เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมา ถูซินเยว่ก็ขึ้นภูเขาพร้อมกับซูจื่อหังอีก หลังจากมีประสบการณ์ครั้งก่อน ครั้งนี้เมื่อซูจื่อหังเห็นเสี่ยวหวงก็ไม่กลัวอีกแล้ว หนำซ้ำยังเอากระบอกน้ำแกล้งเสี่ยวหวงด้วย"อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ ระยะนี้คงใกล้หิมะตกแล้ว" ซูจื่อหังพูด "ครั้งนี้มาแล้ว เราก็เก็บข้าวของให้เรียบร้อย รออีกสักระยะค่อยขึ้นภูเขาใหม่"ในวันที่หิมะตก บนเขาจะพบเจอหมีได้ง่ายๆ ถ้าจะบอกว่ากลางป่าเขาแบบนี้อะไรอันตรายที่สุดนั้น หนึ่งคือเสือ สองก็คือหมี ซึ่งเป็นสัตว์กินคนทั้งสองชนิดอีกอย่างเมื่อหิมะตกถนนหนทางก็เดินยาก เพราะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงเหยียบพลาดได้ง่ายๆ"เข้าใจแล้ว" ถูซินเยว่พยักหน้า เธอยื่นมือออกมาลูบไปที่หัวของเสี่ยวหวงด้วยท่าทีจริงจัง และย่อตัวลงตรงหน้ามันพูดว่า "เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง ระยะนี้พวกเราไม่สามารถมาเยี่ยมเจ้าได้บ่อยๆ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ!"พูดแล้ว เธอก็ลูบไล้ไปที่ขนบนตัวของมันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสี่ยวหวงที่ดื่มน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ไปหลายเดือน ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณด้วยหลังจากที่ถูซินเยว่พูดจบ มันก็ใช้หัวถูไปมาบนมือของอีกฝ่ายราวกับว่ามันฟังออก เสมือนกำลังบอกถึงความไม่อยา
เมื่อสั่งให้ซูจื่อหังนำตาข่ายดักกุ้งหย่อนลงในน้ำอีกครั้งแล้ว ทั้งสองคนก็พายเรือเพื่อจะได้กลับขึ้นฝั่งถูซินเยว่ที่จิตใจกำลังดื่มด่ำกับความสุขที่ได้ทั้งปลาและกุ้งมา จึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ไม่ไกลจากเธอนั้นมีคนกำลังแอบคอยจ้องการกระทำของเธอกับซูจื่อหังอยู่ เมื่อเห็นพวกเขายังอยู่บนผิวน้ำจึงรีบวิ่งกลับไป"วันนี้ถูซินเยว่ไปอ่างเก็บน้ำ คงไม่ขึ้นเขาแล้วล่ะ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของพวกเรา!" เซี่ยตี้หยางลากหลี่เม่าออกมาจากบ้าน พลางกระซิบเบา ๆ ว่า "เจ้าสะพายกระสอบและขวานไปด้วย เดี๋ยวพวกเราขึ้นเขาไปด้วยกัน""จะไปจริง ๆ หรือ?" พอจะต้องทำจริง ๆ หลี่เม่ากลับขี้ขลาดขึ้นมาซะงั้น อีกอย่างวันนี้หิมะตก ทางบนเขาต้องเดินลำบากแน่นอน"ทำไมเจ้าขี้ขลาดถึงขนาดนี้?" เซี่ยตี้หยางกล่าวว่า "ถ้าเจ้าไม่ไปด้วยกันกับข้า พอถึงตอนนั้นเงินพวกนั้นก็จะเป็นของข้าคนเดียว จริงสิ ข้ายังชวนต้าจู้ไปด้วยนะ""ทำไมเจ้าถึงเรียกต้าจู้ไปด้วย? " หลี่เม่ายิ่งขี้ขลาดขึ้นไปอีกเจ้าต้าจู้คนนี้ดูแล้วเหมือนคนจริง ๆ จัง ๆ นี่นา แล้วทำไมถึงไปขโมยกับดักของถูซินเยว่กับพวกเขาได้กันล่ะ ?"ข้าไม่ได้บอกเขา ข้าก็แค่บอกว่าเป็นกับดักที่ข้
"พี่หยู" หัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าเคร่งขรึมอีกสองวันก็จะเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าแล้ว สองสามวันมานี้ ใบหน้าของแต่ละคนมีใครบ้างที่ไม่ใช่ยิ้มแย้มแจ่มใสในช่วงสองสามวันนี้ผู้คนต่างทำความสะอาดบ้าน เตรียมของสำหรับวันปีใหม่ หรือไปเยี่ยมเยือนตามบ้านต่าง ๆแต่ทำไมหัวหน้าหมู่บ้านกลับมีสีหน้าท่าทางทุกข์ใจแบบนี้ล่ะ"หัวหน้าหมู่บ้าน เข้ามาก่อนสิ" ด้านนอกนี่หิมะกำลังตกอยู่ ทั้งยังมีลมหนาวพัดผ่านไปมา นางหยูที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่น จึงรีบเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านผู้หญิงคนนั้นแรกเริ่มก็ไม่อยากเข้ามาสักเท่าไหร่หรอก แค่ต้องการพูดธุระก็เท่านั้น แต่เห็นหัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้าไปแล้ว จึงได้แต่กระทืบเท้าแล้วเดินตามหลังพวกเขาเข้าไปเมื่อเข้าไปในห้องครัว พอปิดประตูปุ๊ป จึงได้กั้นลมหนาวที่พัดมาจากภายนอกได้เสียทีนางหยูมองไปยังหัวหน้าหมู่บ้านและผู้หญิงคนนั้นที่หนาวจนหูแดงแล้วจึงพูดกำชับกับกับซินเยว่ว่า "ซินเยว่ ไปเอาน้ำอุ่นมาให้พวกเขาบรรเทาอาการหนาวที""ได้" ถูซินเยว่พยักหน้า กำลังจะหันไปต้มน้ำร้อนในหม้อ แต่หัวหน้าหมู่บ้านกลับโบกมือไปมาเสียก่อน เขาส่ายหัวพร้อมพูดว่า "พี่หยู ไม่ต้องลำบากขนาดนี้หร
เหมือนที่หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวไว้ เขาพากลุ่มชายฉกรรจ์มาด้วยจริง ๆ มีราว ๆ 4-5 คน กําลังรออยู่ไม่ไกลจากประตูบ้านของถูซินเยว่พอถูซินเยว่มองไป ก็พบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ เธอรู้จักแค่หยวนเป่าเพียงคนเดียว“ซินเยว่?” เมื่อหยวนเป่าเห็นถูซินเยว่ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาเบิกตากว้างและถามว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านพาซินเย่วมาด้วยทำไมกัน”พวกเขายังไม่รู้ว่าทําไมเซี่ยตี้หยางและหลี่เม่าถึงได้ติดอยู่ในภูเขาหิมะ“ซินเยว่นางมาชี้ทางให้เราน่ะ” ประกายแห่งความอึดอัดแวบผ่านแววตาของหัวหน้าหมู่บ้าน เขาเหลือบมองถูซินเยว่แต่กลับเห็นเธอเดินออกมาพูดว่า “ไปกันเถอะ คืนหิมะตกแบบนี้มักจะมืดช้า วันนี้เป็นวันที่สิบหก ดวงจันทร์กลมโตพอดี พวกเจ้าตามข้ามา ก่อนฟ้าจะมืดสนิท ต้องตามหาพวกเขาให้เจอให้ได้”ยามเมื่อหญิงสาวพูดนั้น ตัวเธอก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นผู้นํา กลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนที่อยู่ด้านข้างต่างก็ฟังคําพูดของเธอพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย และเดินตามหลังเธอไปส่วนหลิวจินเซียงเป็นผู้หญิง หัวหน้าหมู่บ้านเองก็อายุมากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรออยู่ที่เชิงเขา มองถูซินเยว่ขึ้นเขาไปกับชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเพราะใน
"ฟังเสียงของหลี่เม่าเหมือนกำลังตกอยู่ในอันตรายนะ!" เถี่ยต้านกับหยวนเป่าสบตากัน ความร้อนใจปรากฏขึ้นในแววตาของทั้งคู่ถูซินเยว่รีบตัดสินใจทันที "พวกเจ้าตามหลังข้าไว้ ห้ามบุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด ช่วยคนสำคัญก็จริงแต่ชีวิตของตัวเองก็สำคัญเหมือนกัน อย่าลืมว่าที่บ้านของพวกเจ้ายังมีพ่อแม่พี่น้องคอยอยู่"เมื่อถูซินเยว่พูดประโยคนี้จบ เถี่ยต้านที่ตอนแรกมุ่งแต่จะไปช่วยคนโดยไม่สนอะไรเลยนั้นก็ได้สติใจเย็นลง"ฟังเจ้าก็แล้วกัน" เถี่ยต้านมองถูซินเยว่พลางเอ่ยขึ้น ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังนั้นก็พยักหน้ากันโดยมิได้นัดหมายเมื่อพวกเขาต่างก็รับปากแล้ว ถูซินเยว่ย่อมวางใจลงได้ไปเปลาะหนึ่งเขาหิมะนั้นอันตรายมาก เธอไม่อยากให้มีคนบุ่มบ่ามจนต้องมาตายอยู่ที่นี่"ไปกันเถอะ" หญิงสาวกล่าวเสียงทุ้มต่ำ นำพวกเขาไปตามทางที่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาเสียงร้องของหลี่เม่านั้นน่าอนาถใจเสียเหลือเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เดินตามทางเขา แต่ลัดทางลัดไป เพื่อจะได้ใช้เวลาที่น้อยที่สุดไปให้ถึงตัวหลี่เม่าวันนี้หิมะตกหนัก เกล็ดหิมะตกลงมาเรื่อยๆ แค่ครึ่งวันบนพื้นก็เต็มไปด้วยชั้นหิมะที่หนามากแล้วหมู่บ้านต้าเย่อยู่ทางทิศใต้ ล้วน
"ซินเยว่" ดวงตาของเถี่ยต้านเต็มไปด้วยความกังวล เขากําลังจะวิ่งออกไป แต่กลับถูกหยวนเป่าหยุดไว้"เจ้าทําอะไรน่ะ อยากตายหรือไงกัน""แต่ว่าซินเยว่ นางเป็นผู้หญิงนะ ถ้านางถูกหมีขาว... ถึงตอนนั้นพวกเราจะอธิบายให้ตระกูลซูฟังได้ยังไงกันล่ะ"เพื่อช่วยหลี่เม่าและเซี่ยตี้หยาง แต่กลับต้องใช่ถูซินเยว่แลกมา นี่มัน...เถี่ยต้านคิดยังไงก็รู้สึกผิดหยวนเป่าก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าควรทําอย่างไรดี หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าซินเยว่ไม่สามารถหลบหนีจากหมีขาวได้ เจ้าไปก็ยิ่งมีแต่ต้องตาย เวลานี้สิ่งที่พวกเราทําได้ก็คือเชื่อใจนางและเชื่อว่านางสามารถกลับมาได้...”แววตาของหยวนเป่าเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับเถี่ยต้านแล้ว เขาใจเย็นกว่ามากนักส่วนพวกที่อยู่ด้านหลัง แต่เดิมก็เป็นคนรักตัวกลัวตายอยู่แล้ว ในเมื่อถูซินเยว่ล่อหมีขาวออกไปได้ พวกเขาย่อมวางใจลงเมื่อคนเราตกอยู่ในอันตราย การเลือกแบบนี้ก็ถือว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งเถี่ยต้านได้ยินคําพูดของหยวนเป่าแล้ว แต่คิ้วของเขาก็ยังคงขมวดอยู่เช่นเดิมในเวลานี้ หลี่เม่าที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ก็ตะโกนว่า “นี่ พวกเจ้า พวกเ
ทุกคนรีบหันกลับมามอง เห็นซูจื่อหังที่ไม่รู้มายื่นอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในสายตาของหัวหน้าหมู่บ้านฉายแววความร้อนตัวขึ้นมาแวบหนึ่ง ชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอย่างไรดีหัวหน้าหมู่บ้านรีบโบกมือเป็นสัญญาณว่าให้พวกเขาพาเซี่ยตี้หยางเข้าไปหาหมอหลี่ที่ในหมู่บ้านก่อนแต่ซูจื่อหังกลับก้าวไปข้างหน้าสองก้าวขวางทางพวกเขาไว้แล้วขมวดคิ้วถามว่า "ซินเยว่ล่ะ อยู่ที่ไหน?"สีหน้าของชายฉกรรจ์แข็งค้าง ส่วนชายหนุ่มที่บัดนี้สีหน้าเคร่งเครียดแล้วถามขึ้นว่า "ทำไมพวกเจ้าลงจากเขากันมาหมดแล้ว แต่ซินเยว่ไม่ได้ลงมาด้วยล่ะ?"ซูจื่อหังเป็นคนเรียนหนังสือเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน ปกติทุกคนแค่คิดว่าเขาดูเย็นชา แต่ก็อ่อนน้อม ไม่เคยมีใครเคยเห็นซูจื่อหังโกรธมาก่อนเลย แต่ใบหน้าไร้อารมณ์ของชายหนุ่มตอนนี้ดู ๆ ไปแล้วก็น่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียวชายฉกรรจ์สองคนไม่รู้จะตอบยังไงดี หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบเข้ามาและพูดว่า "จื่อหัง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย ซินเยว่กับหยวนเป่าพวกเขายังอยู่บนเขากัน ส่วนเซี่ยตี้หยางอาการสาหัสถึงได้ลงมาก่อน"ถ้าเกิดให้ซูจื่
เจ้าหมีบ้าตัวนี้ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเดิมทีถูซินเยว่คิดจะใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์หลอกล่อหมีดำ แล้วจับมือกับมันอย่างปรองดองแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมีดำตัวนี้จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิดเจ้าหมีดำบ้านั่นเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้นทุกที ๆ แล้ว แต่ถูซินเยว่กลับรู้สึกเหมือนพลังงานค่อย ๆ ไหลหายออกไปจากตัวเธอทีละนิด ๆ สองเท้าหนักอึ้งราวกับมีลูกตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่เดิมทีเดินบนพื้นหิมะก็ยากมากอยู่แล้ว แถมถูซินเยว่ยังต้องออกแรงทั้งตัวเพื่อหลบหลีกการไล่ล่าของเจ้าหมีดำนั่นอีกโชคดีที่ช่วงนี้เธอออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักมาโดยตลอดถ้ายังอ้วนท้วนแบบเมื่อก่อน เกรงว่าป่านนี้เธอคงกลายเป็นอาหารในท้องหมีดำไปตั้งนานแล้วแต่ถึงจะเป็นแบบนี้ก็ตาม ตัวเธอที่วิ่งมาถึงหนึ่งชั่วยามแล้วก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรง มึนหัวตาลายไปหมดอยู่ดีและในที่สุด ก้าวเดินของหญิงสาวก็ช้าลงโดยไม่รู้ตัวในตอนนี้เอง เจ้าหมีดำราวกับพบโอกาสแล้ว มันรีบเร่งความเร็วพุ่งเข้าตะปบถูซินเยว่อุ้งเท้าของหมีดำฟาดลงบนหลังของหญิงสาวอย่างแรง ถูซินเยว่รู้สึกถึงเลือดที่พุ่งพล่านในทรวงอก เธอซวนเซล้มลงกับพื้นพอเห็นอุ้งเท้าเจ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด