แม้ว่าทะเลสาบน้ำแข็งจะหนาว แต่เมื่อเทียบกับฝูงหมาป่าด้านหลัง การตัดสินใจจึงไม่ยากเย็นทันทีกวานเหยียนกัดฟัน รวบรวมความกล้า พยายามพูดด้วยน้ำเสียงแน่นิ่งว่า "ในเมื่อคุณชายเชื่อใจท่าน ข้าเองก็เชื่อท่านเช่นกันท่านหมอเทวดา!"ตอนนี้พวกเขาถึงคราวจนตรอกแล้ว ถ้าการกระโดดลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งตรงหน้าคือทางรอดเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้ไม่อยากกระโดดก็ต้องกระโดดระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกัน ฝูงหมาป่าก็ไล่ตามมาแล้ว ซึ่งท่าทีดุร้าย น่าหวาดผวาที่สุด เมื่อกี้พวกเขายังพอมีเรี่ยวแรงต่อกรกับพวกมันได้บ้าง แต่ตอนนี้ฝูงหมาป่าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ถ้าขืนยังโอ้เอ้ชักช้าอยู่ข้างทะเลสาบ คงได้แต่กลายเป็นมื้ออาหารอันโอชะให้กับฝูงหมาป่าถูซินเยว่ยังอยากกลับไปหาซูจื่อหัง ยังอยากไปดูชื่อที่ติดอันดับแรกในการสอบของซูจื่อหัง แล้วจะมาตายง่ายๆ ในภูเขาหิมะนี้ได้อย่างไร?ตลอดทางที่วิ่งมาเธอจับมือไปอี้หรันไว้ตลอด เมื่อเห็นฝูงหมาป่ากำลังวิ่งเข้ามา หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เธอก็พาไปอี้หรันกระโดดไปในทะเลสาบน้ำแข็งพร้อมกันๆสัมผัสแรกที่กระโดดลงไปคือความหนาวเหน็บที่แทรกซึมเข้ากระดูก ถูซินเยว่รู้สึกเหมือนว่าแขนขาตนเองถูกแช่แข็งไปหมด อย่าว่า
ภายในถ้ำมีเศษกิ่งไม้และใบไม้แห้งอยู่บ้าง คิดว่าเมื่อก่อนคงเคยมีนกหรือสัตว์อะไรมาทำรัง แต่ดูจากความแห้งของมันแล้วคงจะนานพอสมควรแล้วเช่นกัน ทั้งสี่คนจึงพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวได้อย่างวางใจที่หลังของกวานเหยียนมีผ้าห่มผืนหนึ่ง ตอนที่กระโดดลงในทะเลสาบน้ำแข็ง เขาซึ่งปกติแล้วมักจะซื่อบื้อก็เกิดฉลาดขึ้นมา ยกผ้าห่มไปไว้บนหัว ดังนั้นมันจึงไม่เปียกน้ำทันทีที่เข้าไปในถ้ำ กวานเหยียนก็ทำตามคำสั่งของถูซินเยว่ โดยถอดเสื้อผ้าเปียกบนตัวของไป๋อี้หรันออก จากนั้นก็ใช้ผ้าห่มคลุมตัวเขาไว้อาจเป็นเพราะถูกผ้าห่มห่อเอาไว้ทำให้มีความอบอุ่นเพิ่มขึ้น ดังนั้นสถานการณ์ของไป๋อี้หรันจึงดีขึ้นไม่น้อย ใบหน้าที่เดิมทีซีดขาวก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาทว่าถูซินเยว่ที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงกองไฟที่เพิ่งจุดติด แอบรู้สึกเซ็งๆ อยู่ในใจ หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าพวกเขาละก็ ตอนนี้เธอคงเข้าไปอยู่ในมิติแล้วอากาศในมิติอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิตลอดปี เธอแค่ถอดเสื้อผ้าออก แล้วนอนหลับสักตื่นในนั้น เกรงว่าเช้าวันพรุ่งนี้เสื้อผ้าก็คงแห้งหมดแล้ว จะต้องมาทนอยู่ในสภาพดังตอนนี้ที่ไหน?แม้ว่าถูซินเยว่จะอยากทำแบบนี้มากๆ แต่ฉงเป่าเคยกำชับกับเธอไว้ว่า ถ้
แม้ว่ากวานเหยียนจะดูโง่เง่า ทว่ากลับมีความสามารถอยู่พอตัวไม่พูดถึงอย่างอื่น ลำพังความสามารถในการย่างปลาก็เพียงพอที่จะทำให้คนชื่นชมได้หลังจากที่ถูซินเยว่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ออกจากถ้ำไปเดินเล่นข้างนอกเดิมทีตั้งใจจะออกมายืดเส้นยืดสาย แล้วกลับไปดูว่ากวานเหยียนย่างปลาอย่างไร แต่คาดไม่ถึงว่าเดินมาได้ครึ่งทาง ก็เห็นไป๋อี้หรันนั่งอยู่ข้างทะเลสาบจากที่ไกลๆ ดูเหมือนเขากำลังเหม่อลอย ส่วนมือกำลังหยิบหินก้อนเล็กๆ โยนไปในทะเลสาบถูซินเยว่มองไปที่หมอกขาวซึ่งลอยขึ้นมาจากผิวน้ำของทะเลสาบ ทันใดนั้นก็รู้สึกนับถืออีกฝ่ายขึ้นมา เพราะการอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนในตอนนี้ก็หนาวมากพออยู่แล้ว แต่ยิ่งอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบ ความหนาวเหน็บเข้ากระดูกก็ยิ่งถาโถมเข้ามาบวกกับเมื่อคืนนี้พวกเขากระโดดลงทะเลสาบหนีตาย แช่ตัวอยู่ในน้ำเกือบครึ่งชั่วยาม แม้เวลาไม่ถึงกับยาวนานมาก แต่ก็ไม่สั้นมาก ดังนั้นตอนนี้ถูซินเยว่แค่เพียงนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็น อย่าว่าแต่ไปนั่งเล่นข้างทะเลสาบเลย ลำพังแค่มองเธอก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวแล้วซึ่งเห็นได้ชัดว่าไป๋อี้หรันเป็นคนที่กล้าหาญมากถูซินเยว่เดินไป
ถูซินเยว่รู้สึกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบนยอดเขาเทียนซานจะมีสิ่งก่อสร้างที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ด้วย ซึ่งมองจากมุมไกลๆ จะเห็นเหมือนเห็ดดอกใหญ่ๆ ซึ่งค้ำอยู่ตรงกลางระหว่างสองยอดเขาของเขาเทียนซาน ก่อให้เกิดเป็นโดมขนาดใหญ่ที่ด้านบนปกคุลมไปด้วยหิมะ"บัวหิมะเทียนซานอยู่ที่นี่หรือ? พวกเราจะยังรออะไรอยู่เล่า รีบเข้าไปหากันเถอะ!"เถ้าแก้ส่ายหน้า ใช้มือลูบเครา แล้วพูดอย่างลึกซึ้งว่า "บัวหิมะเทียนซานเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่ามาก และหนึ่งในเหตุผลที่มันมีคุณค่ามากก็เพราะโดยพื้นฐานแล้วหนึ่งปีจะบานเพียงแค่หนึ่งดอก เจ้าดูโดมที่กว้างใหญ่นี้สิ ทุกปีเมื่อถึงฤดูดอกบาน บัวหิมะเทียนซานก็จะมีดอกบานจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุดที่จะอยู่รอดได้จะมีเพียงหนึ่งดอกเท่านั้น""ในเมื่อมีดอกบานมากมายในตอนแรก แล้วทำไมตอนสุดท้ายถึงไม่รอดจนเหลือเพียงแค่ดอกเดียว?"กวานเหยียนถามคำถามที่โง่เขลาออกมาซึ่งที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก มันเหมือนกับการบูชา แม้ว่าบัวหิมะเทียนซานจะบานเป็นจำนวนมาก แต่ดอกสุดท้ายที่รอดมาได้นั้นคงเป็นดอกที่มีฤทธิ์ยาดีที่สุด ส่วนดอกอื่นๆ ทั้งหมดจะก็เป็นการเสียสละโดยเป็นอาหารให้กับบัวหิมะดอกนี้
ภายใต้การนำของเถ้าแก่ ทั้งสี่คนก็ปีนขึ้นไปบนโดมอย่างเงียบๆถูซินเยว่อยู่ด้านหลังสุด เมื่อมองไปยังเถ้าแก่ที่ดูคุ้นเคยกับที่ทางเป็นอย่างดี ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ขึ้นมาบนโดมเป็นครั้งแรกแน่นอน เกรงว่าคงจะรู้แต่แรกแล้วว่าด้านบนโดมมีบัวหิมะเทียนซานเถ้าแก่คนนี้ปกติไว้หนวดไว้เคราดูเป็นคนซื่อๆ ตรงๆ แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีแผนการแบบนี้อีกฝ่ายสามารถที่จะเก็บซ่อนความลับไว้ได้นานขนาดนี้ และมาบอกพวกเขาเมื่อถึงยอดเขาเทียนซาน ก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถแต่เมื่อคิดกลับกัน เธอเองก็เข้าใจ เถ้าแก่เองก็คงกลัว หากตนเองนำความลับนี้บอกกับพวกเขา ถึงเวลาพวกเขากลับลำ เงินหนึ่งหมื่นตำลึงก็คงหายวับไปกับตา"พวกเจ้าระวังหน่อย ตรงนี้ทางลื่น อย่าได้ส่งเสียงอะไรรบกวนงูหลามยักษ์ข้างล่างเชียวล่ะ"เมื่อปีนมาได้ครึ่งทางก็เริ่มจะกินแรง เถ้าแก่ไม่วางใจจึงหันหลังมากำชับกับพวกเขาถูซินเยว่พยักหน้า เขาหิมะแบบนี้ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับเธอ แต่ไม่รู้ว่าสำหรับไป๋อี้หรันและคนรับใช้ตัวน้อยของเขาจะเป็นอย่างไรอย่างที่คิด เมื่อหันหลังมองไป กวานเหยียนก็ราวกับเจอเรื่องน่าตกใจ แข้งขาสั่นเทา เขาจึงพยายามบังคับตนเองไม่ให้หันไปม
พูดไปยังไม่ทันขาดคำ งูหลามยักษที่เดิมทีอาศัยอยู่ข้างล่างโดมก็เหมือนสังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง มันพุ่งตัวตรงขึ้นมาจากด้านล่างโดมจนตรงกลางโดมแตกกวานเหยียนตกใจจนขวัญผวาไปหมด เขารีบกระโดดไปอยู่ข้างๆ ถูซินเยว่เถ้าแก่เองก็ตกใจแทบแย่ เพียงแต่อีกฝ่ายช้าไปหนึ่งก้าว จึงถูกขวางเอาไว้อีกด้านหนึ่ง"เถ้าแก่!"เวลาแบบนี้ กวานเหยียนกลับรู้สึกเป็นห่วงเถ้าแก่ที่ปกติมักต่อล้อต่อเถียงกับตนเองตลอดถูซินเยว่มองไปอย่างเย็นชา ก็เห็นว่าตาข้างหนึ่งของงูหลามยักษ์มีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครกันที่มีความสามารถเช่นนี้ เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากตาข้างนั้น ชวนให้สะอิดสะเอียนมาก ไม่เพียงเท่านี้ มันยังส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมาด้วยกลิ่นนี้ทำเอาถูซินเยว่แทบจะอาเจียนออกมาดูท่าทางงูหลามยักษ์ตัวนี้ไม่รู้กินมนุษย์เข้าไปเท่าไรในแต่ละปี ซึ่งต่อให้ท้ายที่สุดบัวหิมะเทียนซานจะตกเป็นของมัน ก็ไม่อาจชำระล้างงูหลามยักษ์ตัวนี้ได้ตาของงูหลามยักษ์ถูกทิ่มบอดไป ก็ทำให้มันโกรธมากพออยู่แล้ว พอพุ่งขึ้นมาแล้วเห็นว่าถูซินเยว่เด็ดบัวหมะเทียนซานของมันไป ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น มันขยับตีหางจนโดมสั่นเซไปมา ราวกับพร้อมพังลงได้ทุกเมื่อ
ถูซินเยว่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลูบจมูกตัวเองอย่างเขินอายเมื่อกี้นี้เพราะเห็นแก่ประโยชน์ ภายใต้สถานการณ์คับขันแบบนั้น เธอไม่ทันได้คิดอะไรมาก เพียงแค่โยนบัวหิมะเทียนซานลงไปในน้ําพุวิญญาณเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าบัวหิมะเทียนซานนี้จะดูดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ของเธอจนเหือดแห้งแบบนี้?"งูหลามยักษ์ตัวนั้นเมื่อกี้ เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็น ถ้าข้าช้ากว่านี้อีกนิด อาจจะโดนมันกินไปแล้วก็ได้"ถูซินเยว่พยายามเปลี่ยนเรื่องฉงเป่ามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า "เจ้าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยัวไวคนที่ควรปวดใจน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็คือเจ้า ไม่ใช่ข้า"อีกฝ่ายไม่พูดก็ยังดี พอพูดออกมาปั๊ป ถูซินเยว่ก็รู้สึกใจสั่นอีกแล้วทันใดนั้น จิตวิญญาณของเธอก็สั่นไหว ดูเหมือนว่าข้างนอกมีคนกำลังเรียกเธออยู่ถูซินเยว่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า "เป็นกวานเหยียน ช่างเถอะ เรื่องน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าจะเอาบัวหิมะเทียนซานออกไปช่วยคนก่อน"กล่าวจบ จิตของเธอก็เตรียมจะออกจากมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ฉงเป่ารีบยื่นมือออกมาจับมือของถูซินเยว่ไว้"เจ้ารอก่อน" ฉงเป่ามองดอกบัวหิมะเทียนซานที่แกว่งไกว
ในขณะที่ทั้งสามคนกําลังจะลงจากภูเขาหิมะ ร่างกายของถูซินเยว่ก็หยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกมีความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกมาจากใต้ท้องน้อย จากนั้นใบหน้าก็ซีดลงทันทีไป๋อี้หรันและกวานเหยียนเดินไปไกลแล้ว ไม่ได้สังเกตเธอเลย จนกระทั่งถูซินเยว่หมดแรงและล้มลงกับพื้นแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวกัน"ท่านหมอเทวดา เกิดอะไรขึ้น?" กวานเหยียนรีบวิ่งเข้ามาประคองถูซินเยว่ไว้ใบหน้าของไป๋อี้หรันก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล"เจ้าเป็นยังไงบ้าง?"ถูซินเยว่ส่ายหัวจริง ๆ แล้วเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรก่อนหน้านี้ตอนขึ้นเขา ท้องของเธอก็รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยแล้ว แต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดว่าคงเป็นเพราะลุกพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน สมองหมุนติ้วก็ช่างเถอะ แต่ท้องน้อยยังเจ็บขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้แบบนี้ถูซินเยว่คุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้มาก ความรู้สึกแรกของเธอคือประจำเดือนของเธอมาแน่นอนอาจเป็นเพราะอยู่ในหิมะนานเกินไป ดังนั้นประจำเดือนมาถึงได้ปวดขนาดนี้แต่แล้ว ถูซินเยว่ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะเลือดใต้ร่างกายของเธอไหลจนย้อมกา
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด