พูดจบ เธอก็เดินออกไป ประตูห้องพักผ่อนปิดลง มือของฉู่เหมียนก็กำหมัดแน่นทันที เธอพิงหลังกับประตู หัวใจเต้นเร็วไม่หยุด ราวกับถูกอะไรบางอย่างเกี่ยวรัดไว้ รู้สึกเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกเธอคิดว่าตัวเองชินชาไปแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกู้ว่างเชิน เธอคิดว่าตัวเองไม่ได้รักเขาแล้วจริง ๆแต่ความจริง มันเป็นเพียงเรื่องโกหกตัวเองทั้งนั้น!เมื่อเขาพูดถึงการหย่าขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจของเธอก็ยังคงเต้นผิดจังหวะการแต่งงานในครั้งนี้ สุดท้ายก็จบลงที่การหย่าร้างฉู่เหมียนยังคงหายใจไม่ออก และพยายามปรับอารมณ์ แต่เธอกลับไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของตัวเองฉู่เหมียนรีบไปทำงาน เธอต้องทำตัวยุ่ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโศกเศร้าในห้องพักผ่อน กู้ว่างเชินค่อย ๆ คว้าสัญญาหย่าขึ้นมา เขาขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทั้งหายใจแรงจะหย่ากับฉู่เหมียนแล้ว แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลยผ่านไปสักพักประตูห้องพักก็ถูกผลักเปิดออก“อาเชิน!” ลู่เจียวเข้ามาจากประตู“อืม” กู้ว่างเชินยิ้มแล้วพูดว่า “ทำงานเป็นยังไงบ้าง?”“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ” ลู่เจียวนั่งลงข้างกู้ว่างเชิน สีหน้าดูเศร้าสร้อย “แค่ช่วงนี้ปวดหลังนิ
“บัตรประจำตัว” เขาหันศีรษะไปเตือนฉู่เหมียนฉู่เหมียนนำสิ่งของทั้งหมดของตัวเองออกมาวาง เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านแน่ใจว่าต้องการหย่าจริง ๆ เหรอคะ? การใช้ชีวิตร่วมกันมันไม่มีปัญหาอะไรที่ผ่านไปได้ อันที่จริง…”“เราคิดเรื่องนี้ดีแล้วค่ะ” ฉู่เหมียนขัดจังหวะเธอระหว่างพวกเขามีปัญหาที่ผ่านไปไม่ได้เขาไม่รักเธอ นั่นคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดกู้ว่างเชินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองไปที่เจ้าหน้าที่คนนั้น เขาดูเหมือนไม่มีความอบอุ่น และยังเข้าถึงได้ยาก ตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเย็นชาและดุร้ายมากขึ้นไปอีกเจ้าหน้าที่ไม่กล้าพูดไร้สาระอีกต่อไปจึงเตือนทั้งสองคนว่า “การหย่ามีระยะเวลาผ่อนผันหนึ่งเดือน ไม่สามารถหย่ากันได้ทันทีในวันนี้ พวกคุณจะต้องกลับมาใหม่อีกครั้งในหนึ่งเดือนค่ะ”“ค่ะ/ครับ” ทั้งสองตอบพร้อมกันฉู่เหมียนคิด นี่เป็นความพร้อมเพรียงกันที่สุดเท่าที่เคยมีมาระหว่างเธอกับกู้ว่างเชินเจ้าหน้าที่มองทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่ามีอะไรจะพูด แต่หลังจากคิดไปคิดมา สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงไปติ๊ง…โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่และฉู่เหมียนดังขึ้นเกือบจะพร้อมกันกู้ว่างเชินเหล
“พ่อได้ยินคุณย่าของลูกบอกว่าเมื่อหกเดือนก่อน ท่านมีอาการเจ็บหัวใจเป็นครั้งคราว แต่มันก็เป็นแค่บางครั้งเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก…” น้ำเสียงของฉู่เทียนเหอสั่นเครือเล็กน้อย“หนูใกล้จะถึงแล้วค่ะ ใกล้จะถึงแล้ว…”ฉู่เหมียนรู้สึกเหมือนสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะเธอสามารถไปช่วยชีวิตคนอื่นได้ แต่ครั้นเมื่อปู่ตัวเองป่วยกลับรู้สึกสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไร“กู้ว่างเชิน เร็วหน่อยสิ” ฉู่เหมียนเอ่ยเร่งกู้ว่างเชินกู้ว่างเชินเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ก็เห็นดวงตาของเธอนั้นแดงก่ำ น้ำตาหยดอยู่บนใบหน้า ความรู้สึกตื่นตระหนกแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนสำนักงานเขตห่างจากโรงพยาบาลประมาณครึ่งชั่วโมง หากขับโดยรถยนต์ทุกครั้งที่มีสัญญาณไฟจราจร ฉู่เหมียนรู้สึกทรมานใจจนไม่สามารถทนได้เธอหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แต่ทำอย่างไรใจก็ไม่สามารถสงบลงได้เลยคุณปู่จะเป็นอะไรไปไม่ได้ คุณปู่จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด! หากคุณปู่เป็นอะไรไป ครอบครัวของเธอจะทำอย่างไร?เธอไม่กล้าจินตนาการถึงวันที่ไม่มีคุณปู่เลยจริง ๆ ขณะที่ฉู่เมียนรู้สึกสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไร ทันใดนั้นมือของเธอก็ถูกมืออุ่น ๆ จับเอาไว้กู้ว่างเชินมองไปข้างห
กู้ว่างเชินจับมือของฉู่เหมียนแน่นขึ้น ส่งสัญญาณให้ฉู่เหมียนอย่าตื่นตระหนกหลินเฮิงชุยถอดหน้ากากออก แล้วมองมาที่พวกเขา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจ “สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉู่เหมียนก็ถึงกับเซถอยไปหนึ่งก้าว กู้ว่างเชินรีบยื่นมือไปโอบเอวของฉู่เหมียน และดึงฉู่เหมียนเข้ามาในอ้อมกอดทันที“หมายความว่าอะไรคะ?” ในน้ำเสียงของเซิ่งฉิงนั้นสั่นสะอื้น“ตอนนี้ผู้ป่วยยังอยู่ในระหว่างการช่วยชีวิต เมื่อสักครู่เกิดอาการช็อก สถานการณ์ไม่มั่นคง ส่วนนี่…คือเอกสารแจ้งอาการป่วยขั้นวิกฤตครับ” หลินเฮิงชุยยื่นเอกสารให้และเอ่ยว่า “คุณหญิง ขอให้พวกคุณเซ็นลงนามด้วยนะครับ”คำพูดของหลินเฮิงชุยเหมือนกับระเบิดหนึ่งลูก ที่ระเบิดข้างหูของฉู่เหมียนอย่างไร้ปราณีฉู่เทียนเหอกดเสียงต่ำ พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง ขณะที่ลงชื่อเขาก็ถามไปด้วย “คุณมั่นใจหรือเปล่า?”หลินเฮิงชุยถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พูดยากครับ”คำพูดนี้เหมือนกับการตัดสินโทษประหารชีวิตของคุณปู่ฉู่เหมียนรู้สึกขาอ่อน แวบหนึ่งภาพความทรงจำที่เคยอยู่กับคุณปู่ก็ฉายวนอยู่ในหัวเหมือนภาพยนตร์ฉู่เทียนเหอล้มตัวลงนั่งบนม้านั่งยาว กู้ว่างเฉินรีบเดินไป
“ฉู่เหมียนกำลังน้ำตาคลอ ขณะนี้มือทั้งสองข้างของเธอปล่อยลงข้างขา เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี“เธอไปไหนมา?” เขาเอ่ยถามเสียงต่ำ สายตาเขาจับจ้องสำรวจไปที่เธอ“ไปนั่งที่ศาลาโปร่งมาน่ะ” ฉู่เหมียนเอ่ยตอบเสียงเบา ดูเหมือนไม่ได้พูดโกหก“คุณปู่ไม่เป็นไรแล้วนะ” กู้ว่างเชินบอกเธอฉู่เหมียนเดินมาที่ตรงหน้ากู้ว่างเชิน ดวงตาของเธอแสดงถึงความรู้สึกผิด “ขอโทษนะ ที่สร้างความลำบากให้กับนาย”“พูดอะไรของเธอ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ชอบที่ฉู่เหมียนพูดจาแบบนี้กับเขาแม้ว่าพวกเขาจะเตรียมตัวหย่ากัน แต่ตอนนี้เขาก็ยังถือว่าเป็นสามีของเธอ เมื่อคุณปู่เกิดปัญหา เขาก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้ก็เหมือนกับงานเลี้ยงวันเกิดของคุณหญิง ฉู่เหมียนก็ไปร่วมงานด้วยกันไม่ใช่หรือไง?“ส่วนเรื่องหย่า คือฉัน…” คำพูดของเธอนิดตรงอยู่ที่ริมฝีปากแต่กู้ว่างเชินก็ขัดจังหวะเธอเสียก่อน “ไม่ต้องรีบ รอให้คุณปู่ดีขึ้นก่อนค่อยว่ากัน”ฉู่เหมียนเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเธอแดงระเรื่อ เธอมองไปทางเบาราวกับกวางน้อยที่ตกใจ ช่างดูน่าสงสาร เธอกัดริมฝีปากแน่นและก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดหัวใจของกู้ว่างเชินไม่อาจหลีกหนีจากความรู้สึกของเธอได้ เขายกมือข
ฉู่เหมียนรู้สึกจุกจนไม่สามารถจนพูดไม่ออกฉู่เทียนเหอมักจะไม่ขึ้นเสียงกับเธอ แต่เมื่อเกี่ยวกับกู้ว่างเชิน เขามักจะควบคุมตัวเองไม่ได้เสมอกู้ว่างเชินขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงต่ำว่า “มันเป็นเพราะผมเอง อย่าโทษเธอเลยนะครับ คุณพ่อตา”“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะนาย! ลูกสาวฉันดีขนาดนี้ แต่ต้องมาแต่งงานกับนาย มันทำให้นายรู้สึกไม่สบายใจงั้นเหรอ?” ฉู่เทียนเหอจ้องไปที่กู้ว่างเชิน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตำหนิกู้ว่างเชินมองไปที่ฉู่เหมียน ดวงตาสีดำสนิทแฝงไปด้วยความรู้สึกที่สับสนฉู่เหมียนดึงตัวฉู่เทียนเหอ หลีกเลี่ยงสายตาของกู้ว่างเชิน และส่งสัญญาณให้ฉู่เทียนเหอหยุดพูดถึงเขาในโรงพยาบาลมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ กู้ว่างเชินเป็นถึงประธานบริษัทตระกูลกู้ โดยเฉพาะในเมืองอวิ๋น เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียง การถูกฉู่เทียนเหอชี้หน้าด่าแบบนี้ไม่ดีแน่นอนฉู่เทียนเหอโกรธจัด “จนถึงตอนนี้แล้ว ลูกยังจะปกป้องเขาอยู่อีก! นี่ลูกลืมความเจ็บปวดที่เขาทำให้ลูกแล้วเหรอ? แม้แต่ชีวิตลูก…” ฉู่เทียนเหอพูดยังไม่ทันจบ ฉู่เหมียนก็เอ่ยขัดจังหวะผู้เป็นพ่อซะก่อน “พ่อคะ พอได้แล้วค่ะ!!”คำพูดของฉู่เทียนเหอหยุดลงทันทีกู้ว่างเชินจ้องมองทั้ง
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉู่เหมียนก็รีบเดินออกไปทันทีกู้ว่างเชินมองไปที่รูปร่างที่ดื้อรั้นของฉู่เหมียน ใจของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างแทงเข้าไปเล็กน้อย รู้สึกเจ็บนิดเล็กน้อยที่หน้าประตูแผนกผู้ป่วยใน ฉู่เหมียนหยุดฝีเท้าลง เธอหันหน้าไปทางกู้ว่างเชิน วางมือทั้งสองข้างไว้ข้างหน้าด้วยท่าทีเรียบร้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณกู้ ฉันคงส่งคุณแค่นี้ รบกวนคุณทั้งช่วงเช้าเลย ขอโทษจริง ๆ ” “อืม” กู้ว่างเชินนมองเธออีกครั้งเขาอยากจะพูดว่า หากฉู่เหมียนต้องการอะไร สามารถโทรหาตนได้ยังไม่ทันที่จะได้พูด ก็ได้ยินเสียงจากข้าง ๆ ขึ้น “เหมียนเหมียน”เสียงนี้คุ้นเคยเป็นอย่างมากกู้ว่างเชินและฉู่เหมียนมองไปที่เสียงนั้นพร้อมกัน เห็นหานซือหลี่ที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้และของขวัญ“คุณกู้ คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ?” หานซือหลี่มองไปที่กู้ว่างเชิน สายตาของเขาแสดงถึงความประหลาดใจเล็กน้อย“มันแปลกมากเลยเหรอครับ?” กู้ว่างเชินมองหานซือหลี่ด้วยสายตาเย็นชา และน้ำเสียงเฉยเมยเพราะช่วงนี้เขากำลังขอซื้อที่ดินผืนเดียวกันกับหานซือหลี่ ทั้งสองคนอยู่ในฐานะคู่แข่ง“ใช่สิครับ ผมนึกว่าในใจของคุณกู้จะมี
ณ ห้องผู้ป่วย“ลุงฉู่ คุณหมอบอกว่าคุณปู่ไม่สบายเหรอครับ?” หานซือหลี่ถามฉู่เทียนเหอขณะที่ยืนอยู่ข้างเตียง“ท่านไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” ฉู่เทียนเหอถอนหายใจ “แต่ต่อไปนี้ต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิต ห้ามได้รับความเครียดหรือทำงานหนักเกินไป”หานซือหลี่พยักหน้า “ลุงฉู่ครับ จริง ๆ แล้วคุณพ่อจะมาด้วยกันกับผม แต่ท่านต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดกระทันหัน เลยส่งผมมาเยี่ยมแทน หวังว่าลุงจะไม่ถือสานะครับ!”“ดูพูดเข้า ลุงไม่ถือสาหรอก” ฉู่เทียนเหอส่ายมือ และไม่ลืมที่บอกหานซือหลี่ “เดี๋ยวให้เหมียนเหมียนไปจองโต๊ะ พวกเรามาทานข้าวเย็นด้วยกันนะ”หานซือหลี่หันไปมองฉู่เหมียนฉู่เหมียนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง กอดอกและมองออกไปข้างนอก สายตาของเธอจ้องไปที่รถปอร์เช่สีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างล่างกู้ว่างเชินยังคงไม่ไปฉู่เหมียนก้มหน้า รู้สึกอึดอัดใจ“เหมียนเหมียน!”ฉู่เทียนเหอเรียกเธอเสียงดังฉู่เหมียนถึงกับเงยหน้าขึ้นและดึงสายตากลับมา “คะ?”“ลูกคิดอะไรอยู่น่ะ?” ฉู่เทียนเหอจ้องมองเธอ ใจยังอยู่กับกู้ว่างเชินล่ะสิท่า?พอแผลหายก็ลืมความเจ็บซะแล้ว! แค่เขายิ้มให้นิดหน่อย เธอก็วิ่งไล่ตามเขาไปอย่างไม่มีศักดิ์ศรี!“เปล่าค
ฉู่เหมียนไปที่ฐาน M ในทันที เธอต้องการรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องลู่เจียวเธอทนไม่ได้กับความอับอาย แม้แต่นิดเดียวก็ทนไม่ได้!โม่อี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล เขาตรวจสอบทุกมุมแล้ว แต่ก็หาคนที่เข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการไม่พบ“ดูกล้องวงจรปิดตรงหน้าต่างซิ” ฉู่เหมียนสั่งโม่อี้เสียงเย็นโม่อี้หันไป ก็เห็นฉู่เหมียนยืนอยู่ข้างหลังเขา “หัวหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”“เมื่อกี้” ฉู่เหมียนพูดเสียงแข็ง ชัดเจนว่ากำลังโกรธ คำสองคำนั้นเหมือนเค้นผ่านไรฟันออกมาโม่อี้กำลังตรวจสอบอย่างตั้งใจมาก จนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอมาโม่อี้ร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง รีบเปลี่ยนภาพกล้องวงจรปิดไม่ลืมเหลือบมองฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังดูตรงหน้าต่าง… เดี๋ยวนะ“หน้าต่างโรงพยาบาลเหรอ?” โม่อี้เหยียดยิ้ม ดูเหมือนจะไม่เชื่อ “หัวหน้า นั่นมันชั้นที่สามสิบกว่านะ คนคนนั้นจะเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อแจ้งเบาะแสเรื่องลู่เจียวเหรอ? บ้าไปแล้ว!”แล้วก็ไม่มีที่ให้เข้าไปด้วยนี่นา?“นอกหน้าต่างห้องทำงานของหลินเฉิงชุยมีระเบียง พอจะเข้าไปได้” ฉู่เหมียนคลายความสงสัยของเขาโม่อี้รีบตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห
“ฉันไม่ได้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับน้องสาวคุณ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ฉู่เหมียนไม่อยากติดต่อกับคนตระกูลลู่“คุณฉู่ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ลู่อี้อธิบายฉู่เหมียนเงียบไปสามวินาที ก่อนจะเดินไปที่รถ “คุยกันตรงนี้แหละ”ลู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้“ฉู่เหมียน ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่บัตรใบนี้มีมูลค่าสองล้าน” ลู่อี้ยื่นบัตรเครดิตมาให้ฉู่เหมียนตกใจเมื่อเห็นบัตรเครดิตใบนี้เขาหมายความว่ายังไง?“ขอให้คุณใจดีกับน้องสาวผมด้วย” เขาจ้องฉู่เหมียน นัยยะคือ เรื่องนี้เป็นฝีมือคุณ รับเงินสองล้านนี้ไป แล้วจบเรื่องไปซะฉู่เหมียนหัวเราะเขาคิดจะใช้เงินฟาดหัวเธอ นี่ไม่ใช่การดูถูกเธอหรอกเหรอ?“คิดว่าเงินแค่สองล้านจะเปลี่ยนทัศนคติของฉันที่มีต่อน้องสาวคุณได้เหรอ?” ฉู่เหมียนหยิบบัตรเครดิตขึ้น พลางจ้องมองลู่อี้อย่างเยาะเย้ย “ฉันจ่ายให้คุณสองล้าน หวังว่าคุณจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก เป็นคุณจะรู้สึกยังไง?”“ฉู่เหมียน คุณไม่ยุติธรรมเลย! กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ!” ลู่อี้ขมวดคิ้ว คิดว่าฉู่เหมียนไม่เข้าใจเหตุผล“ฝ่ายที่ไม่ยุติธรรมคือตระกูลลู่ของคุณต่างหาก!” ฉู่เหมียนโยนบัตรเครดิตใส่ลู่อี้พวกเขาทั้งคร
ชูหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เธอพูดว่า “ไม่มีเลย ตอนนั้นเลิกงานพอดี ฉันเลยเอาเอกสารมาให้ผู้อำนวยการ”ฉู่เหมียนเงียบไปสองสามนาที เธอมองวิดีโอในโทรศัพท์ สักพักก็คิดอะไรไม่ออก “ค่ะ”ถ้าไม่ใช่ชูหลานที่เอาเข้ามา งั้นจดหมายร้องเรียนที่ไม่ระบุชื่อนี่บินเข้ามาเองงั้นเหรอ?ไม่ไกลนัก หม่าจือหยางเดินเข้ามา เขามีสมุดประวัติการรักษาสองเล่มในมือ พูดพลางเดินเข้ามา “คุณหมอชู พรุ่งนี้ผมขอลาพักร้อนนะครับ”ชูหลานเหลือบมองหม่าจือหยาง หม่าจือหยางยื่นใบลาพักร้อนให้ชูหลาน“ค่ะ” ชูหลานตอบรับหม่าจือหยางมองฉู่เหมียน แล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปฉู่เหมียนสังเกตเห็นใบลาพักร้อนในมือของชูหลาน นั่นเป็นลายมือของหม่าจือหยางแน่นอน“ลายมือรองผู้อำนวยการหม่า สวยดีนะคะ” ฉู่เหมียนพูด“ค่ะ ลายมือรองผู้อำนวยการหม่าอ่านง่ายดี หนักแน่นด้วย” ชูหลานเก็บใบลาพักร้อนไว้ฉู่เหมียนเหลือบมองอีกสองสามครั้ง แล้วก็ไปทำงานต่อแผนกฉุกเฉิน ฉู่เหมียนไปส่งเอกสาร กำลังจะจากไปก็ได้ยินเสียงคนเรียก “คุณหมอฉู่ มารับคนไข้เหรอคะ?”ฉู่เหมียนงง อะไรนะ?“มีคนไข้ของแผนกคุณอยู่ที่นี่พอดี อย่าลืมไปรับนะคะ” พยาบาลสาวเตือนฉู่เหมี
ฉู่เหมียน “…” ก็เธอไม่ใช่เหรอ?“ตำแหน่งของใครมีความขัดแย้งกับลู่เจียวมากที่สุด?”ฉู่เหมียน “…”แผนกศัลยกรรมหัวใจมีหมอสองคน ถ้าตำแหน่งเดียวกัน ก็คงเป็นฉันสินะฉู่เหมียน “คุณหมอหลิน อย่าเอาแต่วิเคราะห์เลยค่ะ” ขืนยังวิเคราะห์ต่อไป เดี๋ยวจะถูกตัดสินว่ามีความผิดเอาเสียเองทุกอย่างชี้ไปที่เธอ ยากจะแก้ตัวจริง ๆฉู่เหมียนเท้ามือลงบนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ขนาดวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันยังนอนไม่หลับเลย”“งั้น… คุณพักร้อนสักสองสามวันไหมครับ?” หลินเฮิงชุยถามความเห็นของฉู่เหมียนอย่างระมัดระวังฉู่เหมียนตกใจ ทำไมล่ะ? ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับตัวเองมีความผิดน่ะสิ!เธอไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงแต่จะไม่พักร้อน แต่ยังจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างองอาจทุกวันอีกด้วยจดหมายแจ้งเบาะแสฉบับนี้ “จริง ๆ แล้ว คุณไม่ได้เป็นคนเขียนใช่ไหม?”หลินเฮิงชุยเองก็เริ่มสงสัยแล้วฉู่เหมียน “…” ฉู่เหมียนเริ่มปวดหัว“ฉันไปดูที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดดีกว่า” ฉู่เหมียนยิ้มขณะที่กำลังพูด ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ เป็นพนักงานผู้รับผิดชอบเรื่องนี้“ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดออกแล้วเหรอครับ?” หลินเฮิงชุยสวมแว่น รู้สึกว่ามีหว
ขณะที่ฉู่เหมียนกำลังคิดไม่ตกว่าจะพูดอย่างไร เสียงแตกของแจกันที่ตกพื้นในห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้น“กรี๊ดดด!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังแว่วแทรกเข้ามาในหูกู้ว่างเชินรีบเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปทันที พบว่าผลไม้ถูกโยนมาตกอยู่ที่เท้าของเขากู้ว่างเชินเดินเข้าไปข้างใน ลู่เจียวกำลังนั่งอยู่บนเตียง ผมยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนจะใกล้ถึงขีดสุดของความอดทนเมื่อลู่เจียวเห็นกู้ว่างเชิน เธอก็ร้องไห้จนพูดไม่ออก จบแล้ว จบสิ้นแล้วจริง ๆกู้ว่างเชินไม่ยอมรับตัวตนของเธอ ตอนนี้อาชีพที่เธอภาคภูมิใจที่สุดก็หายวับไปแล้ว!เธอจะทำอย่างไรดี?กู้ว่างเชินขมวดคิ้ว ลู่เจียวดูโทรมลงทุกวัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องมีปัญหาแน่ กู้ว่างเชินเก็บของที่ตกอยู่บนพื้น ลู่เจียวก็โยนลงไปอีกกู้ว่างเชินไม่พูดอะไร แค่คอย ๆ เก็บขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งลู่เจียวเหนื่อยที่จะโยน เธอหยุดโยนแล้วเอาแต่ร้องไห้กู้ว่างเชินรู้สึกอึดอัดใจ เดินเข้าไปลูบหัวลู่เจียวเพื่อปลอบโยน เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่เจียวก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมเธอลุกขึ้นคุกเข่าแล้วโอบกอดกู้ว่างเชินไว้ ดูเหมือนว่ามีเพียงกู้ว่างเชินเท่
ฉู่เหมียนตกใจ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงกับต้องฉีดยา!“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณกู้กำลังรออยู่หน้าห้อง เป็นห่วงเจียวเจียวมาก” ซางหานถอนหายใจพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าฉู่เหมียนแพ้แบบไม่ยุติธรรม!ทุกอย่างของฉู่เหมียนดีกว่าลู่เจียว แต่กลับแพ้ในเรื่องของกู้ว่างเชินฉู่เหมียนกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น “ฉันจะไปดูหน่อย”“อย่าไปเลยค่ะ ถ้าเจียวเจียวตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเธอจะด่าคุณยังไงบ้าง พยาบาลบอกว่าตอนที่เธอกำลังใจเสีย เธอพูดว่า...” พูดมาถึงตรงนี้ ซางหานก็เงียบไปฉู่เหมียนไม่เข้าใจ พูดว่าอะไรล่ะ?ซางหานเกาหัว ดูเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อฉู่เหมียนยิ้ม “พูดมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”คำพูดที่ออกมาจากปากของลู่เจียวเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวกับเธอ…ฉู่เหมียน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่“ลู่เจียวบอกว่า เธอจะฆ่าคุณซะ...” ซางหานพูดฉู่เหมียนเม้มปาก เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย“เพราะงั้นคุณหมอฉู่ ตอนนี้คุณต้องระวังตัวตอนอยู่ในโรงพยาบาลนะคะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าคุณเป็นคนแอบเขียนจดหมายร้องเรียน” ซางหานเตือนฉู่เหมียนฉู่เหมียนพยักหน้า ลูบหัวซางหาน “ได้ พี่รู้แล้ว ไปทำงานเถอะ!”“
ร่างกายของฉู่เหมียนเบี่ยงหลบทัน ทำให้มือของหลิ่วอิงพลาดเป้าหลิ่วอิงขมวดคิ้ว “แกยังกล้าหลบอีกเหรอ?”“พ่อแม่ฉันยังไม่เคยกล้าตีฉันเลยสักครั้ง คุณเป็นใครกันถึงมาทำแบบนี้?” ฉู่เหมียนถามหลิ่วอิงอย่างท้าทายหลิ่วอิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอจ้องฉู่เหมียนด้วยความโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา“ถ้าฉันมีลูกสาวอย่างแก ฉันจะ...” หลิ่วอิงชี้ไปที่ฉู่เหมียน ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธฉู่เหมียนยิ้ม “โชคดีที่ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ และคุณก็ไม่มีลูกอย่างฉัน”พูดตามตรง ถ้าเธอมีแม่แบบหลิ่วอิง เธอก็อยากจะกระโดดตึกตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!“นี่แก! นังตัวแสบ!” หลิ่วอิงโมโหจนสติแตกลู่อี้ที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าฉู่เหมียนกับแม่ของเขาไม่เพียงแต่หน้าตาคล้ายกันแต่กระทั่งนิสัยที่ดื้อรั้นก้าวร้าวก็เหมือนกันอย่างน่าประหลาดลู่อี้กลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็เห็นฉู่เหมียนเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาหลิ่วอิงที่โกรธจนหน้ามืดก็หันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ห้องประชุมทันที เห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะเจรจาเข้าใจกันเป็นอย่างดีลู่อี้อดไม่ได้ที่จะดึงแขนหลิ่วอิงไว้ แล้วถามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “แม่ครับ แม่ไม่คิดว่า เ
ปัญหาอยู่ที่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ นี่มันทำลายอนาคตของลู่เจียวชัด ๆ“งั้นบอกมาสิ ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใคร?” หลิ่วอิงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สำหรับแม่คนหนึ่ง อนาคตของลูกสาวถูกทำลาย มันเจ็บปวดกว่าการตายเสียอีก เธอรู้สึกผิดที่ปกป้องลู่เจียวไม่ได้ รู้สึกว่าในเมื่อลู่เจียวทุกข์ เธอก็ทุกข์เหมือนกัน…“ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวคุณเมาแล้วพูดอะไรออกมาบ้าง สรุปแล้ว…” ฉู่เหมียนเดินไปหาหลินเฮิงชุย เธอยกจดหมายไม่เปิดเผยตัวตนขึ้นมาดู “คุณหมอคะ ฉันมาเพื่อชี้แจงว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนเขียน”“ถ้าคุณหมอจะสอบสวน ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่” ฉู่เหมียนไม่กลัว เธอไม่ได้เขียน ก็คือไม่ใช่เธอเขียน เธอเกลียดลู่เจียวมาก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยคิดจะทำร้ายลู่เจียว ใช่ว่าเธอไม่สู้คน เพราะเธอสู้ได้มากกว่าใคร แต่เพราะลู่เจียวเป็นคนที่กู้ว่างเชินรัก เธอจึงอดทนมาตลอด แต่ถ้าตระกูลลู่มาใส่ร้ายเธอ ฉู่เหมียนจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป“ได้ครับ ฉู่เหมียน ผมเข้าใจแล้ว” หลินเฮิงชุยตอบกลับอย่างจริงจังหลิ่วอิงยังคงไม่พอใจ “คุณหมอคะ ลูกสาวฉันถูกพักงานใช่ไหม? ฉันต้องการให้เธอโดนพักงานด้วย!”เมื่อได้ยินคำพูดนั้
ห้องประชุมโรงพยาบาล ตรงข้ามคุณหมอหลินเฮิงชุ่ยนั่งกันอยู่สามคน คือพ่อและหลิ่วอิง และลู่อี้ที่มาร่วมประชุมสายเห็นได้ชัดว่าเรื่องของลู่เจียวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลลู่ ถึงกับทำให้ทั้งสามคนต้องมาโรงพยาบาลกันพร้อมหน้าหลินเฮิงชุยพลิกดูประวัติการศึกษาของลู่เจียวแล้วมองทั้งสามคนอย่างมีนัยยะสำคัญ“คุณลู่… ประวัติการศึกษาของลูกสาวคุณ…” หลินเฮิงชุยพูดขึ้นมาหลิ่วอิงรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ประวัติการศึกษาของลูกสาวฉันถูกต้อง ไม่มีการปลอมแปลงแม้แต่น้อย!”“ใช่ครับ แต่ตอนนี้มีคนแจ้งว่าคุณลู่เจียวได้เข้าเรียนคณะแพทย์โดยการแย่งโควตาของคนอื่น” หลินเฮิงชุยพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน การแย่งโควตาเรียนถือเป็นเรื่องใหญ่ เทียบได้กับคดีอาชญากรรม“ใครเป็นคนแจ้ง?” ลู่อวี้เหิงหน้าตาเปลี่ยนไปทันที “นี่มันใส่ร้ายลูกสาวผมชัด ๆ!”หลินเฮิงชุยรีบพูดขึ้นมา “คุณลู่ครับ อย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานอยู่”“บอกมาสิว่าใครแจ้ง!” หลิ่วอิงโมโห เธอตบโต๊ะดังปัง “ลูกสาวฉันยังนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย ใครมันมาใส่ร้ายลูกสาวฉันแบบนี้!”หลินเฮิงชุยตอบ “เป็นการแจ้งเบาะแสแบบไม่เปิดเผยตัวตนครับ”“แ