หลังจากที่ซูจื่อหังมั่นใจว่าคนเหล่านั้นจากไปแล้ว และไม่ได้ยินเสียงสำรวจแล้ว จึงปล่อยชายหนุ่มที่แบกอยู่ลง และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ดูแล้วเจ้าคงไม่ใช่คนฐานะธรรมดา ทำไมถึงมาที่หมู่บ้านต้าเย่?"ชายหนุ่มชะงัก มองไปที่ซูจื่อหังอย่างคาดไม่ถึง ขมวดคิ้วแล้วว่า "เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คนธรรมดา แล้วยังกล้าช่วยข้าอีกหรือ?"คนปกติมักกลัวจะนำหายนะมาสู่ตัวมิใช่รึ? ในเมื่อซูจื่อหังรู้ว่าตนเองมีสถานะไม่ธรรมดา ก็น่าจะรีบหนีไปให้ไกล ทำไมเมื่อกี้นี้ถึงได้ช่วยตนเองเอาไว้?คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ตัวเขานั้นรู้เป็นอย่างดีเลยว่ากลุ่มชายชุดดำเมื่อสักครู่ร้ายกาจมากขนาดไหนเดิมทีเขาเร่งเดินทางมาจากทางเหนือ กลับถูกกลุ่มคนชุดดำลอบโจมตี ตัวเขาบาดเจ็บสาหัส และพลัดหลงกับลูกน้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพวกมันชายหนุ่มหลุบตาลง แววตาแฝงความดุร้ายซูจื่อหังกลับจัดเสื้อผ้าของตนเองแล้วพูดว่า "ข้าอยากช่วยก็เลยช่วย"แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนไม่ดี บวกกับสถานการณ์วิกฤตคับขัน เขาก็แค่ทำไปตามเหตุการณ์ที่พาไปเท่านั้น"พี่ชายช่างตรงไปตรงมาจริงๆ!" ชายหนุ่มหัวเราะ แม้ว่าบนไหล่
ถูซินเยว่ยิ้มหวาน เธอชอบความรู้สึกที่ซูจื่อหังเชื่อเธอหมดใจเช่นนี้เธอตรวจดูร่างกายของเฉินหวานครู่หนึ่ง พบว่าบนร่างกายอีกฝ่ายนอกจากแผลธนูแล้ว ยังมีแผลจากมีดอีกบางส่วน แต่เมื่อเทียบกับแผลธนูแล้ว แผลมีดที่อื่นๆ ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย"อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัส ที่รัก เจ้าไปหยิบกรรไกรเล่มหนึ่ง กับกะละมังใบหนึ่งใส่น้ำอุ่นมาให้ข้าหน่อย""อื้อ" ซูจื่อหังพยักหน้า แล้วรีบหันหลังออกไปเมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ถูซินเยว่ก็จุดเทียน จากนั้นก็เข้าไปตักน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์มาหนึ่งแก้ว แล้วป้อนชายหนุ่มดื่มน้ำพุศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยยื้อชีวิตได้ผลดีกว่าโสม ในยุคโบราณไม่มียาชา ถูซินเยว่กลัวว่าตอนที่ตนเองดึงลูกธนูออกมา อีกฝ่ายเจ็บจนตายจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวซูจื่อหังคล่องแคล่วมาก เพียงครู่หนึ่งก็ถือเอาของที่จะใช้เข้ามาแล้ว และยังนำกล่องยาของถูซินเยว่มาด้วยชายหนุ่มถอดชุดคลุมบนตัวออกแล้วโยนทิ้งไว้ข้างๆ จากนั้นก็มาช่วยถูซินเยว่ ถูซินเยว่หยิบกรรไกรขึ้นมาก่อน เพียงพริบตาเดียวก็ตัดเสื้อผ้าของเฉินหวานออก ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแน่นของชายหนุ่มตามปกติแล้ว ถูซินเยว่ซึ
นางหยูเป็นคนจิตใจดี หลังจากที่ซูจื่อหังอธิบายให้นางฟัง นางไม่เพียงแต่ไม่คัดค้าน แต่ยังต้มน้ำซุปสำหรับบำรุงร่างกายไปให้เฉินหวานโดยเฉพาะอีกด้วยตอนนี้หิมะตกหนักปิดภูเขา ไม่มีใครออกจากบ้าน จึงไม่มีใครรู้ว่าตระกูลซูมีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคนเพราะกลัวว่าที่อยู่ของเฉินหวานจะเล็ดลอดออกไปแล้วจะดึงดูดกลุ่มคนชุดดำมา ตอนที่ซูจื่อหังไปซื้อยาจากหมอหลี่ก็จะไปแบบเงียบๆ และบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บของตนเอง ไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวของเฉินหวานเลยสักนิดหลังจากที่ซื้อยากลับมา ถูซินเยว่ก็จะไปเอาตัวยาที่สำคัญบางตัวมาจากในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แล้วผสมไปในสมุนไพรเหล่านั้น แน่นอนว่าสมุนไพรจากมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์มีประสิทธิภาพมากกว่าของข้างนอกหลายสิบเท่าดังนั้นเมื่อนำไปใช้กับเฉินหวานก็เห็นผลเร็วมากเช่นกัน แม้ว่าบาดแผลจะยังไม่ฟื้นตัวทั้งหมด แต่เฉินหวานก็ไม่ได้นอนหมดสติต่อไป ทว่าในวันถัดมาก็รู้สึกตัวแล้ว"โชคดีที่เจ้าฟื้นแล้ว ถ้าเจ้าไม่ตื่นมาอีกละก็ ข้าคงต้องไปเรียกหมอจากในอำเภอมาดูอาการเจ้าแล้ว" ตอนที่เฉินหวานฟื้นขึ้นมา ถูซินเยว่กำลังทายาให้เขาที่จริงเฉินหวานตื่นเพราะความหิว เพียงแต่ตื่นมาแล้วพบว่ามีคน
ซูจื่อหังเป็นคนช่วยชีวิตเขามา ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้ว ก็ควรจะบอกให้ซูจื่อหังรู้ตอนที่ถูซินเยว่มา แม่เฒ่าตระกูลซูปิดประตูลงกลอนอยู่ในห้องด้วยอารมณ์โกรธ ไม่ยอมให้ใครเข้าไปซูฟาเสียงคุกเข่าอยู่กับพื้น ร้องห่มร้องไห้ยอมรับผิด ส่วนซูเฟิ่งอี๋นั่งตำหนิติว่าอีกฝ่ายอยู่บนเก้าอี้ข้างๆถูซินเยว่มองไปทีหนึ่งก็เดินเข้าไปหาซูจื่อหังที่ครัว"ท่านแม่ ท่านพี่อยู่ไหนหรือ?""เจ้าหมายถึงจื่อหังสินะ จื่อหังออกไปดูว่าข้างนอกมีฟักทองหรือไม่" นางหยูยุ่งอยู่กับการทำอาหาร นางมองมาที่ถูซินเยว่ทีหนึ่ง แล้วใช้สายตาบ่งบอกทิศทางถูซินเยว่มองตามไปสายตาของอีกฝ่ายก็เห็นคนที่อยู่ด้านหลังเตาไฟ จึงพยักหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง ที่จริงถูซินเยว่เคยพบเหลยซีมาก่อน เพียงแต่ตอนที่พบกันคือเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนั้นเหลยซีเนื้อตัวขาวสะอาด เหมือนดั่งคุณหนู แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ต้องตกใจที่อีกฝ่ายดูโทรมไปมากไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหลยซีถูกซูฟาเสียงทำร้ายมา ผู้ชายที่เชื่อถือไม่ได้อย่างซูฟาเสียง ต่อให้แต่งงานกับเหลยซี มีครอบครัวแล้ว เกรงว่าวันๆ ก็ยังคงพึ่งพาอะไรไม่ได้เช่นเดิม ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าตระกูลซูคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ แต่ถูก
