ทุกคนต่างคิดว่านางหยูเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าการล้มครั้งนี้จะเป็นการเจ็บหนักเมื่อซูจื่อหังอุ้มนางหยูเดินขึ้นมา ด้านหลังศีรษะของนางหยูถูกก้อนหินกระแทกแตกเห็นเป็นโพรง เลือดไหลพุ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แขนของนางก็ถูกไม้แหลมแทง น่าสยดสยองยิ่งนักไม่มีสิ่งใดจะเล็ดลอดสายตาคนในหมู่บ้านไปได้ เรื่องที่นางหยูหกล้มกระจายไปทั่วหมู่บ้านในชั่วพริมตาเดียวหน้าบ้านของตระกูลซูเต็มไปด้วยฝูงชนที่แห่มามุงดู เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านทราบเรื่อง ก็ได้ไปตามหมอหลี่จากท้ายหมู่บ้านมา"กรุณาหลีกทางด้วย หลีกทางด้วย" ผู้นำหมู่บ้านตะโกนเสียงดัง ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งราวกับกระแสน้ำแยกเขาเดินก้าวยาวเข้าไปในลานบ้าน ซูจื่อหังรีบวิ่งพรวดออกมาจากห้องพร้อมกับทำมือคำนับ "ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหมอหลี่รีบเข้าไปเถอะ ท่านแม่ข้า...."อาการของนางหยูหนักเอาการ เลือดที่ไหลบนหัวของนางหยุดแล้ว แต่แขนขวาของนางยังมีเลือดไหลริน ดูท่าแล้วอาจจะใช้การไม่ได้อีกหัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากนักกับตระกูลซู รีบพาหมอหลี่เข้าไปข้างในโดยเร็วภายในห้องเล็ก ๆ นางหยูนอนอยู่บนเตียงไม่รู
ไม่ต้องให้ถูซินเยว่รอนาน ซูจื่อหังลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงแล้วเขาหันศีรษะมา สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย นัยน์ตาแจ่มชัดจ้องมองไปยังซูเฟิ่งอี๋ แล้วเอ่ยถาม "พวกท่านเสียเงินไปเปล่า ๆ เพื่อส่งเสียข้าเรียนหนังสืองั้นหรือ? แล้วเงินเบี้ยเลี้ยงห้าร้อยอีแปะที่ได้รับจากอำเภอทุกเดือนล่ะ ไม่ใช่ว่าเข้ากระเป๋าพวกท่านหรอกหรือ? เงินที่ข้าแต่งภรรยา พวกท่านได้ควักสักแดงเดียวหรือ?"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฟิ่งอี๋เห็นซูจื่อหังแสดงสีหน้าเยือกเย็นเช่นนี้ เธอสะดุ้งไปเล็กน้อย แต่ก็โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เจ้าจะให้พวกข้าเลี้ยงนางหยูไว้อย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้ แล้วยังต้องเสียเงินค่ารักษาให้นางอีก""ถูกต้อง" แม่เฒ่าตระกูลซูยิ้มเยาะ "มือของแม่เจ้าพิการ ต่อไปก็ไม่สามารถเชือดหมูเชือดไก่ หรือทำนาได้อีก แล้วจะเลี้ยงนางไว้ทำไม? หมอหลี่บอกแล้วไม่ใช่รึว่าคงไม่ตายเร็ว ๆ นี้ ยังดึงดันจะมาเสียเงินซื้อยาให้นางอีก ตระกูลซูของเรายากจน ไม่มีเงินซื้อยาให้นางหรอก"เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ แม่เฒ่าตระกูลซูจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงประชดประชันว่า "จื่อหัง จิตใจกตัญญูที่จะดูแลรักษาแม่ที่ป่วยของเจ้า พวกข้าไม่ขัดขวาง เพียงแต่ว่าเงิ
ซู่จื่อหังพูดอย่างเย็นชา "ในเมื่อพวกท่านปฏิเสธที่จะช่วยแม่ของข้า ต่อไปข้าก็จะไม่มอบเงินให้พวกท่านอีก"แม่เฒ่าซูได้ยินดังนั้น ก็รีบเคาะไม้เท้าเสียงดัง ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด"จื่อหัง เจ้าอยากแยกบ้านงั้นรึ?""เป็นเช่นนั้น" ซู่จื่อหังพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธทันทีที่คำพูดออกจากปาก ไม่เพียงแต่คนอื่น ๆ ที่ตกตะลึง แม้แต่ถูซินเยว่ที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งเนื้อคนก็ผงะไปเล็กน้อยแยกครอบครัว?เธอเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งหากจำไม่ผิด การแยกครอบครัวในชนบทสมัยโบราณถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายคิดไม่ถึงว่าซูจื่อหังอายุยังน้อย จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ถูซินเยว่รู้สึกทึ่งไม่น้อยถูซินเยว่รู้สึกทึ่ง แต่แม่เฒ่าตระกูลซูนั้นถึงกับขนหัวลุกเลยทีเดียวที่ผ่านมานางเห็นว่าซูจื่อหังเป็นปัญญาชนที่มีการศึกษา แม่เฒ่าตระกูลซูจึงไม่กล้าใช้กำลังกับเขา แต่ทว่าตอนนี้นางยกไม้เท้าขึ้นในมือแล้วเหวี่ยงใส่ซูจื่อหังเต็มแรง"เจ้าคนอกตัญญู ข้ากับปู่เจ้ายังไม่ตายก็คิดจะแยกบ้าน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ"ไม้เท้าทำจากไม้มีน้ำหนักไม่น้อย เมื่อกระแทกเข้าใส่หัวของซูจื่อหังก็ส่งเสียงดังกึกเสียงนั้น ถูซินเ
หลังจากเช็ดหน้าให้นางหยูแล้ว ซูจื่อหังก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แบกตะกร้าขึ้นหลังแล้วพูดกับถูซินเยว่ว่า "เจ้ารออยู่ที่นี่ หากว่าพวกท่านย่ามาระรานเจ้าอีก เจ้าก็ลงกลอนประตูซะ บนโต๊ะมีไข่ไก่อยู่สองฟอง เจ้าก็กินซะเถอะ ท่านแม่บาดเจ็บอยู่กินไข่ไม่ได้"ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างว่าง่าย มองดูซูจื่อหังที่แบกตะกร้าอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า "เจ้าจะไปไหน""ไปบนเขา" ซูจื่อหังไม่ปิดบังเธอ กล่าวต่อว่า "ท่านแม่เสียเลือดมาก ข้าจะไปดูว่ามีอะไรพอจะมาบำรุงท่านแม่ข้าได้บ้าง"ถูซินเยว่ชะงัก "เจ้าจะขึ้นไปบนภูเขา?"ซูจื่อหังเป็นลูกกตัญญูจริง ๆ แต่ปกติเขาคุ้นเคยอยู่แต่กับการใช้เวลาอยู่ในห้องหนังสือ ขึ้นไปบนเขาคนเดียวจะไม่มีปัญหาจริง ๆ หรือ?ถูซินเยว่แสดงความสงสัยเมื่อมองดูรูปร่างซูบผอมของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าซูจื่อหังกำลังจะเปิดประตูออกไป ถูซินเยว่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า "ข้าไปกับเจ้าด้วย""เจ้าจะไปด้วย?" ซูจื่อหังเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดหลังจากนั้นชั่วครู่ "บนภูเขาไม่มีอะไรน่าสนุก แถมปีนเขาก็เหนื่อย ข้าว่าเจ้า....""ไม่ ข้าจะไปด้วย" ถูซินเยว่กล่าวอย่างหนักแน่นโดยไม่รอให้ซูจื่อหังตอบ เธอก็กลับไปเปิดหีบใส่ขอ
ถูซินเยว่โบกกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอภายใต้แสงแดด ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ พูดจาคล่องแคล่วเสียงสดใส ทำให้เหล่าฝีหนองบนหน้าเธอถูกลืมไปโดยปริยายจู่ ๆ ซูจื่อหังก็รู้สึกว่าถูซินเยว่ไม่ได้อัปลักษณ์ขนาดนั้นแล้วพวกเขาทั้งสองทำข้อตกลงกันโดยปริยายว่าจะไม่พูดถึงเรื่องของถูหมิงซวนและเหลียงปินอีก ด้วยกลัวว่ามันจะมืดค่ำเสียก่อน ทั้งสองจึงรีบก้าวเดินขึ้นภูเขาหมู่บ้านต้าเย่อยู่ด้านหน้าภูเขาใหญ่ ด้านหลังเป็นภูเขาลึกและป่าเก่าแก่ที่มีใบไม้และพุ่มไม้เขียวชอุ่มอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งสองกำลังเดินขึ้นไปบนภูเขา ถูซินเยว่ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า "เจ้าจะไปเก็บอะไร? หรือว่าจะล่าสัตว์กลับไป?"ซูจื่อหังซึ่งปกติอยู่แต่ในห้องหนังสือท่าทางองอาจผ่าเผยตอนนี้ขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ที่จริงแล้วตั้งแต่จำความได้ นางหยูให้เขาอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือตลอด ปกติไม่เคยให้เขาต้องทำงานเหล่านี้เลยขึ้นเขามาครั้งนี้ ก็แค่เพราะเขาเคยเห็นคนในหมู่บ้านขึ้นมาล่าสัตว์ได้กลับไปเป็นครั้งคราว ดังนั้นเขาจึงอยากลองมาเสี่ยงโชคดูบ้าง"บนเขานี้มีเลียงผา แต่ปกติไม่ค่อยได้เห็น ข้าลองมาเสี่ยงดวงดูน่ะ" ซูจื่อหังบอ
ถูซินเยว่รูปร่างอ้วนท้วน ท่าวิ่งเหมือนลูกขนุนกลิ้งได้ ตามความจะเป็นควรจะวิ่งได้ช้าแต่ชาติก่อนเธอเป็นแพทย์ทหารจากหน่วยรบพิเศษ มักจะได้รับการฝึกฝนต่าง ๆ ในกองทัพแม้ว่าตอนนี้เธอจะอ้วน แต่ศักยภาพภายในนั้นไม่ด้อย ขณะที่หมูป่ากำลังจะวิ่งหนีมาทางเธอ ทันใดนั้นเธอก็รีบวิ่งเข้าไปขวางอีกฝ่ายหมูป่าชะงักไปชั่วขณะ ถูซินเยว่เองก็ชะงักไปเช่นเดียวกันดีมากไอ้หนู หมูป่าตัวนี้ถึงจะตัวไม่ใหญ่ แต่หน้าตาดุดันนี่คือหมูป่าสีเทาดำ เขาบนหัวสึกกร่อน หนังแข็ง ๆ ปกคลุมไปด้วยขนเล็กแข็งบางตา ขนแผงที่คอด้านหลังทั้งยาวและแข็ง ที่น่าหวาดเสียวที่สุดก็คือปากของมันมีเขี้ยวขนาดใหญ่สองอันดูคมกริบ ขณะที่กีบหน้าทั้งสองของหมูป่าจิกโคลนที่อยู่ข้างหน้าอย่างกระวนกระวาย เขี้ยวที่แหลมคมของมันก็แยกเข้าแยกออก ราวกับว่าพร้อมที่จะกินคนที่อยู่ข้างหน้ามันทุกเมื่อถูซินเยว่เลียริมฝีปากซูจื่อหังก็ดูตึงเครียด เดิมทีเขาคิดว่าหมูป่าจะวิ่งมาทางเขา นึกไม่ถึงว่ากลับวิ่งไปทางถูซินเยว่ แม้ว่าซินเยว่จะอ้วน แต่ยังไงเธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิง ต้องมาเผชิญหน้ากับหมูป่าเช่นนี้...เมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ เขาก็เห็นว่าหมูป่าหมดความอดทนลงแล้วเมื่อถ
เมื่อทั้งสองคนกลับจากภูเขาก็เกือบจะค่ำแล้วเนื่องจากซูจื่อหังได้รับบาดเจ็บ ถูซินเยว่จึงช่วยประคองเขาตลอดทางกลับบ้านเมื่อมาถึงประตูบ้าน ซูจื่อหังก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ซินเยว่ เจ้าเอาหมูป่าไปซ่อนไว้ก่อน ถ้าท่านย่าและท่านป้าเห็นเข้า พวกเขาต้องโวยวายเป็นแน่ หลังจากขายได้เงินแล้ว ค่อยเอาไปให้พวกท่านสักขานึง”อย่างไรแล้วแม่เฒ่าตระกูลซูก็คือย่าของเขา แม้ว่าวันนี้ทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ซูจื่อหังก็ยังคงนึกถึงความดีที่มีอยู่บ้างของพวกเขาจึงคิดจะเก็บขาหมูไว้ให้พวกเขาสองคนเพื่อแสดงความกตัญญูถูซินเยว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังแต่ทันทีที่เขาผลักประตูไม้ของลานบ้านเปิดออก ใบหน้าของซูจื่อหังก็เต็มไปด้วยความตระหนก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็วิ่งเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ"ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม"เกิดอะไรขึ้น?ถูซินเยว่รู้สึกงุนงง จึงเดิมตามหลังซูจื่อหังไปเมื่อเธอเห็นนางหยูนอนเหยียดอยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน ก็ตกใจเช่นเดียวกันก่อนไปยังเห็นนางหยูนอนอยู่บนเตียงในห้องอยู่เลยนี่นา ทำไมจู่ ๆ นางถึงไปนอนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้านได้ล่ะ?เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแม่เฒ่าแห่งบ้านตระ
แน่นอนว่าถูซินเยว่จะไม่ทำร้ายซูเฟิ่งอี๋จนถึงตาย หากตายขึ้นมาเธอต้องถูกส่งตัวไปกินข้าวคุกในอำเภอไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าแลกกับเศษสวะเช่นนี้เธอยืนขึ้นแล้วเดินไปยังซูจื่อหังที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แล้วพูดว่า "มาอุ้มท่านแม่ออกไปด้วยกันเถอะ"ในเมื่อตระกูลซูไล่พวกเขาไป ถูซินเยว่จึงไม่หน้าด้านหน้าทนพอที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปซูจื่อหังพยักหน้า เหลือบมองซูเฟิ่งอี๋บนพื้นที่พยายามลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น แล้วจึงหันไปมองมือของถูซินเยว่ จู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า "มือเจ้าเจ็บหรือเปล่า?"“ฮะ?” ถูซินเยว่ตะลึงงัน ลูบฝ่ามือของตัวเองโดยไม่รู้ตัวจะว่าไป เมื่อครู่เธอเองก็ไม่ได้รู้สึก แต่เมื่อถูกซูจื่อหังถามขึ้นเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบอยู่ที่ฝ่ามือเล็กน้อยเพราะอย่างไรแล้วการตบกว่าสิบครั้งนั้น ก็เกิดแรงปะทะขึ้นทั้งสองฝ่าย“ดูเหมือนจะเจ็บนิดหน่อยน่ะ” ถูซินเยว่ยิ้มโง่ให้ซูจื่อหังสองทีซูจื่อหังกล่าวต่อว่า "คราวหน้าถ้าเจ้าจะตบตีใคร ก็อย่าใช้มือตัวเอง หาคนอื่นมาช่วยดีกว่า""ได้" ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อครู่เธอกำลังโกรธจึงไม่ได้คิดอะไรมากในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน พวกเขาก็อุ้มนางหยูขึ้น และเดินไปที่
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด