เมื่อได้ยินลุงเฉียนบอกแบบนี้ ถูซินเยว่ก็ยิ้มเขิน ๆเธอเองก็รู้ว่าลุงเฉียนกำลังล้อเล่น แค่หยอกเธอเล่นเท่านั้น เธอจึงพูดว่า "งั้นข้าบอกตรง ๆ เลยละกัน ที่ข้ากับสามีมาคราวนี้ ก็เพราะจะมาสืบข่าวเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมชุนเฟิง"ลุงเฉียนตกใจดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ท่าทางตื่นตระหนก เขาเอ่ยถามว่า "ซินเยว่ เจ้าไม่ได้คิดจะร่วมมือกับโรงเตี๊ยมชุนเฟิงหรอกนะ? โรงเตี๊ยมชุนเฟิงนี่เป็นศัตรูคู่อริของเรานะ ถ้าเจ้าร่วมมือกับพวกเขาล่ะก็ งั้นโรงเตี๊ยมเทียนเซียงของเราก็..."ช่วงที่ผ่านมานี้ที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงขายดีกว่าโรงเตี๊ยมชุนเฟิงได้ก็เพราะมีอาหารจานเด่นอย่างปลาแห้งนี่แหละ ถ้าหากถูซินเยว่ขายปลาแห้งให้โรงเตี๊ยมชุนเฟิงด้วยล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นปลาแห้งก็จะไม่ใช่อาหารจานเด่นของพวกเขาอีกต่อไปสำหรับโรงเตี๊ยมแล้ว อาหารจานเด่นเป็นอะไรที่สำคัญมากเมื่อเห็นว่าลุงเฉียนตื่นตระหนกขนาดนี้ ถูซินเยว่ก็หัวเราะเบา ๆ แล้วรีบบอกว่า "ลุงเฉียน ท่านคิดมากไปแล้ว ถ้าข้ามีความคิดแบบนั้นละก็วันนี้คงไม่มาหาท่านหรอก ปลาแห้งนี้ข้าขายให้แต่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ข้าสัญญากับลุงเฉียนไว้ ข้าย่อมไม่คืนคำ
เดิมที่วันนี้จะมาคุยเรื่องอ่างเก็บน้ำกับเถ้าแก่เนี๊ยะของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง แต่ในเมื่อที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกเขาสองคนก็ไม่มีแก่ใจจะอยู่ในเมืองต่ออีกแล้วถูซินเยว่ดึงตัวเด็กที่เฝ้าประตูทางเข้ามาบอกว่า "เจิ้งหลิวเอ๋อร์ ข้ากับสามีข้าต้องกลับไปก่อน เดี๋ยวลุงเฉียนมาแล้วเจ้าช่วยบอกเขาให้ด้วยว่าที่บ้านของพี่ซินเยว่เกิดเรื่อง ไว้ค่อยมาคุยกันทีหลัง"ปีนี้เจิ้งหลิวเอ๋อร์อายุยี่สิบสามยี่สิบสี่แล้วก็จริง แต่พัฒนาการสมองยังหยุดอยู่ที่เจ็ดแปดขวบ เมื่อได้ยินถูซินเยว่บอกอย่างนั้นก็พยักหน้างง ๆ แล้วทบทวนสิ่งที่เธอพูดด้วยเสียงอู้อี้ "ที่บ้านพี่ซินเยว่เกิดเรื่อง คุยธุระกับลุงเฉียนไม่ได้""ใช่จ๊ะ เด็กดี" ถูซินเยว่หยิบเอาลูกกวาดน้ำตาลเคี่ยวออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือเจิ้งหลิวเอ๋อร์บอกว่า "พี่ไปก่อนนะ เรื่องที่บอกอย่าลืมละ"พอเจิ้งหลิวเอ๋อร์เห็นลูกกวาดน้ำตาลเคี่ยวก็ตื่นเต้นใหญ่ เขาปรบมือพลางโห่ร้องดีใจ "ลูกกวาด ๆ""เราไปกันเถอะ" ถูซินเยว่หันไปหาซูจื่อหัง ซูจื่อหังสั่งเธอว่า "เจ้ากับหยวนเป่ารออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวข้าจะไปจูงเกวียนวัวมา"ไม่นานนัก เกวียนวัวก็วิ่งผ่านประตูทางเข้าสู่ในตัวเมืองตรง
หยวนเป่านั่งอยู่บนเกวียน ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่ถูซินเยว่กลับขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า "เจ้านี่สู้ผู้หญิงอย่างข้าไม่ได้เลยสักนิด เจ้าคิดว่าเจ้าร้องขอชีวิตแล้วพวกมันจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นรึ? พวกมันตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะมาเอาชีวิตพวกเรา""งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดี?""พวกมันมีสามคน พวกเราก็มีสามคน ใครจะฆ่าใครตายก่อนก็ยังไม่แน่" สายตาของถูซินเยว่เย็นชา แต่สีหน้ากับเยือกเย็นอย่างผิดปกติ ความรู้สึกของอีกฝ่ายดูเหมือนจะส่งต่อไปให้หยวนเป่าหยวนเป่านิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว พูดขึ้นว่า "เจ้าพูดถูก พวกเราต่างก็มีกันฝ่ายละสามคน ยังไม่รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะกันแน่! แต่ว่าพวกมันมีอาวุธอยู่ในมือ พวกเรามือเปล่า มันจะไหวจริงหรือ?ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและชายฉกรรจ์อีกสองคนด้านหลังในมือถือดาบเล่มใหญ่ เมื่อดูจากคมดาบนั้นแล้วคงสามารถตัดคนออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายซูจื่อหังขมวดคิ้วชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากลับตะคอกขึ้นว่า "พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จหรือยังว่าใครจะตายก่อน? ถ้าเสร็จแล้วก็เอาคอมาให้ข้าหั่นซะดี ๆ !ชายสองคนที่อยู่ข้างหลังทำท่าลับมีดทันที มองดูพวกเขาอย่างกระหายเลือดซูจื่อ
ถนนบนภูเขาลึกและเงียบสงบ ล้อเกวียนบดกับก้อนกรวดทำให้เกิดเสียงบางอย่างที่น่าอึดอัด ในความเงียบสงบของป่าแห่งนี้กลับมีบางอย่างผิดปกติที่ทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อซูจื่อหังได้ยินคำถามของถูซินเยว่ น้ำเสียงของเขาก็เฉียบขาดและไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาพูดขึ้นว่า "เมื่อครู่หากเจ้าไม่ชนพวกมัน ข้าก็จะชนพวกมันเอง"ถูซินเยว่ชะงัก หินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้งอยู่ในใจตอนนี้กลับหายวับไปทันที โชคดี โชคดีเหลือเกินที่ผู้ชายของเธอไม่ใช่คนลังเลและจิตใจอ่อนแอ คนอื่นอาจจะกลัว แต่สำหรับความรู้สึกเธอนั้นกลับรู้สึกวางใจและปลอดภัยระหว่างสามีภรรยาความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมีทัศนคติในเรื่องต่าง ๆ ที่ตรงกันด้วย ตัวอย่างเช่นวันนี้ หากซูจื่อหังแสดงความคับข้องใจในสิ่งที่เธอตัดสินใจ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองคงต้องแตกร้าวอย่างแน่นอนถูซินเยว่ในตอนนี้นั้นรู้สึกวางใจเป็นที่สุดเมื่อซูจื่อหังเห็นว่าเธอนิ่งเงียบ ก็คิดว่าตนทำให้เธอตกใจ จึงยื่นมือมากุมมือของเธอไว้ แล้วพูดว่า "ซินเยว่ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ วันนี้ข้า เจ้า แล้วก็หยวนเป่ามีชีวิตรอดมาได้ ก็เป็นเพราะเจ้าที่มีสติไม่กลัวต่ออันตราย เจ้าไม่ต้
ตอนนี้หยวนเป่าเสียสติไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าถูซินเยว่จะพูดอะไรเขาก็ว่าตามนั้นเมื่อเห็นถูซินเยว่หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขาก็รีบพยักหน้าจากนั้นหันหลังไปลากเกวียนวัว ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดหินบนพื้น จนล้มหน้าคว่ำหยวนเป่าสะดุดล้มจนตาลาย ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเขาจะลุกขึ้นไปนั่งบนเกวียนวัวได้ในเวลานี้นางหยูพาซูจื่อหังเข้าไปในห้องโถงกลางแล้ว เดิมทีอยากจะล้างแผลให้เขา แต่เมื่อสั่งให้ซูจื่อหังนั่งลงแล้วถึงได้ตระหนักได้ว่านางทำไม่เป็น จึงขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า "เจ้ารอก่อนนะ แม่จะไปตามหมอมา""ท่านแม่" ถูซินเยว่รีบเดินเข้ามาพูดขึ้นว่า "ท่านแม่ ไม่ต้องไปตามหมอหลี่หรอก ข้าทำแผลได้ เดี๋ยวข้าจะทำแผลให้ท่านพี่เอง""เจ้า?" นางหยูชะงัก แม้ว่าถูกซินเยว่จะทำอะไรได้มากกว่าคนทั่วไป และมีความอดทนมากกว่าคนทั่วไป แต่การทำแผลเป็นเรื่องของหมอ แม้แต่สิ่งนี้ถูซินเยว่ก็ทำได้งั้นหรือ?ใบหน้าของถูซินเยว่มีรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ หากเป็นเรื่องอื่นเธอก็คงจะประหม่าอยู่บ้าง แต่เรื่องการทำแผลนั้น สำหรับเธอแล้วก็เป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว ด้วยการเป็นแพทย์จากหน่วยรบพิเศษสิ่งที่ทำบ่อยที่สุดเมื่อชาติก่อนก็คงเป็นการทำแผลเหล
หยวนเป่าไปเอาปลาแห้งที่บ้านอาหยูไม่ใช่หรือ? ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงอยู่ในอาการตกใจได้ล่ะ?เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ภรรยาของหยวนเป่ายังไม่รู้เรื่องหมอหลี่ตรวจชีพจรและให้ยาคลายกังวล จากนั้นก็กลับไป เมื่ออยู่ในอาการตกใจหวาดผวา ปกติไม่มียาอะไรที่ช่วยรักษาได้ ทำได้เพียงแค่พักผ่อนให้รู้สึกดีขึ้นเท่านั้นหลังจากที่หมอหลี่กลับไป อาซ้อหยวนเป่าก็ตักน้ำออกมาจากหม้อเพื่อมาเช็ดหน้าผากให้หยวนเป่าต้าเป่าที่อายุห้าขวบนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงก็ถามขึ้นว่า "ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอะไรไปหรือ? ทำไมนอนหลับตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้ล่ะ?"ปกติหากเขานอนตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้จะต้องถูกท่านแม่ตีก้นแน่"ต้าเป่าลูก พ่อเจ้าไม่สบายนิดหน่อยน่ะ อย่าอยู่เสียงดังรบกวนเขาเลยนะ ออกไปเอาลูกกวาดในกระปุกที่อยู่ในครัวแล้วออกไปเล่นในลานบ้านเถอะ" ภรรยาของหยวนเป่ากังวลอาการของหยวนเป่า จึงไม่มีกระจิตกระใจจะดูแลต้าเป่ามากนักแต่ต้าเป่ากลับดวงตาเป็นประกาย เขาเห็นลูกกวาดน้ำตาลเคี่ยวที่อาถูเอามาให้ แต่ไม่รู้ว่าท่านแม่ซ่อนเอาไว้ที่ไหน บอกแต่ว่าเอาเก็บไว้ค่อย ๆ กิน เขาค้นหาทั่วบ้านอยู่นานก็หาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่า
ลุงเฉียนฟังจบ ก็ตาเป็นประกาย แล้วยกนิ้วโป้งให้ถูซินเยว่ พูดขึ้นว่า "ดี เป็นความคิดที่ดีมาก ไม่เสียดายที่เป็นคนที่ข้าเลื่อมใสมาโดยตลอด ไม่ต้องปรึกษากับเจ้าของแล้ว ข้าตัดสินใจเอง!""ได้เล้ย!" ถูซินเยว่พยักหน้า ยิ้มอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย ราวกับกระต่ายน้อยผู้ไร้เดียงสาหลังจากออกมาจากโรงเตี๊ยมเทียนเซียงแล้ว ซูจื่อหังก็เต็มไปด้วยความสงสัยจึงถามขึ้นว่า "ซินเยว่ เจ้าคิดวิธีอะไรได้กันแน่? เมื่อครู่เจ้าพูดกับลุงเฉียนไม่ให้ข้าได้ยิน ข้าอยากรู้"ชายหนุ่มก้มหน้าลงด้วยสีหน้าวิงวอน ทำให้ถูซินเยว่ชอบใจเธอกระแอมขึ้นหนึ่งที ทำหน้าทะเล้น "ข้าไม่บอก"ซูจื่อหังรู้สึกหมดหนทางณ เวลานี้ ถูซินเยว่กำลังเดินไปกับซูจื่อหัง ส่วนลุงเฉียนก็เดินไปที่ด้านหลังของโรงเตี๊ยมเทียนเซียง เคาะที่ประตูเล็ก ๆ บานหนึ่ง"เข้ามา" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาลุงเฉียนรีบผลักประตูเปิดออก เดินไปถึงฉากกั้นห้องแล้วหยุดลง"เถ้าแก่เนียะ""เรื่องโรงเตี๊ยมชุนเฟิงงั้นหรือ?""ใช่ขอรับ!" ลุงเฉียนพยักหน้า แล้วเงยหน้ามองเงาที่อยู่บนฉากกั้นเล็กน้อย ก็เห็นว่าบุคคลที่อยู่ข้างหลังฉากนั้นกำลังพลิกตำราอ่านหนังสืออยู่ ก็ก้มหน้าลงพูดว
รอยยิ้มนั้นเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อคู่หนุ่มสาวถูซินเยว่รู้สึกจนปัญญา อยู่กับซูจื่อหังมานานขนาดนี้ เธอก็พอรู้ว่าสามีของตนนั้นเป็นคนเงียบและเฉยชา คนทั่วไปมักจะเข้าถึงยาก แต่พอได้สนิทกันแล้วก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วซูจื่อหังเป็นคนใจอ่อน และหน้าหนาพอสมควร"มีเรื่องอะไรกลับไปพูดที่บ้าน" ถูซินเยว่หยิกเอวชายหนุ่ม บ้าเอ้ย ที่เอวซูจื่อหังมีเนื้อนุ่ม ๆ ที่ไหนกัน มีแต่กล้ามเนื้อทั้งนั้น เธอจึงไม่สามารถหยิกเขาได้ เมื่อทำอะไรชายหนุ่มไม่ได้ ถูซินเยว่จึงได้แต่กรอกตาใส่แต่ซูจื่อหังกลับอารมณ์ดี กุมมือเธอไว้แน่น กลัวว่าเธอจะพลัดหายไปกับฝูงชน"ได้ กลับไปพูดที่บ้าน"ทั้งสองเดินเบียดเสียดกับผู้คนมาถึงหัวมุมหนึ่งในตลาดเพราะหัวมุมตรงนี้ทำเลไม่ดี ดังนั้นคนจึงน้อย แต่เมื่อมีแสงแดดหลังฝนที่สาดส่องไปยังผักสดต่างๆ บนแผง ทำให้ผักเหล่านั้นทอประกายสีเขียวสดใส"ยายเฉิน" ซูจื่อหังจูงมือถูซินเยว่มาที่หน้าแผงของหญิงชราคนหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มบนแผงนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่ง กำลังหรี่ตาเลือกผักที่อยู่ตรงหน้า พอเห็นผักส่วนที่ไม่ดีก็เด็ดทิ้งลงในถังขยะที่อยู่ข้าง ๆเมื่อได้ยิ
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด