ในแง่ของภูมิศาสตร์ หมู่บ้านซีตงนั้นอยู่ห่างไกลกว่าหมู่บ้านต้าเย่อีก หมู่บ้านซีตงล้อมรอบไปด้วยภูเขา ถนนที่ตัดผ่านออกไปข้างนอกเป็นลักษณะเหมือนลูกน้ำเต้า ถนนก็สูงชันและอันตราย โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีคนออกไปข้างนอกเท่าไหร่ สามารถบอกได้ว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซีตงนั้นยากจนกว่าชาวหมู่บ้านต้าเย่มากถ้าไม่ใช่เพราะหัวหน้าหมู่บ้านเฉินมีลูกสาวที่พึ่งพาได้ ได้แต่งงานกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมชุนเฟิง หัวหน้าหมู่บ้านเฉินก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนรวย ๆ เลยถูซินเยว่ยืนอยู่นอกประตูรั่วที่ดูโอ่อ่า เธอมองไปรอบ ๆ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า "เราไปขึ้นเกวียนวัวไปนั่งรอที่ปากทางสักพักแล้วกัน""ได้สิ" หลี่เม่าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวหน้าหมู่บ้านเฉินจะออกมาหาพวกเขาไหม จึงตอบตกลงทันทีมานั่งที่ปากทางเข้าหมู่บ้านซีตงแล้วสามารถมองเห็นนาข้าวของพวกเขาได้ มองจากไกล ๆ แล้วต้นข้าวเขียวขจีลู่ลมไปทางเดียวกันดูสวยงามตระการตาทีเดียวแต่ถูซินเยว่ก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีที่นาบางแปลงรกร้างไม่มีคนทำการเพราะปลูกเถี่ยต้านคาบหญ้าหางหมาไว้ในปากแล้วอธิบายให้ฟังว่า "หมู่บ้านซีตงยากจนขนาดนี้ อาศัยแค่ที่นาไม่กี่แปลงของตัวเองหากินสั
สีหน้าของเจิ้งเถี่ยจู้ดูน่าถมึงทึงเล็กน้อย หม่าโหวเห็นแบบนี้ก็หวั่นใจผงะเล็กน้อย นึกถึงใบหน้าที่เย็นชาของเจิ้งหมานหม่านที่มีต่อเขาแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทํายังไงดีเหมือนกัน จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ในลานบ้านกลับเป็นซูเฟิ่งอี๋ที่อยู่นอกประตูถูกนางสวีหลินซื่อตีไปหลายครั้ง โกรธจนแทบจะกระอักเลือด แต่เมื่อนึกถึงเด็กในท้องของเจิ้งหมานหม่าน นางก็กัดฟันและอดทนไว้"พอแล้ว พอแล้ว อย่าตีอีกเลย ตีพอหรือยัง?" ซูเฟิ่งอี๋ผลักนางสวีหลินออกอย่างรําคาญนางสวีหลินเกือบล้มคว่ํา นางยื่นมือออกไปชี้อีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อและด่าว่า "หนอยแน่ เจ้ายังกล้าผลักข้าอีกงั้นหรือ?""ข้าก็แค่ผลักเจ้าไปทีเดียว เจ้านี่สิตีข้ามาตั้งกี่ครั้งแล้ว?" ซูเฟิ่งอี๋พูดพลางทำเสียงฮึดฮัด "ข้าขอพูดตรง ๆ เลยละกัน ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อหลานของข้า ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว กลับมาก็เลี้ยงเสียข้าวสุกไปเปล่า ๆ พวกเจ้าเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน"รอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของนางสวีหลินซื่อยังคงน่ากลัวเหมือนเมื่อครู่ แต่ไม้กวาดในมือกลับไม่ฟาดลงมาอีกแล้วซูเฟิ่งอี๋เช็ดแขนตัวเอง บนไม้กวาดนั้นมีขี้ไก่เปื้อนอยู่ ตอนนี้ขี้ไก่ตกลงบนเสื้อ
เกวียนวัวกลับถึงบ้านตระกูลซูตามทางเดิม พวกเขาต่างลงจากรถ นางหยูและฟางจินกุ้ยกินข้าวเสร็จแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่บ้าน คาดว่าคงไปแล่ปลาที่บ้านหยวนเป่ากัน"พวกเจ้านั่งกันก่อนนะ ข้าจะไปดูที่ห้องครัวว่ามีอะไรกินหรือเปล่า""ไม่ต้องหรอก ซินเยว่ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ เรื่องงานครัวแบบนี้ข้าถนัดที่สุด เดี๋ยวข้าไปเอง" เถี่ยต้านรีบลุกขึ้นยืนหลี่เม่ารีบพูดขึ้นมาว่า "ใช่ ซินเยว่ เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เรื่องพวกนี้เถี่ยต้านชอบทํามากที่สุด เจ้าให้เขาไปทำแทนเถอะ"ถูซินเยว่ทํางานครัวไม่เป็นจริง ๆ นั่นแหละ นางเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "งั้นเราก็รอชิมผลงานของพ่อครัวใหญ๋ก็แล้วกัน"เถี่ยต้านถูกถูซินเยว่ชมจนหน้าแดงจึงรีบไปทําอาหารในห้องครัว ฉงเป่าก็ไหลตัวลงมาจากม้านั่ง เดินตามเถี่ยต้านต้อย ๆ ไปที่ห้องครัวด้วยกัน เขาต้องคอยจับตาดูเถี่ยต้านทําไก่อ้วนให้ตัวเอง"ว่าแต่ ซินเยว่ เรื่องนี้เจ้าได้ปรึกษากับจื่อหังหรือยัง?""ปรึกษากันแล้ว ตอนที่เขากำลังจะไป ข้าได้บอกเขาไปคร่าว ๆ แล้ว" ถูซินเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ตอนนี้เถี่ยต้านไม่อยู่ มีบางอย่างที่ข้าอยากจะบอกเจ้าไว้ก่อน ข้าวางแผนจะมอบเรื่องถูซ
บอกให้หม่าหยิงหยิงออกไปไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมนางปิดประตูเสียซะล่ะ?ขณะที่เขากำลังงุนงง จู่ ๆ หม่าหยิงหยิงก็เอื้อมมือออกมาถอดเสื้อคลุมออกนางหันหน้าไป สีหน้าเต็มไปด้วยความน่าสงสาร "พี่ซู ข้าไม่อยากไป"ซูจื่อหังขมวดคิ้ว นั่งอยู่ที่เดิมอย่างเย็นชาเขาไม่ได้พูดอะไร หม่าหยิงหยิงเห็นแบบนี้จึงมีความกล้ามากยิ่งขึ้น นางถอดเสื้อพลางค่อย ๆ เดินไปหาซูจื่อหังและพูดด้วยความเขินอายว่า "พี่ซู ข้าอยากจะอยู่เคียงข้างท่าน ดูแลท่าน ปรนนิบัติท่านไปตลอด ท่านให้โอกาสข้าได้หรือไม่?"หญิงสาวก้าวไปทีละนิดทีละน้อย เมื่อนางเดินไปถึงข้างหน้าซูจื่อหัง บนเรือนร่างของนางก็เหลือเพียงเสื้อบังทรงกับกางเกงในแล้ว หัวไหล่ขาวกลมเหมือนดั่งหิมะเผยออกมา หม่าหยิงหยิงตัวสั่นเล็กน้อย ดูแล้วช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินซูจื่อหังกลับเหมือนเห็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "เจ้าจะทำอะไรกันแน่? ออกไปเดี๋ยวนี้!""ทำไมต้องไล่ให้ข้าออกไปด้วย?" พี่ซู ท่านไม่อยากได้ข้าหรือ?เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว หม่าหยิงหยิงจะหยุดได้อย่างไรเล่า นางยิ้มและพูดด้วยความเขินอาย "พี่ซู ถ้าข้าออกไปตอนนี้ ท่านจะทรมานเอานะ"
ตอนนี้ถูกเท้าของถูซินเยว่เหยียบลงบนพื้น หม่าหยิงหยิงรู้สึกว่าใบหน้าของนางกำลังจะฉีกขาดออกจากกันแล้วแต่แรงของถูซินเยว่กลับน่ากลัวมาก นางดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถดิ้นออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายได้"เจ้าปล่อยข้านะ!" หม่าหยิงหยิงพูดด้วยใบหน้าแดงกํ่า"ปล่อยเจ้าเหรอ?" ถูซินเยว่ยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนหน้านี้เห็นแก่นางหยู เธอยังพอฝืนใจไว้หน้าฟางจินกุ้ยและหม่าหยิงหยิงได้บ้าง แต่ตอนนี้เห็นหม่าหยิงหยิงกล้าวางแผนร้ายกับซูจื่อหังอย่างเปิดเผยแบบนี้ ถูซินเยว่จะอดทนได้ยังไงกัน ต้องให้นางได้รู้พิษสงสักหน่อยจะได้รู้เรื่องหน่อยเห็นหม่าหยิงหยิงสวมเพียงเสื้อบังทรงตัวเดียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวพรรณก็ขาวผ่อง หน้าตาก็ถือว่าไม่เลว เพียงแต่ไม่ควรมาล่อลวงสามีของตัวเอง"หญิงสาวที่ไร้ยางอายขนาดนี้ หม่าหยิงหยิง เจ้าหม่าหยิงหยิงวางแผนวันนี้มานานแล้วใช่ไหม?"ถูซินเยว่เพิ่มความแรงของเท้าหม่าหยิงหยิงถูกเหยียบยํ่าจนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นางมองไปที่ซูจื่อหังเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่นางเห็นคือดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกียจของชายคนนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้หน้าด้านเสียทีเดียว เห็นซูจื
วันนี้ซูจื่อหังแปลกไปมาก ถ้าเป็นปกติถึงเขาจะไร้ยางอายแต่ก็เล่นแค่พอสมควร หากเห็นว่าเธอเขินอายจะไม่มีทางพูดต่อเด็ดขาดแต่ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร เอาแต่กอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อยมือราวกับว่าต้องมนต์สะกดก็ไม่ปาน"เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?"วันนี้นอกจากเรื่องหม่าหม่าหยิงหยิงแล้ว ถูซินเยว่คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าซูจื่อหังจะมีเรื่องอะไรได้อีก แต่เมื่อเห็นความผิดปกติของซูจื่อหัง ถูซินเยว่จึงอดที่จะถามไม่ได้ประโยคนี้ทำให้ซูจื่อหังไปต่อไปไม่ถูกเลยเขาปล่อยถูซินเยว่ออกแล้วเลิกคิ้วถาม "ไม่มีเรื่องอะไร แค่รู้สึกว่าเมื่อครู่หม่าหยิงหยิงก็พูดถูก พวกเราแต่งงานมาหนึ่งปีแล้ว ก็ควรที่จะ…."ถูซินเยว่เหมือนรู้อยู่แล้วว่าซูจื่อหังจะพูดอะไรต่อจึงรีบยื่นมือไปปิดปากซูจื่อหังทันที กระแอมหนึ่งทีแล้วมองท้องฟ้า "เอ่อ ข้าพึ่งนึกได้ว่าข้ายังมีธุระ ถ้าท่านว่างก็กลับบ้านด้วยนะ พวกเราคุยกันเรื่องหมู่บ้านซีตงสักหน่อย"พูดไปถูซินเยว่ก็ดีดตัวออกจากซูจื่อหังเสมือนเขาเป็นอสรพิษร้ายแล้วรีบเผ่นหนีไป ก่อนจากไปยังชนกระบอกพู่กันของซูจื่อหังจนล้มกระจายอีกซูจื่อหังมองแผ่นหลังที่เผ่นหนีของหญิงสาวแล้วส่ายหัวอย่างจนปัญญา ความรักความ
เมื่อครู่นางหยูไม่ได้ใส่ใจที่ฟางจินกุ้ยบอกว่าหม่าหยิงหยิงถูกรังแก คิดว่าฟางจินกุ้ยแค่พูดทึกทักขึ้นมาเองเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยแต่บัดนี้ เมื่อเห็นหม่าหยิงหยิงที่คิดสั้นแล้วนางหยูก็รู้สึกว่าฟางจินกุ้ยพูดอาจจะพูดถูกก็ได้ไม่แน่ หม่าหยิงหยิงอาจถูกคน…เดามั่วไปก็ไม่มีประโยชน์ ถามให้แน่ชัดไปเลยจะดีกว่านางหยูประครองไหล่ของหม่าหยิงหยิงไว้ มองผ้าขาวบนคานก็รู้สึกสะพรึงใจ นางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วถาม "หยิงหยิง ข้ากับแม่ของเจ้าเป็นคนใกล้ตัวเจ้ามากที่สุด เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าต้องบอกพวกเรามา พวกเราจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้""ใช่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็รีบพูดสิ" ฟางจินกุ้ยแอบนางหยูหยิกหม่าหยิงหยิงไปทีส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรีบพูดออกมาหม่าหยิงหยิงเจ็บจริงจนน้ำตาไหล ก้มหน้าลงแล้วอึกอัก "พี่ พี่ซู…ข้าไปส่งน้ำแกงให้เขา แต่เขากลับ…"พูดถึงตรงนี้่หม่าหยิงหยิงเหมือนจะไม่มีหน้าพูดต่อไปแล้ว นางปิดตาตัวเองแล้วร้องออกมาฟางจินกุ้ยที่อยู่ข้าง ๆ มีสีหน้าตื่นเต้น แต่นางหยูราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าให้ แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ในสายตานางหยูลูกชายของตนเด็กดีรู้จักควบคุมตน ไม่มีทางทำเรื่องสารเลวแบบนี
ถูซินเยว่เลิกคิ้วมองหม่าหยิงหยิงด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดว่า "ถ้าให้ข้านั่งคุยเกรงว่าเดี๋ยวญาติผู้น้องก็คงอยากจะคิดสั้นอีกสินะ? ถ้าเช่นนั้นก็ยืนคุยนี่แหละ คุยกันให้จบในคราเดียวเลย!""ท่านแม่ ท่านน้า ช่วยข้าด้วย…" ถูซินเยว่มือหนักมาก กระดูกนางแทบจะแตกอยู่แล้ว หม่าหยิงหยิงร้องไห้ดิ้นรนนางหยูมองหม่าหยิงหยิง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเชื่อถูซินเยว่"ซินเยว่ เจ้าอยากคุยอะไร?""ท่านแม่ ที่จริงระหว่างหม่าหยิงหยิงกับจื่อหังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ท่านอย่าไปหลงเชื่อนางนะ" ถูซินเยว่ขมวดคิ้วพูดว่า "หม่าหยิงหยิงวางยาในแกงไก่ที่ท่านทำให้จื่อหัง คิดจะทำเรื่องสกปรก แต่โดนข้าไปขวางไว้ได้ทัน"นางหยูตกตะลึง นางมองหม่าหยิงหยิงด้วยสายตาตกใจฟางจินกุ้ยเองก็กังวลใจขึ้นมาเหมือนกัน ไหนว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดไง? หยิงหยิงทำสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นว่านางทำไม่สำเร็จ แถมยังโดนถูซินเยว่ล่วงรู้อีก?"ท่านน้า ท่านฟังข้าก่อนนะ ข้าไม่ได้ทำนะ" หม่าหยิงหยิงน้ำตานองหน้า นางมองนางหยูแล้วพูดว่า "ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ นะ อาซ้อ ใครใช้ให้เจ้ามาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจที่ข้าคบหากับพี่จื่อหัง แต่ท
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด