“เสี่ยวเชิน ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่?” เมื่อหลินไห่เม่ยเห็นกู้ว่างเชินก็รู้สึกตกใจมากเธออุตส่าห์มากับโจวซิ่วหยาอย่างเงียบ ๆ แล้วใครบอกกู้ว่างเชินกัน?“คุณย่าคะ หนูเรียกเขามาเองค่ะ” ฉู่เหมียนเอ่ยขึ้นข้างนอกห้องสำนักงาน มีคนกลุ่มหนึ่งต่างมองเข้าไปในห้องสำนักงานด้วยความกระตือรือร้น รอคอยที่จะได้ยินข่าวสารจนกระทั่งประตูห้องสำนักงานถูกกู้ว่างเชินปิดลง คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็ถอนหายใจยาว นี่พวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน ถึงขนาดกู้ว่างเชินต้องมา!“คุณย่า คุณแม่ ไปครับ ผมจะพากลับบ้าน” กู้ว่างเชินเดินเข้ามาจะจับมือของหลินไห่เม่ยหลินไห่เม่ยรีบผลักกู้ว่างเชินออก จากนั้นก็ยืนกอดอกหันหลังไปและฮึมฮั่ม “ฉันไม่กลับ!””ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ ฉู่เหมียนกำลังทำงานอยู่ คุณย่าเกรงใจหน่อยสิครับ” กู้ว่างเชินลดเสียงเตือนหลินไห่เม่ยหลินไห่เม่ยหันไปมองหลานชายด้วยความน้อยใจและไม่พอใจ “ถ้าแกสามารถแก้ไขปัญหาความรักของตัวเองได้ ฉันจะมาที่นี่หรือไง?”“นั่นน่ะสิ!” โจวซิวหย่าพยักหน้าเห็นด้วย แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังกู้ว่างเชินรู้สึกกลุ้มใจ เขาเอ่ยพูดเบา ๆ “แม่ครับ คุณย่าทำตัวไร้สาระ นี่แม่ก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอครับ
ฉู่เหมียนหันมองกู้ว่างเชิน แล้วถามตัวเธอเองว่ายังรักเขาจริง ๆ หรือเปล่า?บางที…อาจจะยังหลงเหลือความรักอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงความรักที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้นเธอมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างนิ่งเงียบ พลางหวนคิดถึงตอนที่เพิ่งแต่งงานกับเขาเสิ่นเหราเคยถามเธอ ‘ฉู่เหมียน นี่เธอรักเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ? ยอมให้เขาเย็นชาใส่หลังแต่งงาน ก็ยังจะยอมแต่งงานอย่างนั้นเหรอ?”ในตอนนั้นเธอเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ ‘รักสิ ชีวิตนี้ฉันจะรักเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครแทนที่เขาได้’แต่ตอนนี้เธอไม่มีความกล้าแม้แต่น้อยที่จะยืนยันความรักแบบนั้นอีกต่อไปฉู่เหมียนยิ้มบาง ๆ ครั้งนี้ขอให้เธอมีศักดิ์ศรีต่อหน้าเขาสักนิด/บ้างเถอะกู้ว่างเชินรู้สึกอึดอัดเพราะสายตาและรอยยิ้มของเธอเหมือนมีดที่บาดลึกลงไปในใจของเขาฉู่เหมียนค่อย ๆ เอ่ยเบา ๆ “คุณย่าคะ หนูไม่ได้รักเขาแล้วจริง ๆ ค่ะ…”เมื่อได้ยินดังนั้น กู้ว่างเชินรู้สึกเหมือนใจหาย แม้จะเคยได้ยินคำว่าไม่รักจากเธอมาหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นเธอยิ้มแล้วพูดคำนั้นออกมาก็ยังรู้สึกเจ็บลึกลงในใจเขาหวนนึกถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอยืนตรงหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มแบบนี้ แล้วบอกว่า “กู้ว่างเชิน ฉันจ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาที่มองไปที่ฉู่เหมียนแสดงความซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัดฉู่เหมียนรู้ดีว่าคำพูดของคุณย่าทำให้เขาลำบากใจเธอกลัวกู้ว่างเชินจะเข้าใจผิดว่าเธอแสดงละครแบบนี้เพื่อพยายามรั้งเขาไว้“ฉันจะไม่พูดคำขอที่ไร้สาระแบบนั้นหรอก สบายใจได้” ฉู่เหมียนยิ้มให้กับเขา ซึ่งถือเป็นการให้ความมั่นใจแต่ยิ่งฉู่เหมียนอธิบายอย่างตรงไปตรงมาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดปัง——ประตูห้องถูกปิดอย่างแรงฉู่เหมียนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากก้มหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ จางหายไปหลินไห่เม่ยถึงกับถอนหายใจ “เหมียนเหมียน หนูนี่นะ!”“หนูไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้เขาลังเล? นั่นหมายความว่า ที่จริงแล้ว…”“คุณย่ามีธุระอะไรอีกไหมคะ?” ฉู่เหมียนรีบตัดบทหลินไห่เม่ยทันทีเธอกลัวว่าหลินไห่เม่ยจะพูดว่า จริง ๆ แล้วกู้ว่างเชินไม่อยากหย่ากับเธอ ตั้งแต่วันที่เธอแต่งงานกับกู้หวังเชิน คุณย่าบอกกับเธอว่า “ไม่ช้าก็เร็วอาเชินจะต้องรักหนูแน่นอน!”ตั้งแต่นั้นมาเธอเพลิดเพลินกับการกิน “แป้งแผ่นใหญ่” นี้ไปพร้อมกับวาดฝัน โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายมาจนถึงวันนี้ เธอไม่อยากกินแป้งแผ่นที่เก่าและแข็งนี้อีกต่อไปแล้วหลินไห่เม่ย
ฉู่เหมียนเงยหน้ามองเขาอีกครั้งเขามีสีหน้าหนักใจ มือที่ถือบุหรี่อยู่กำแน่นฉู่เหมียนรู้สึกว่ากลิ่นบุหรี่มันเหม็นมาก เหมือนว่าจะไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้แน่นอนว่าเธอไม่ได้หมายถึงแค่กลิ่นบุหรี่ แต่หมายถึงตัวเธอเองฉู่เหมียนยิ้มและพูดเบา ๆ “กู้ว่างเชิน ขอโทษนะ”เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เธอก็รู้สึกว่าตนเองได้ปล่อยวางแล้วจริง ๆ กู้ว่างเชินลดสายตามองลง มือที่กำบุหรี่ก็ขยับ เขายังเลือกที่จะบดบุหรี่ให้ดับอยู่ดี จากนั้นจึงพูดว่า “เมื่อกี้ที่พูดในห้อง ฉันจะพูดมันอีกครั้ง”เขาขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอดทนและจริงจังที่มีต่อฉู่เหมียนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาเอ่ยซ้ำว่า “ไม่ว่าเธออยากทำอะไร ฉันก็จะตามใจเธอ”ฉู่เหมียนพยักหน้าหนักแน่น “อืม งั้นเราหย่ากันเถอะ”กู้ว่างเชินกดมือที่บดบุหรี่ให้แรงขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าว่า “ตกลง”“เมื่อไหร่ล่ะ?” กู้ว่างเชินเอ่ยถามเธอ“วันนี้คงไม่ทันแล้ว ตอนบ่ายฉันมีผ่าตัดกับผู้อำนวยการชู พรุ่งนี้เช้าดีไหม?”ฉู่เหมียนเอ่ยถามเขาอย่างอ่อนโยนกู้ว่างเชินมองดวงตากลมโตงามของเธอ ใจเขากำลังถูกบางอย่างดึงดูด เขาเอ่ยตอบเธอว่า “ได้สิ”“ฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะขอ”
ในเวลากลางคืนฉู่เหมียนซื้อขนมกลับบ้านมามากมายฉู่เทียนเหอจิบชาพร้อมกับมองดูลูกสาวใส่ชุดนอนนั่งกินมันฝรั่งทอดในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้างงงวยฉู่เหมียนมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายแบบนี้น้อยมาก ทำให้เขารู้สึกแปลก “ทำอะไรน่ะลูก?” ฉู่เทียนเหอขมวดคิ้ว “มีข่าวดีอะไรหรือเปล่า?”ฉู่เหมียนตั้งใจจะบอกฉู่เทียนเหอว่าเธอจะไปหย่ากับกู้ว่างเชินในวันพรุ่งนี้แต่เมื่อคิดว่าทุกครั้งที่เธอพยายามหย่าก็ไม่สำเร็จทุกที ทำให้พวกเขาต้องรอคอยและผิดหวัง เธอจึงตัดสินใจว่าหลังจากที่หย่าแล้ว จึงค่อยให้พวกเขาดูใบหย่าฉู่เหมียนไม่เคยตั้งตารอการได้รับใบหย่าขนาดนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังบ้าไปแล้ว“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่วันนี้ตอนบ่ายได้เรียนรู้วิธีผ่าตัดจากผู้อำนวยการชู เลยรู้สึกมีความสุขน่ะค่ะ” ฉู่เหมียนนั่งลงและกินมันฝรั่งทอดต่อฉู่เทียนเหอหรี่ตามอง แล้วยิ้มเบา ๆ ไม่สนใจฉู่เหมียนอีกต่อไปฉู่เหมียนยิ้มแห้ง ๆ ยากที่จะซ่อนความดีใจนั้นไว้เมื่อกินขนมเสร็จ ฉู่เหมียนก็ขึ้นไปอาบน้ำชั้นบนก่อนที่จะขึ้นเตียง ฉู่เหมียนพลันนึกขึ้นได้ เธอรู้สึกเหมือนนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นบัตรประชาชนของตนครั้งล่าสุดที่ใช้ก็เวลาไปหย
เขาเอ่ยถามฉู่เหมียน “หาเจอแล้วเหรอ?”ฉู่เหมียนนั่งหันข้าง เผชิญหน้ากับกู้ว่างเชิน“คุณกู้ คุณเชื่อฉันไหม?”กู้ว่างเชินหรี่ตา ทำไมถึงถามอะไรที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุแบบนี้?“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่หย่ากับนายนะ แต่บัตรประชาชนของฉันหาย” ฉู่เหมียนยกมือขึ้น “ฉันสาบานเลยก็ได้ มันหายจริง ๆ”กู้ว่างเชินมองใบหน้าของฉู่เหมียนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกผุดขึ้นในใจ“ให้เวลาฉันอีกสองวันนะ ฉันจะไปทำบัตรมาใหม่ ทำเสร็จแล้วเราค่อยหย่ากัน” ฉู่เหมียนประนมมือขอร้องกู้ว่างเชินมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ได้สิ”ฉู่เหมียนพยักหน้าและถอนหายใจเบา ๆ “โอเค ๆ”“จะให้ฉันไปส่งเธอทำงานไหม?” เขาถามฉู่เหมียนส่ายหน้า “เดี๋ยวฉันขับรถไปเอง” พูดจบเธอก็ลงจากรถกู้ว่างเชินมองดูแผ่นหลังที่บอบบางของฉู่เหมียนแล้วเรียกเธอขึ้นมา “ฉู่เหมียน”“คะ!” เธอตอบกลับอย่างชัดเจน เสียงหวานและไพเราะน่าฟังกู่ว่างเชินรู้สึกแน่นในอกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา เขารู้สึกได้ว่าเธอดูผ่อนคลายมากขึ้นมือข้างหนึ่งของเขากุมพวงมาลัย ส่วนอีกข้างอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เขาเผลอกำสิ่งที่อยู่ในกร
เมื่อเผชิญกับสายของเสิ่นเหรา ฉู่เหมียนก็เงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้เสิ่นเหรารู้คำตอบ“บอกฉันมา เธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่ใช่ไหม?” เสิ่นเหราเอ่ยถามอย่างกดดันฉู่เหมียนรินน้ำใส่แก้ว “ฉันยินดีปล่อยมาก ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากปล่อย แต่เพราะบัตรประชาชนของฉันหาย!”เสิ่นเหรารู้สึกสงสัย “บัตรประชาชน?”“ในช่วงเวลาที่สำคัญบัตรประชาชนดันหายไป ไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอทำใหม่แล้วค่อยไป” ฉู่เหมียนดื่มน้ำและมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่เหนื่อยล้าเสิ่นเหราถอนหายใจ “แต่งงานก็มีอุปสรรค ครั้นจะหย่ากันก็ยังจะไม่ราบรื่น”ฉู่เหมียนรู้สึกอยากหัวเราะ นั่นน่ะสิ ทำไมการหย่าถึงยุ่งยากขนาดนี้นะหากไม่ใช่เพราะวันนี้ต้องไปหย่า เธอก็คงไม่รู้จนถึงตอนนี้ว่าบัตรประชาชนหายไป“เหมียนเหมียน อีกไม่กี่วันฉันจะไปงานเลี้ยง ไปด้วยกันไหม?”ฉู่เหมียนขมวดคิ้ว “งานเลี้ยงอะไร?”“งานเลี้ยงในวงการบันเทิง มีผู้กำกับใหญ่และดาราหลายคน รวมถึงนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในวงการด้วย เช่นลุงของเธอ” เสิ่นเหราพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ไว้ค่อยคุยละกัน ช่วงนี้ฉันต้องเข้าห้องผ่าตัดกับหัวหน้า เวลายังไม่ค่อยลงตัวเลย” ฉู่เหมียนถอนหายใจ“เธอ
ชายคนนั้นถือมีดสั้นไว้ในมือ สวมชุดจงซานที่เก่าขาดและรองเท้าผ้าสีดำที่พื้นรองเท้าขาดวิ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังและผิวคล้ำแดด“ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ห้ามก่อเรื่อง” ฉู่เหมียนเอ่ยเตือนเสียงเย็นชา“ฉันไม่สนว่ามันคือที่ไหน รีบทำเรื่องให้เมียฉันออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” ชายคนนั้นจ้องมองฉู่เหมียนอย่างดุดัน“วางมีดลงก่อน” ฉู่เหมียนจ้องมีดในมือเขาในโรงพยาบาลมีคนเดินไปมา ผู้คนมากมายกำลังมุงดู หากเกิดเรื่องขึ้นจะยากต่อการควบคุมสถานการณ์“ทำเรื่องให้เมียฉันออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!” ชายคนนั้นตะโกนลั่น“ตกลง” ฉู่เหมียนพยักหน้า ตอบรับอย่างรวดเร็วทุกคนหันมามองฉู่เหมียนด้วยความตกใจที่เธอตอบรับจะทำเรื่องให้ออกจากโรงพยาบาลจริง ๆ “ซางหาน” ฉู่เหมียนหันไปเรียกซางหานซางหานเดินเข้ามา “ฉันอยู่นี่”“ไปทำเรื่องให้เฉินจือออกจากโรงพยาบาลที” ฉู่เหมียนเอ่ยวานเธอซางหานขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นการทำเรื่องให้ออกจริงหรือไม่ หรือว่า?“ทำเรื่องออก” ฉู่เหมียนพูดอย่างจริงจังซางหานพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”“พอใจหรือยัง? วางมีดลงได้หรือยัง?” ฉู่เหมียนถามเขาชายคนนั้นหรี่ตามองฉู่เหมียน “พวกหมอแบบเธอ คิดอ
ฉู่เหมียนไปที่ฐาน M ในทันที เธอต้องการรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องลู่เจียวเธอทนไม่ได้กับความอับอาย แม้แต่นิดเดียวก็ทนไม่ได้!โม่อี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล เขาตรวจสอบทุกมุมแล้ว แต่ก็หาคนที่เข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการไม่พบ“ดูกล้องวงจรปิดตรงหน้าต่างซิ” ฉู่เหมียนสั่งโม่อี้เสียงเย็นโม่อี้หันไป ก็เห็นฉู่เหมียนยืนอยู่ข้างหลังเขา “หัวหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”“เมื่อกี้” ฉู่เหมียนพูดเสียงแข็ง ชัดเจนว่ากำลังโกรธ คำสองคำนั้นเหมือนเค้นผ่านไรฟันออกมาโม่อี้กำลังตรวจสอบอย่างตั้งใจมาก จนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอมาโม่อี้ร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง รีบเปลี่ยนภาพกล้องวงจรปิดไม่ลืมเหลือบมองฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังดูตรงหน้าต่าง… เดี๋ยวนะ“หน้าต่างโรงพยาบาลเหรอ?” โม่อี้เหยียดยิ้ม ดูเหมือนจะไม่เชื่อ “หัวหน้า นั่นมันชั้นที่สามสิบกว่านะ คนคนนั้นจะเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อแจ้งเบาะแสเรื่องลู่เจียวเหรอ? บ้าไปแล้ว!”แล้วก็ไม่มีที่ให้เข้าไปด้วยนี่นา?“นอกหน้าต่างห้องทำงานของหลินเฉิงชุยมีระเบียง พอจะเข้าไปได้” ฉู่เหมียนคลายความสงสัยของเขาโม่อี้รีบตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห
“ฉันไม่ได้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับน้องสาวคุณ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ฉู่เหมียนไม่อยากติดต่อกับคนตระกูลลู่“คุณฉู่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ลู่อี้อธิบายฉู่เหมียนเงียบไปสามวินาที ก่อนจะเดินไปที่รถ “คุยกันตรงนี้แหละ”ลู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้“ฉู่เหมียน ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่บัตรใบนี้มีมูลค่าสองล้าน” ลู่อี้ยื่นบัตรเครดิตมาให้ฉู่เหมียนตกใจเมื่อเห็นบัตรเครดิตใบนี้เขาหมายความว่ายังไง?“ขอให้คุณใจดีกับน้องสาวผมด้วย” เขาจ้องฉู่เหมียน นัยยะคือ เรื่องนี้เป็นฝีมือคุณ รับเงินสองล้านนี้ไป แล้วจบเรื่องไปซะฉู่เหมียนหัวเราะเขาคิดจะใช้เงินฟาดหัวเธอ นี่ไม่ใช่การดูถูกเธอหรอกเหรอ?“คิดว่าเงินแค่สองล้านจะเปลี่ยนทัศนคติของฉันที่มีต่อน้องสาวคุณได้เหรอ?” ฉู่เหมียนหยิบบัตรเครดิตขึ้น พลางจ้องมองลู่อี้อย่างเยาะเย้ย “ฉันจ่ายให้คุณสองล้าน หวังว่าคุณจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก เป็นคุณจะรู้สึกยังไง?”“ฉู่เหมียน คุณไม่ยุติธรรมเลย! กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ!” ลู่อี้ขมวดคิ้ว คิดว่าฉู่เหมียนไม่เข้าใจเหตุผล“ฝ่ายที่ไม่ยุติธรรมคือตระกูลลู่ของคุณต่างหาก!” ฉู่เหมียนโยนบัตรเครดิตใส่ลู่อี้พวกเขาทั้งคร
ชูหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เธอพูดว่า “ไม่มีเลย ตอนนั้นเลิกงานพอดี ฉันเลยเอาเอกสารมาให้ผู้อำนวยการ”ฉู่เหมียนเงียบไปสองสามนาที เธอมองวิดีโอในโทรศัพท์ สักพักก็คิดอะไรไม่ออก “ค่ะ”ถ้าไม่ใช่ชูหลานที่เอาเข้ามา งั้นจดหมายร้องเรียนที่ไม่ระบุชื่อนี่บินเข้ามาเองงั้นเหรอ?ไม่ไกลนัก หม่าจือหยางเดินเข้ามา เขามีสมุดประวัติการรักษาสองเล่มในมือ พูดพลางเดินเข้ามา “คุณหมอชู พรุ่งนี้ผมขอลาพักร้อนนะครับ”ชูหลานเหลือบมองหม่าจือหยาง หม่าจือหยางยื่นใบลาพักร้อนให้ชูหลาน“ค่ะ” ชูหลานตอบรับหม่าจือหยางมองฉู่เหมียน แล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปฉู่เหมียนสังเกตเห็นใบลาพักร้อนในมือของชูหลาน นั่นเป็นลายมือของหม่าจือหยางแน่นอน“ลายมือรองผู้อำนวยการหม่า สวยดีนะคะ” ฉู่เหมียนพูด“ค่ะ ลายมือรองผู้อำนวยการหม่าอ่านง่ายดี หนักแน่นด้วย” ชูหลานเก็บใบลาพักร้อนไว้ฉู่เหมียนเหลือบมองอีกสองสามครั้ง แล้วก็ไปทำงานต่อแผนกฉุกเฉิน ฉู่เหมียนไปส่งเอกสาร กำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงคนเรียก “คุณหมอฉู่ มารับคนไข้เหรอคะ?”ฉู่เหมียนงง อะไรนะ?“มีคนไข้ของแผนกคุณอยู่ที่นี่พอดี อย่าลืมไปรับนะคะ” พยาบาลสาวเตือนฉู่เหมี
ฉู่เหมียน “…” ก็เธอไม่ใช่เหรอ?“ตำแหน่งของใครมีความขัดแย้งกับลู่เจียวมากที่สุด?”ฉู่เหมียน “…”แผนกศัลยกรรมหัวใจมีหมอสองคน ถ้าตำแหน่งเดียวกัน ก็คงเป็นฉันสินะฉู่เหมียน “คุณหมอหลิน อย่าเอาแต่วิเคราะห์เลยค่ะ” ขืนยังวิเคราะห์ต่อไป เดี๋ยวจะถูกตัดสินว่ามีความผิดเอาเสียเองทุกอย่างชี้ไปที่เธอ ยากจะแก้ตัวจริง ๆฉู่เหมียนเท้ามือลงบนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ขนาดวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันยังนอนไม่หลับเลย”“งั้น… คุณพักร้อนสักสองสามวันไหมครับ?” หลินเฮิงชุยถามความเห็นของฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังฉู่เหมียนตกใจ ทำไมล่ะ? ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับตัวเองมีความผิดน่ะสิ!เธอไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงแต่จะไม่พักร้อน แต่ยังจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างองอาจทุกวันอีกด้วยจดหมายแจ้งเบาะแสฉบับนี้ “จริง ๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นคนเขียนใช่ไหม?”หลินเฮิงชุยเองก็เริ่มสงสัยแล้วฉู่เหมียน “…” ฉู่เหมียนเริ่มปวดหัว“ฉันไปดูที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดดีกว่า” ฉู่เหมียนยิ้มขณะที่กำลังพูด ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ เป็นพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องนี้“ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดออกแล้วเหรอครับ?” หลินเฮิงชุยสวมแว่น รู้สึกว่ามีหว
ขณะที่ฉู่เหมียนกำลังคิดไม่ตกว่าจะพูดอย่างไร เสียงแตกของแจกันที่ตกพื้นในห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้น“กรี๊ดดด!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังแว่วแทรกเข้ามาในหูกู้ว่างเชินรีบเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปทันที พบว่าผลไม้ถูกโยนมาตกอยู่ที่เท้าของเขากู้ว่างเชินเดินเข้าไปข้างใน ลู่เจียวกำลังนั่งอยู่บนเตียง ผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนจะใกล้ถึงขีดสุดของความอดทนเมื่อลู่เจียวเห็นกู้ว่างเชิน เธอก็ร้องไห้จนพูดไม่ออก จบแล้ว จบสิ้นแล้วจริง ๆกู้ว่างเชินไม่ยอมรับตัวตนของเธอ ตอนนี้อาชีพที่เธอภาคภูมิใจที่สุดก็หายวับไปแล้ว!เธอจะทำอย่างไรดี?กู้ว่างเชินขมวดคิ้ว ลู่เจียวดูโทรมลงทุกวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องมีปัญหาแน่ กู้ว่างเชินเก็บของที่ตกอยู่บนพื้น ลู่เจียวก็โยนลงไปอีกกู้ว่างเชินไม่พูดอะไร แค่คอย ๆ เก็บขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งลู่เจียวเหนื่อยที่จะโยน เธอหยุดโยนแล้วเอาแต่ร้องไห้กู้ว่างเชินรู้สึกอึดอัดใจ เดินเข้าไปลูบหัวลู่เจียวเพื่อปลอบโยน เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่เจียวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเธอลุกขึ้นคุกเข่าแล้วโอบกอดกู้ว่างเชินไว้ ดูเหมือนว่ามีเพียงกู้ว่างเชินเท่
ฉู่เหมียนตกใจ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงกับต้องฉีดยา!“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณกู้กำลังรออยู่หน้าห้อง เป็นห่วงเจียวเจียวมาก” ซางหานถอนหายใจพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าฉู่เหมียนแพ้แบบไม่ยุติธรรม!ทุกอย่างของฉู่เหมียนดีกว่าลู่เจียว แต่กลับแพ้ในเรื่องของกู้ว่างเชินฉู่เหมียนกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น “ฉันจะไปดูหน่อย”“อย่าไปเลยค่ะ ถ้าเจียวเจียวตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเธอจะด่าคุณยังไงบ้าง พยาบาลบอกว่าตอนที่เธอกำลังใจเสีย เธอพูดว่า...” พูดมาถึงตรงนี้ ซางหานก็เงียบไปฉู่เหมียนไม่เข้าใจ พูดว่าอะไรล่ะ?ซางหานเกาหัว ดูเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อฉู่เหมียนยิ้ม “พูดมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”คำพูดที่ออกมาจากปากของลู่เจียวเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวกับเธอ…ฉู่เหมียน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่“ลู่เจียวบอกว่า เธอจะฆ่าคุณซะ...” ซางหานพูดฉู่เหมียนเม้มปาก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย“เพราะงั้นคุณหมอฉู่ ตอนนี้คุณต้องระวังตัวตอนอยู่ในโรงพยาบาลนะคะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าคุณเป็นคนแอบเขียนจดหมายร้องเรียน” ซางหานเตือนฉู่เหมียนฉู่เหมียนพยักหน้า ลูบหัวซางหาน “ได้ พี่รู้แล้ว ไปทำงานเถอะ!”“
ร่างกายของฉู่เหมียนเบี่ยงหลบทัน ทำให้มือของหลิ่วอิงพลาดเป้าหลิ่วอิงขมวดคิ้ว “แกยังกล้าหลบอีกเหรอ?”“พ่อแม่ฉันยังไม่เคยกล้าตีฉันเลยสักครั้ง คุณเป็นใครกันถึงมาทำแบบนี้?” ฉู่เหมียนถามหลิ่วอิงอย่างท้าทายหลิ่วอิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอจ้องฉู่เหมียนด้วยความโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา“ถ้าฉันมีลูกสาวอย่างแก ฉันจะ...” หลิ่วอิงชี้ไปที่ฉู่เหมียน ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธฉู่เหมียนยิ้ม “โชคดีที่ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ และคุณก็ไม่มีลูกอย่างฉัน”พูดตามตรง ถ้าเธอมีแม่แบบหลิ่วอิง เธอก็อยากจะกระโดดตึกตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!“นี่แก! นังตัวแสบ!” หลิ่วอิงโมโหจนสติแตกลู่อี้ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าฉู่เหมียนกับแม่ของเขาไม่เพียงแต่หน้าตาคล้ายกันแต่กระทั่งนิสัยที่ดื้อรั้นก้าวร้าวก็เหมือนกันอย่างน่าประหลาดลู่อี้กลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็เห็นฉู่เหมียนเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาหลิ่วอิงที่โกรธจนหน้ามืดก็หันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ห้องประชุมทันที เห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะเจรจาเข้าใจกันเป็นอย่างดีลู่อี้อดไม่ได้ที่จะดึงแขนหลิ่วอิงไว้ แล้วถามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “แม่ครับ แม่ไม่คิดว่า เ
ปัญหาอยู่ที่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ นี่มันทำลายอนาคตของลู่เจียวชัด ๆ“งั้นบอกมาสิ ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใคร?” หลิ่วอิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สำหรับแม่คนหนึ่ง อนาคตของลูกสาวถูกทำลาย มันเจ็บปวดกว่าการตายเสียอีก เธอรู้สึกผิดที่ปกป้องลู่เจียวไม่ได้ รู้สึกว่าในเมื่อลู่เจียวทุกข์ เธอก็ทุกข์เหมือนกัน…“ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวคุณเมาแล้วพูดอะไรออกมาบ้าง สรุปแล้ว…” ฉู่เหมียนเดินไปหาหลินเฮิงชุย เธอยกจดหมายไม่เปิดเผยตัวตนขึ้นมาดู “คุณหมอคะ ฉันมาเพื่อชี้แจงว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนเขียน”“ถ้าคุณหมอจะสอบสวน ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่” ฉู่เหมียนไม่กลัว เธอไม่ได้เขียน ก็คือไม่ใช่เธอเขียน เธอเกลียดลู่เจียวมาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยคิดจะทำร้ายลู่เจียว ใช่ว่าเธอไม่สู้คน เพราะเธอสู้ได้มากกว่าใคร แต่เพราะลู่เจียวเป็นคนที่กู้ว่างเชินรัก เธอจึงอดทนมาตลอด แต่ถ้าตระกูลลู่มาใส่ร้ายเธอ ฉู่เหมียนจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป“ได้ครับ ฉู่เหมียน ผมเข้าใจแล้ว” หลินเฮิงชุยตอบกลับอย่างจริงจังหลิ่วอิงยังคงไม่พอใจ “คุณหมอคะ ลูกสาวฉันถูกพักงานใช่ไหม? ฉันต้องการให้เธอโดนพักงานด้วย!”เมื่อได้ยินคำพูดนั้
ห้องประชุมโรงพยาบาล ตรงข้ามคุณหมอหลินเฮิงชุ่ยนั่งกันอยู่สามคน คือพ่อและหลิ่วอิง และลู่อี้ที่มาร่วมประชุมสายเห็นได้ชัดว่าเรื่องของลู่เจียวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลลู่ ถึงกับทำให้ทั้งสามคนต้องมาโรงพยาบาลกันพร้อมหน้าหลินเฮิงชุยพลิกดูประวัติการศึกษาของลู่เจียวแล้วมองทั้งสามคนอย่างมีนัยยะสำคัญ“คุณลู่… ประวัติการศึกษาของลูกสาวคุณ…” หลินเฮิงชุยพูดขึ้นมาหลิ่วอิงรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ประวัติการศึกษาของลูกสาวฉันถูกต้อง ไม่มีการปลอมแปลงแม้แต่น้อย!”“ใช่ครับ แต่ตอนนี้มีคนแจ้งว่าคุณลู่เจียวได้เข้าเรียนคณะแพทย์โดยการแย่งโควตาของคนอื่น” หลินเฮิงชุยพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน การแย่งโควตาเรียนถือเป็นเรื่องใหญ่ เทียบได้กับคดีอาชญากรรม“ใครเป็นคนแจ้ง?” ลู่อวี้เหิงหน้าตาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันใส่ร้ายลูกสาวผมชัด ๆ!”หลินเฮิงชุยรีบพูดขึ้นมา “คุณลู่ครับ อย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานอยู่”“บอกมาสิว่าใครแจ้ง!” หลิ่วอิงโมโห เธอตบโต๊ะดังปัง “ลูกสาวฉันยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย ใครมันมาใส่ร้ายลูกสาวฉันแบบนี้!”หลินเฮิงชุยตอบ “เป็นการแจ้งเบาะแสแบบไม่เปิดเผยตัวตนครับ”“แ