนี้มาจนได้“ท่านแม่ ท่านรู้หมดแล้วหรือ?”อี้กั๋วกงฮูหยินพยักหน้าเบา ๆ“ได้รับความอยุติธรรมขนาดนั้น เจ้าไม่บอกแม่ได้อย่างไรกัน?”ลั่วจิ่วหลียิ้มอย่างสบาย ๆ“ก็ไม่ถือว่าได้รับความอยุติธรรมนะเจ้าคะ สองพี่น้องตระกูลหูนั่นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์”“เฮ้อ! เจ้านี่นะ”อี้กั๋วกงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง“ท่านอ๋องเก้านั้นเป็นยอดคนก็จริง แต่จะว่าอย่างไรท่านก็เป็นเสด็จอาของอ๋องเจา ต่อไปเจ้าอย่าเข้าใกล้มากเกินไปจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกนินทา”ลั่วจิ่วหลีได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเย้
“แขก?”เช้าตรู่เช่นนี้ ใครกันมาที่จวนอ๋องเก้า แล้วยังส่งจดหมายคารวะมาด้วย?“ใครหรือ?”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเรียบเฉย ยื่นมือไปรับจดหมายคารวะ เมื่อเห็นแล้วก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที “จวนอี้กั๋วกง?”“ไป เชิญแขกเข้าไปห้องโถงรับแขก”“พ่ะย่ะค่ะ”คนผู้นั้นออกไปที่ด้านข้าง ฉินอิ่นก้าวขึ้นมา“นายท่าน เป็นอี้อั๋วกงฮูหยินกับคุณหนูรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม”เซียวหมิงเสวียนสีหน้าดูไร้อารมณ์ แต่กลับลุกขึ้นกลับห้องไปเปลี่ยนชุดฉินอิ่นยืนอยู่นอกห้อง ลูบจมูกไปมา รู้สึกว่าวันนี้นายท่านของเขาแปลกไปไม่น้อย นายท่านเปลี่ยนชุดเป็นพิเศษเพื่อเจอคนนอกตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูรองตระกูลลั่วก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอกถึงนอกเรือนรับแขกแล้ว เซียวหมิงเสวียนก็เห็นสองแม่ลูกกำลังนั่งดื่มชาอยู่วันนี้ลั่วจิ่วหลีสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วดูเหมือนทิวเขาที่อยู่ไกล ๆ ผัดหน้าเบา ๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเขารู้สึกว่าลั่วจิ่วหลีในแบบนี้ดูเย็นชา เฉียบคมน้อยกว่าปกติ และดูอ่อนโยนอบอุ่นมากขึ้นลั่วจิ่วหลีเหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองนางอยู่ จึงเงยหน้ามองไปทางนอกประตูเห็นเซียวหม
สวีหมัวมัวค้อมตัวคำนับ“บ่าวขอขอบพระคุณความห่วงใยจากคุณหนูแทนชุนหรงเจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นี่ก็คือระบบชนชั้นสมัยโบราณ แม้บ่าวจะรับมีดแทนนายจนได้รับบาดเจ็บ ก็ยังต้องขอบคุณ แสดงความซาบซึ้งต่อความเมตตาจากนาย “จิ่วเอ๋อร์ นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เยียนทิงเหลียนนั่นแหกคุกไม่ใช่หรือ? ถูกจับอีกได้อย่างไร? ได้ยินว่า นางถูกเปลื้องผ้าแล้วไปแขวนไว้บนหอประตูเมืองชั้นนอก เฮ้อ! ช่างเสื่อมเสียจารีตประเพณีบ้านเมืองเสียจริง”ลั่วจิ่วหลีนวดขมับไปมาอย่างจนใจ เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน วันนี้นั่งรถม้ามาทั้งวันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อีก แต่แม่ถาม นางก็ได้แต่อดทน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองให้แม่ฟัง แน่นอนว่า เรื่องบางอย่างที่ต้องปิดบัง นางก็ไม่ได้ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว“เจ้าว่าอะไรนะ? อ๋องเก้าเพราะช่วยเจ้า ก็ถูกเยียนทิงเหลียนทำร้ายบาดเจ็บหรือ?”“เจ้าค่ะ”ลั่วจิ่วหลีพยักหน้าเบา ๆ“เยียนทิงเหลียนนั่นไม่ใช่หญิงธรรมดาเลย นางเป็นสายลับของแคว้นซางหนาน ข้าเผลอไปครู่หนึ่ง ยังดีที่มีชุนหรงกับอ๋องเก้า ไม่เช่นนั้น ขณะนี้คนที่นอนปางตายอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้าแล้ว”แม้ว่าชุนหรงกับอ๋องเก้าจะไม่ได
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”เซียวหมิงเสวียนถวายบังคม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษรออกจากประตูวังแล้ว ระหว่างทางกลับจวน เซียวหมิงเสวียนมองฉินอิ่นแวบหนึ่ง“ส่งข่าวไปยังหอหลิงเซียว ให้พวกเขาไปสืบหาเบื้องหลังของเยียนทิงเหลียนที่แคว้นซางหนาน”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นพยักหน้า จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก“นายท่าน ข้าน้อยส่งฉินลิ่วไปเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่หอประตูเมืองชั้นนอกแล้ว ฉินลิ่วรายงานกลับมา บอกว่า... อะแฮ่ม”“บอกว่าเยียนทิงเหลียนถูกแขวนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนหอประตูเมืองชั้นนอก ทำให้เกิดความโกลาหลไม่น้อย มีคนเร่ร่อนหื่นกามคิดไม่ดี...”ส่วนคิดไม่ดีว่าอะไร ไม่ต้องให้ฉินอิ่นพูดให้ชัดเจน เซียวหมิงเสวียนก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร“หึ!”เซียวหมิงเสวียนยิ้มอย่างเย็นชา“เช่นนั้นแล้วก็เปิดช่องโหว่ให้พวกเขาเสีย ให้เยียนทิงเหลียนลองสัมผัสดูว่าตอนนั้นนางวางแผนทำร้ายลั่วจิ่วหลีอย่างไร”ฉินอิ่นได้ยินแล้ว ในใจก็แอบสวดมนต์ภาวนาให้เยียนทิงเหลียนดูท่า เยียนทิงเหลียนจนตายก็ไม่มีทางรู้ว่า ตอนนั้นที่นางวางแผนจะทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรองตระกูลลั่ว แต่คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูรองตระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยียนทิงเหลียนเดิมทีก็เป็นหญิงงามชั้นยอด เอวบางร่างน้อยราวกับต้นหลิว หน้าอกและบั้นท้ายโค้งเว้าชัดเจน หากใช้คำของอ๋องเจามาอธิบาย นี่คือผู้หญิงที่มอบความสุขให้เขาได้แม้แต่องค์ชายแห่งอาณาจักรหนึ่งยังยอมรับในความงามอันเย้ายวนของเยียนทิงเหลียน นับประสาอะไรกับบรรดาบุรุษธรรมดา ๆเพียงแค่เห็นภาพที่เย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้แวบเดียว ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งดูยิ่งตื่นเต้น ยิ่งดูยิ่งมีผู้ชายเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นมีคนตะโกนว่านี่ช่างเสียของจริง ๆ มีคนป่าวร้องว่าสาวสวยเช่นนี้ถ้าได้ซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วยจะมีความสุขขนาดไหนมีคนมือบอนเข้าไปใกล้ ๆ อยากเอานางลงมาใจจะขาด หาความสำราญให้เต็มที่ ก็ถูกทหารที่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ ถีบกระเด็นไปอยู่ที่พื้นและยังมีหญิงอารมณ์ร้ายที่เมื่อรู้ว่าสามีตนเองมาจ้องมองดูผู้หญิงเปลือยจนตาแทบออกมานอกเบ้า ก็วิ่งถือไม้นวดแป้งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด มาบิดหูสามีตัวเอง ด่าว่ายกใหญ่ ด่าสามีตัวเองเสร็จยังไม่พอ ยังหยิบทุกอย่างที่หยิบติดมือมาได้ ปาไปที่ตัวเยียนทิงเหลียนอย่างเอาเป็นเอาตายชาวบ้านร้านตลาดหรือ? เพียงแค่มีคนหนึ่งเริ่มต้น คนที่เหลือก็พากันทำตา
“ลงมือ”เซียวหมิงเสวียนไม่แม้แต่จะสนใจดูเยียนทิงเหลียนที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน“พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฉินอิ่นผลักเยียนทิงเหลียนไปข้างหน้า ทั้งร่างของเยียนทิงเหลียนก็ทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อหัวหน้าทหารยามทั้งสองโบกมือให้สัญญาณอย่างสุดแรง ด้านหลังก็มีทหารเฝ้าเมืองก้าวขึ้นมาข้างหน้าทีละก้าว ๆ“อื้อ! อื้อ! อื้อ!”เยียนทิงเหลียนถอยหลังโดยใช้ทั้งมือและเท้าหากเวลานี้นางพูดได้ เสียงขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาและเสียงร้องโหยหวนก็คงจะทำให้เกิดความสงสารอันเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีอยู่เลยขึ้นมาบ้างน่าเสียดาย ตัวนางในขณะนี้วรยุทธ์ถูกทำลาย ลิ้นก็ถูกตัด ได้แต่ทนรับความอัปยศนี้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ร้องเรียกต่อฟ้าก็ไร้ผล อ้อนวอนต่อดินก็สิ้นหนทาง ทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว ดิ้นรนอย่างขมขื่นทันใดนั้นเอง นางก็เห็นว่าบนรถม้าที่อยู่ด้านหลังนั้น ลั่วจิ่วหลีทอดสายตามาที่นางลั่วจิ่วหลี คนชั้นต่ำ นางชั้นต่ำนี่ ต้องเป็นความคิดของเจ้าแน่ ๆ ต้องใช่อย่างแน่นอนเยียนทิงเหลียนหลบทหารเฝ้าเมืองสองคนนั้นที่ไล่ตามมาประชิดตัว โหม่งหัวชนคนหนึ่งจนล้มลง ฝืนทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนร่างกาย วิ่งพุ่งตรงไปทางลั่วจิ่วหลี
เมืองชั้นนอกนั้นหลัก ๆ เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป และคนมากหน้าหลายตาจากทุกกลุ่มในสังคม เมืองชั้นในล้วนเป็นที่พำนักของขุนนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนวังหลวงเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าสนมวังหลัง และบรรดาองค์ชายองค์หญิง จวนอี้กั๋วกงกับจวนอ๋องเก้านั้นอยู่ในเมืองชั้นในทั้งคู่ รถม้ากลับหยุดที่เมืองชั้นนอก ลั่วจิ่วหลีประหลาดใจไม่น้อย“ไปกัน ออกไปดูหน่อยกว่าเกิดอะไรขึ้น?”นางพูดพลางผลักประตูรถม้าออก ก็เห็นเซียวหมิงเสวียนที่อยู่ข้างหน้ายืนอยู่บนรถม้าอย่างสง่างามน่าเกรงขามพอดีผู้คนสองข้างทางเมื่อเห็นท่านอ๋องเก้า ก็พากันคุกเข่าลงที่พื้นไม่ไกลจากนั้น มีหัวหน้าทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชั้นนอกรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน“กระหม่อมถวายบังคมท่านอ๋องเก้า”“อืม ลุกขึ้นเถอะ”เซียวหมิงเสวียนน้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเก้า”หัวหน้าทหารยามทั้งสองลุกขึ้น“ฉินอิ่น”เซียวหมิงเสวียนโบกมือให้สัญญาณไปทางด้านหลัง“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอิ่นขานรับ จากนั้นก็คุมตัวคนคนหนึ่งเดินไปที่หน้าหัวหน้าทหารยามสองคนนั้น เมื่อลั่วจิ่วหลีมองให้ดี ๆ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่ใช่เ