หลังจากที่ตอบรับข้อเสนอของซูจื่อหัง เฉินหวานก็พักอยู่ที่ตระูลซูอย่างเป็นทางการ เขาได้รับบาดเจ็บที่แขน บนร่างกายก็มีบาดแผลใหญ่น้อยอีกหลายจุด หลายวันก่อนได้แต่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงแต่ว่ายาของถูซินเยว่เห็นผลดีมาก หลายวันต่อมา เขาก็เริ่มขยับแขนได้ และสามารถลงจากเตียงมาเดินได้แล้วโชคดีที่กลุ่มคนชุดดำที่ไล่ฆ่าเฉินหวานก่อนหน้านี้ ราวกับกลัวว่าร่องรอยจะเล็ดลอดออกไป จึงไม่ได้ตามหาเฉินหวานอย่างเปิดเผยในหมู่บ้านต้าเย่ ดังนั้นความกังวลของถูซินเยว่และซูจื่อหังในตอนแรกจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปอากาศในช่วงเดือนสิบเอ็ด ช่วงเช้าในตอนที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นอากาศมักจะหนาวเป็นพิเศษ แต่ช่วงนี้หิมะที่กองอยู่บนพื้นบางส่วนเริ่มละลายแล้ว มีเพียงยอดภูเขาที่ยังคงเป็นสีขาวโพลน กับมุมกำแพงที่แสงแดดส่องไม่ถึงที่ยังมีกองหิมะอยู่เพราะว่าหิมะที่ตกทำให้ถนนหนทางลื่น จึงไม่ได้ส่งเต้าหู้เข้าไปในอำเภอหลายวันแล้ว ถูซินเยว่คาดว่าคนของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงคงร้อนใจไม่น้อย จึงสั่งให้โรงงานเต้าหู้เริ่มทำเต้าหู้อีกครั้ง เพื่อส่งไปในอำเภอเฉินหวานก็ตามถูซินเยว่มาด้วย ตั้งใจว่าจะเข้าไปดูในอำเภอกับเธอ หลายวันมานี้เขา
"เถ้าแก่ของเราเคยพูดถึงเจ้าส่วนตัว ก่อนหน้าเรื่องของโรงเตี๊ยมชุนเฟิง เถ้าแก่ก็คอยสังเกตุเจ้าแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ท่านไปที่ผิงโจว จึงไม่มีเวลาพบกับเจ้า ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว"ถูซินเยว่พยักหน้า แม้ในความคิดของเธอจะรู้สึกว่าเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงต้องการพบเธอไม่ได้แฝงเจตนาร้ายไว้ แต่อยู่ดีๆ บอกว่าอยากพบตนเอง ถูซินเยว่เองก็รู้สึกสงสัยเธอเลิกคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า "ลุงเฉียน ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ของพวกท่านต้องการพบข้าเรื่องอันใดรึ ท่านบอกข้าก่อน ข้าจะได้เตรียมใจไว้ด้วย"ลุงเฉียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา และพูดอย่างเซ็งๆ ว่า "เถ้าแก่ของข้าเป็นคนที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ปกติแล้วก็มักไม่เผยความคิดให้ใครรู้ง่ายๆ เถ้าแก่ไม่ได้พูด ข้าก็ไม่ใช่หนอนพยาธิในลำไส้ของท่าน ข้าจะรู้ได้อย่างไร เจ้ารีบตามข้าไปพบท่านเถอะ"เธอกับลุงเฉียนก็นับว่ารู้จักกันมาปีกว่าแล้ว ถูซินเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอเชื่อว่าลุงเฉียนไม่ทำร้ายตนเอง จึงลุกขึ้นและพยักหน้าว่า "ถ้าเช่นนั้น ไหนๆ วันนี้ข้าก็มาพอดี ก็พาข้าไปพบเถ้าแก่ของพวกท่านเถอะ"ลุงเฉียนต่าสว่างทันที เขากำลังกังวลว่าถูซินเยว่จะไม่ยอมไปด้วย แต่เมื่ออีกฝ่ายยอม
ลุงเฉียนใช้มือลูบคาง แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า "ข้าก็ไม่เคยบอกว่าเถ้าแก่ของเราเป็นผู้ชายนี่ อีกอย่าง เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงสำคัญมากเลยหรือ?"เมื่อพูดถึงประโยคหลัง ลุงเฉียนก็หันไปทำท่าขมวดคิ้วให้กับถูซินเยว่ถูซินเยว่จนปัญญา จะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เพียงแต่แรกเธอคิดมาตลอดตั้งแต่แรกเริ่มว่าเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเทียนเซียงเป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงตกใจมากเท่านั้นเองแต่หลังจากที่พบกับหลินเพียวเหมียว ถูซินเยว่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนมากๆ ดูไม่เหมือนเถ้าแก่ แต่เหมือนพี่สาวเสียมากกว่าส่วนที่เรื่องของร้านเครื่องประดับที่หลินเพียวเหมียวพูดถึง เธอเองก็ต้องกลับไปคิดทบทวนให้ดีที่จริงตอนแรกถูซินเยว่ไม่ได้สนใจในร้านเครื่องประดับเลย เป้าหมายของเธอก็เป็นอย่างที่ซูจื่อเคยพูดเอาไว้ คือกลายเป็นอันดับหนึ่งด้านธุรกิจอาหาร เพียงแต่ถ้าสามารถร่วมงานกับหลินเพียวเหมียว และอาศัยหลินเพียวเหมียวขยายกิจการของตนเองให้เร็วขึ้น ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวถูซินเยว่ใช้มือลูบคางและเริ่มครุ่นคิดเมื่อลุงเฉียนเห็นว่าหลังจากที่เธอออกมาจากลานบ้าน สีหน้าท่าทางดูเคร่งเครียด ก็อดพูดขำไม่ได้ว่า "ท่าทางเถ้าแก่ของเราคง
"ปล่อยนะ" เฉินหวานขมวดคิ้วมุ่น ปกติเขาเป็นคนมีความอดทนจำกัดอยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาถูกเนื้อต้องตัวเมื่อครู่ที่อดทนไม่ส่งเสียง เพราะเกรงว่าจะเผยฐานะของตนเท่านั้น แต่ถ้าเด็กสาวแปลกหน้าผู้นี้ยังมาทำเลยเถิดอีก เขาก็ไม่รู้จ้กคำว่าให้เกียรติผู้หญิงเหมือนกันเมื่อเห็นเด็กสาวยังไม่ยอมปล่อยแขนเสื้อของตน สายตาชายหนุ่มก็ฉายแววดุดัน กล่าวเสียงเย็นว่า "ข้าจะให้เวลาหนึ่งวินาที รีบปล่อยเสื้อข้าเดี๋ยวนี้" "พูดจาดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องดุด้วย" กู้เยว่หวากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แต่มือยังคงจับที่แขนเสื้อของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย พร้อมกับบ่นพึมพำเสียงเบา "ข้าชื่อกู้เยว่หวา ถ้าท่านยอมบอกข้าว่าชื่ออะไร ข้าก็จะปล่อยเสื้อของท่าน" และราวกับนึกอะไรขึ้นได้ กู้เยว่หวายื่นมืออีกข้างออกมา พลางชี้ไปทางถูซินเยว่อย่างไม่พอใจและกล่าวว่า "อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับท่าน ท่านต้องบอกมาด้วย""กู้เยว่หวา?" สายตาเฉินหวานลุ่มลึกลง ชื่อนี้ฟังดูคุ้น ๆ เขาเหลือบมองถูซินเยว่หนึ่งที พลางกล่าวเนิบ ๆ ว่า "นางเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้า"เมื่อกล่าวจบ ไม่รอให้กู้เยว่หวาตั้งสติกลับมา ก็รีบกระชากแขนเสื้อกลับคืนมาทันที
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด