“ฉันน่ะยังไงก็ได้แต่...” โมฮาหมัดโยนการตัดสินใจให้กับอันเดซาอีที่จะต้องคิดหนัก “จะยอมเสียศักดิ์ศรีให้โจรอย่างฉันช่วยได้รื้อ” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะลงคอ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน ควรจะดีใจที่มีคนลงมือกำจัดอันเดซาอีให้ แต่พอเกิดเหตุเข้าใจจริงๆ ทำไมถึงใจถึงหาย ทำใจไม่ได้ก็ไม่รู้ศีรษะทุยถึงกับส่ายสะบัด เขานี่ท่าจะเพี้ยนหนัก โดนอันเดซาอีไล่ล่าตามล้างตามเช็ด จนก่อเกิดเกลียวเชือกสานสายใยความรู้สึกเหมือนญาติสนิท ที่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดือดร้อน ใจก็ร้อนรุ่มต้องออกโรงช่วยเหลือ จนลืมคิดถึงความปลอดภัยและผลที่จะเกิดตามมา“ว่าไงล่ะคุณอันเดซาอี...แค่คุณคนเดียว แน่ใจนะว่าจะรับมือพวกข้างนอกนับสิบนั่นได้ จะคุ้มครองผู้หญิงถึงสองคนไม่ให้โดนทำร้ายได้น่ะ”“จะให้ฉันไว้ใจ ยอมให้ว่าที่ภรรยาไปอยู่ในการคุ้มครองของผู้ชายที่พูดไม่หยุดปาก อยากข่มเหงรังแกเธอจนหน้ามืดได้ยังไงกัน” เสียงขลุกขลักดังจากแผงคอแกร่ง“ฉันคงจะเพี้ยนจัด ถ้าปล่อยให้เอแคลร์อยู่ภายใต้การดูแลของแมวบ้าที่คอยแต่จะขย้ำเขาอยู่ตลอดเวลาน่ะ” เอ่ยออกไปแล้วอันเดซาอีก็รู้สึกเหมือนมีกระแสลมเย็นๆ มาแตะกาย จนต้องเหลือบสายตาไปมองอติกา
เห็นขอขวัญยิ้มให้กับผู้ชายคนอื่นแล้วในหัวใจมันเจ็บจี๊ด ร้อนรุ่มราวกับโดนไฟเผา แต่ยามนี้ที่รอบกายรายล้อมไปด้วยคนมุ่งร้าย ในเมื่อศัตรูตรงหน้าเผยตัวว่าจะยอมเป็นพันธมิตรชั่วคราว เขาควรหยุดคิดเรื่องส่วนตัวหันมาใช้ประโยชน์จากคนตรงหน้าให้มากที่สุดสินะ แต่ก็ไม่ทันโมฮาหมัดที่เอ่ยพูดขึ้นมาก่อน“ที่เธอเสนอมาเมื่อครู่มันก็ดีอยู่นะขวัญ แต่...”“แต่...อะไร” อติกานต์เอ่ยถามเมื่อรู้สึกเสียววาบที่แผ่นหลัง รอยยิ้มแหยๆ แตะใบหน้ายามเมื่อเหลือบสายตาหวาดหวั่นไปมองอันเดซาอี ก่อนตวัดสายตาเกรี้ยวกราดไปมองโมฮาหมัด แต่เพียงได้สบสายตาคมดุวามวาวแล้วต้องรีบขยับกายหนีอย่างอัตโนมัติ“เผอิญคนที่ฉันอยากพาไปด้วยก็คือ...” กายแกร่งกำยำเคลื่อนไหวไปหาอติกานต์อย่างว่องไว “ยังไงฉันก็ขอตัวเอแคลร์ไปก่อนละกัน” โมฮาหมัดยกมือโบกสะบัด พลางบังคับพาคนที่พยายามจะสะบัดกายหนีไปทางที่เข้ามา“คุณ! จะพาฉันไปไหน ปล่อยฉันนะ” อติกานต์พยายามสะบัดมือออกจากการจับกุม แต่นอกจากจะไม่หลุด ยังถูกโมฮาหมัดสอดแขนรัดรอบเอวคอดกิ่วพร้อมเสียงเข้มดุอีก“อยู่เฉยๆ นะเอแคลร์ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก” ฝ่ามือหนาทาบบนแผ่นหลังบอบบาง ดันกายอรชรให้ต้องเร่งเดินตามไปติด ๆ“ค
“โอ๊ย! ฉันเหนื่อยแล้วนะ หยุดพักก่อนได้ไหมคุณอันเดซาอี” ขอขวัญโอดครวญปนหอบ พลางยกมือเย็นขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลหยดลงมาเป็นทาง สลับกดทรวงอกที่ความอึดอัดถาโถมเข้ามาหนักหน่วงขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ออกมาจากกระโจมที่พัก เธอก็ยังต้องวิ่ง...วิ่งและวิ่งไม่ได้หยุดเลย“ไม่ได้”“ทำไม เราวิ่งหนีมาได้ตั้งไกลแล้วนะ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกนั้นไม่ตามมาแล้วนะ อีกอย่างฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คุณยังจะใจดำไม่ยอมหยุดพักอีกหรือไง”“ยิ่งเราช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ถูกตามทันเร็วเท่านั้น” แม้เขาจะท่องไปในทะเลทรายนานหลายปี แต่ก็ยังไม่อาจต่อกรกับคนที่ได้รับการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้และชำนาญพื้นที่ได้“แต่ฉันเหนื่อย...คุณได้ยินไหมว่าฉันเหนื่อย ฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว” ขอขวัญสลัดแขนออกจากมือแกร่งและทรุดกายลงนั่งบนพื้นทรายอย่างหมดแรงเดินจริงๆ“อดทนอีกนิดนะ ฉันคิดว่า...” อันเดซาอีเหลียวมองรอบกายที่ปลายขอบโค้งของท้องฟ้า พระจันทร์ดวงกลมโตยังคงทอแสงอ่อนๆ ให้เห็นทางเดินแสนเวิ้งว้างและยาว...ไกล“คิดว่าอะไร” ขอขวัญเอ่ยถามเมื่ออันเดซาอีหยุดพูดไปเสียดื้อๆ“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าคุณพาฉันหลงทาง จนตอนนี้ไม่รู้จะไปทางไหนดีน่ะ” ปลายเสียงขอขวัญแหบแห้
สองแก้มนุ่มป่องออกเล็กน้อย เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขา...ก็สมควรแล้วนี่ที่จะต้องรับผิดชอบ เหนื่อยจนหายใจหอบราวกับหมาหอบแดด...ล้าจนสองขาแทบจะยกไม่ขึ้นแล้วนี่นา รอยยิ้มจะแต้มที่บนเรียวปากอิ่ม ดวงตากลมโตเป็นประกายใสแจ๋วดั่งกับดวงดาราที่ดาษดื่นบนท้องฟ้ายามราตรีไร้แสงจันทรา“ก็...เท้าฉันเจ็บ เดินต่อไปไม่ไหว ถ้าคุณอยากจะให้การเดินทางไปได้เร็วอย่างใจละก็...” คิ้วโก่งได้รูปเลิกขึ้นอย่างคนที่คิดว่าตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่า“เธอนี่...นอกจากจะพูดจนลิงหลับได้แล้ว ยังจะมากเรื่องและยุ่งชะมัดยาด” อันเดซาอีเอ่ยอย่างเอือมระอา แต่แปลกที่เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกดีๆ อบอวลอยู่รอบกาย เหมือนจะแทรกซึมไปที่หัวใจอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคงที่เขาต้องรีบสลัดทิ้งไปโดยเร็วไว “จะมาโทษว่าเป็นความผิดฉันได้ยังไงกันล่ะ คุณเป็นคนเลือกแบบนี้เองนี่นา” ขอขวัญยิ้มจนแก้มปริ รีบยกมือวางบนไหล่กว้างของคนที่ย่อตัวลงให้เธอขึ้นขี่หลังอย่างเริงรื่นและสุขใจ“ผู้หญิงอะไร ตัวหนักชะมัดเลย” น้ำหนักขอขวัญไม่ได้เยอะจนทำให้ไหล่ทรุด แต่เพราะบาดแผลต่างหากที่ทำให้เขาเจ็บจนขาสั่น“ถึงพ่อแม่จะไม่ใช่คนมั่งมีเงินทองกองท่วมหัวอย่างคุณ แต่เพราะท่านดัน
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันยังไหว ไปต่อเถอะ ว่าแต่...ทางที่เราจะไป จะได้เจอกับหมู่บ้านหรือพวกยิปซีมาตั้งกระโจมพักเร็วๆ ใช่ไหม” เธอไม่ได้อยากถามอย่างนี้ แต่ตอนนี้ในหัวมีเสียงใสดังอย่างต่อเนื่อง เหมือนค้อนที่ตอกลงไปบนตะปู ทำให้ปวดหัวติ้วๆ มาพร้อมกับอาการผะอืดผะอมอยากจะอาเจียนอันเดซาอีได้แต่เงียบ ด้วยตอบคำถามนี้ไม่ได้ การวิ่งหนีท่ามกลางความมืดมิดทำให้เริ่มที่จะหลงทิศทาง เกิดเป็นความไม่แน่ใจ ควรจะไปทางไหนดี“ไปทางขวาสิ...ไม่นานเราก็จะพบคนช่วย” อยู่ดีๆ ใจเธอก็สั่งให้เอ่ยขึ้น“หือ...เธอว่าอะไรนะ” อันเดซาอีเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ไหนจะน้ำเสียงที่ดังข้างๆ หูอีกเล่า หรือว่าเธอคนนั้นกำลังมาเตือนให้เขารู้สึกตัว อย่าลืมความตั้งใจเดิม...อย่าให้สิ่งที่ลงทุนทำลงไปทุกอย่างเสียเปล่า“ขอขวัญ” ความจริงอยากร้องเรียกคนบนหลังว่า “ไอย่า” มากกว่า แม้อยากจะหลอกตัวเองว่ามีคนที่รักอยู่เคียงข้างกาย อยากได้ยินเสียงกังวานหวานใสดังใกล้ๆ ได้เห็นใบหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ต่างๆ ดวงตากลมโตใสแจ๋วฉายแววรักใคร่ยามมองมาที่เขา แต่เขาก็จำต้องยอมรับความเป็นจริง...ไม่มีเธออยู่เคียงข้างให้รอบกายและหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความสุข
“เป็นอะไร” หญิงสาวเผลอสาวเท้าถอยหลัง จึงถูกแขนแกร่งตวัดโอบรัดรอบกายและดึงเข้าหาตัว จนต้องรีบยกมือยันอกกว้าง ก่อนจมูกโด่งจะกดลงบนหน้าผากนวล“เมีย...ไง” โมฮาหมัดฉวยที่อติกานต์กำลังตะลึงพรึงเพริดอยู่ กดปากหนาอุ่นลงไปบนเรียวปากนุ่ม บดคลึงขบเม้มแผ่วเบา ฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังบอบบางพลางกอดกระชับร่างอรชรแนบชิด“อือ...” อติกานต์พยายามต้านทานเพลิงพิศวาสที่ถูกเติมอย่างหนักหน่วงแต่มั่นคง ที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยคิดว่าเย็นชาเข็ดขยาดกับความรัก เพราะถูกคนรักหักหลังอย่างเลือดเย็นเริ่มแกว่งไกว คล้ายเชือกป่านที่ถูกขึงเชื่อมต้นไม้สูงสองต้นไว้ด้วยกัน ยิ่งพยายามต้านทานมากเท่าไหร่ ร่างกายกลับยิ่งอ่อนแรง ไหนจะความอบอุ่นที่โอบรัด ทำให้ยิ่งอยากถาโถมเข้าไปแนบซบอกกว้าง แต่แม้ใจปรารถนาสักเท่าไหร่ เธอก็ต้องหักห้ามมิให้เผลอไผลปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือความถูกต้อง“อือ...จะต้านทานความต้องการของตัวเองไปทำไมกันล่ะเอแคลร์” แขนแกร่งกระชับร่างนุ่มนิ่มแนบชิด ลูบไล้ฝ่ามือหนาไปบนแผ่นหลังบอบบาง เรื่อยขึ้นไปจนถึงลำคอระหง นวดคลึงแผ่วเบาก่อนจะจับตรึงท้ายทอยมนเอาไว้มั่น เพื่อเขาจะได้สัมผัสกับใบหน้านวลเนียนนุ่มและกลีบปากอิ่มหวาน
โมฮาหมัดถึงกับผงะและร้องครางในลำคออย่างไม่เชื่อ ทำไมเขาถึงได้เห็นหน้าไอ้เจ้านั่นเสียได้ กรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน พยายามสะบัดศีรษะขับไล่ภาพที่เรียบร้อยเป็นเรื่องราวแต่หนหลังพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่ยิ่งเพิ่มความเจ็บศีรษะจนตาพร่ามัว“เป็นอะไรไปน่ะคุณ” อติกานต์เอ่ยถาม เมื่ออยู่ดีๆ ใบหน้าคร้ามแกร่งก็ขาวซีดและมีหยาดเหงื่อไหลซึมออกมา“อย่ามายุ่ง” โมฮาหมัดปัดมือเล็กออกห่างไป เสียงหวานใสที่แตะหลังหูเสมือนคมมีดแห่งความริษยาที่บาดลึกลงไปถึงทรวง“นึกว่าฉันอยากยุ่งกับคุณนักหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบังคับลากเอาตัวมาด้วย ฉันคงไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้ ฉันก็ไม่ยุ่งกับคุณหรอกย่ะ” อติกานต์สบถน้ำเสียงขุ่นมัว ดวงตากลมใสเป็นประกายวาวจ้าด้วยเพลิงโทสะราวกับกระแสลมที่พัดลิ่วล้อเล่นกับทรายสีขาวนวลคือเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ผสมคำพูดท้าทายดังก้องหู...คนอย่างนายก็ดีแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อหลอกผู้หญิงให้สนใจ ถ้าแน่จริงก็ทำให้ผู้หญิงตรงหน้ารักและยินยอมเป็นเมียด้วยความเต็มใจสิ แต่นะ...อย่างนายคงทำได้เพียงแค่ใช้กำลังข่มเหงอย่างเดียว ถึงจะได้ตัวผู้หญิงที่พึงพอใจมาเคียงชิดใกล้ อติกานต์คือผู้หญิงข
ภายในป้อมปราการอันมั่นคงกลางทะเลทราย แสงแดดยามเที่ยงวันสาดส่องกระทบกับพื้นทรายสีขาวนวล จนมีไอร้อนคล้ายหมอกควันสีขาวใสพวยพุ่งขึ้นมา ทว่าผู้คนเกือบครึ่งร้อยที่มาร่วมพิธีแต่งงานกลับไม่รับรู้เลยสักนิด ด้วยพวกเขาต่างมีความชื่นชมและยินดีกับคู่บ่าวสาวที่ยืนยิ้มกว้าง ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างเป็นกันเองและใบหน้าเปี่ยมสุขเจ้าบ่าวรูปร่างบึกบึนล่ำสัน ใบหน้าเข้มขรึมปราศจากไรหนวดเคราอย่างที่เคยเห็นจนชินตา ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวสะอาดในปากแทบหมดทุกซี่ ยืนเคียงข้างเจ้าสาวหน้าละอ่อนแย้มยิ้มด้วยเขินอายจากนัยน์ตาเข้มแฝงความหวานที่มองมาบ่อยครั้งเสียงแซวจากกลุ่มเพื่อนๆ ดังแว่วมา ทำให้สองแก้มใสของเจ้าสาวเป็นสีกลีบกุหลาบ ค้อนปะหลับปะเหลือกใส่เจ้าบ่าวที่ร่วมผสมโรงด้วยการส่งสายตาเข้มวามวาวด้วยความรักใคร่ระคนเอ็นดู“อย่าไปสนใจเลย เจ้าพวกนั้นอิจฉาที่ไอย่าตกลงแต่งงานกับฉัน อิจฉาที่ฉันได้สาวน้อยแสนสวยและแสนดีคนนี้ไปครอบครองนะ”อันเดซาอีเอ่ยเสียงทุ้มหวาน หลุบสายตาลงมองแก้มใสซับสีเลือดด้วยหัวใจระทึก อยากจรดจมูกโด่งลงไปจูบซับความหอมละมุนให้ชุ่มฉ่ำใจ แต่ต้องข่มกลั้นใจเอาไว้ ด้วยเคยรับปากมารดาที่ขอไว้ เป็นสุภาพบุรุษจะต้
โมฮาหมัดถึงกับผงะและร้องครางในลำคออย่างไม่เชื่อ ทำไมเขาถึงได้เห็นหน้าไอ้เจ้านั่นเสียได้ กรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน พยายามสะบัดศีรษะขับไล่ภาพที่เรียบร้อยเป็นเรื่องราวแต่หนหลังพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่ยิ่งเพิ่มความเจ็บศีรษะจนตาพร่ามัว“เป็นอะไรไปน่ะคุณ” อติกานต์เอ่ยถาม เมื่ออยู่ดีๆ ใบหน้าคร้ามแกร่งก็ขาวซีดและมีหยาดเหงื่อไหลซึมออกมา“อย่ามายุ่ง” โมฮาหมัดปัดมือเล็กออกห่างไป เสียงหวานใสที่แตะหลังหูเสมือนคมมีดแห่งความริษยาที่บาดลึกลงไปถึงทรวง“นึกว่าฉันอยากยุ่งกับคุณนักหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบังคับลากเอาตัวมาด้วย ฉันคงไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้ ฉันก็ไม่ยุ่งกับคุณหรอกย่ะ” อติกานต์สบถน้ำเสียงขุ่นมัว ดวงตากลมใสเป็นประกายวาวจ้าด้วยเพลิงโทสะราวกับกระแสลมที่พัดลิ่วล้อเล่นกับทรายสีขาวนวลคือเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ผสมคำพูดท้าทายดังก้องหู...คนอย่างนายก็ดีแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อหลอกผู้หญิงให้สนใจ ถ้าแน่จริงก็ทำให้ผู้หญิงตรงหน้ารักและยินยอมเป็นเมียด้วยความเต็มใจสิ แต่นะ...อย่างนายคงทำได้เพียงแค่ใช้กำลังข่มเหงอย่างเดียว ถึงจะได้ตัวผู้หญิงที่พึงพอใจมาเคียงชิดใกล้ อติกานต์คือผู้หญิงข
“เป็นอะไร” หญิงสาวเผลอสาวเท้าถอยหลัง จึงถูกแขนแกร่งตวัดโอบรัดรอบกายและดึงเข้าหาตัว จนต้องรีบยกมือยันอกกว้าง ก่อนจมูกโด่งจะกดลงบนหน้าผากนวล“เมีย...ไง” โมฮาหมัดฉวยที่อติกานต์กำลังตะลึงพรึงเพริดอยู่ กดปากหนาอุ่นลงไปบนเรียวปากนุ่ม บดคลึงขบเม้มแผ่วเบา ฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังบอบบางพลางกอดกระชับร่างอรชรแนบชิด“อือ...” อติกานต์พยายามต้านทานเพลิงพิศวาสที่ถูกเติมอย่างหนักหน่วงแต่มั่นคง ที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยคิดว่าเย็นชาเข็ดขยาดกับความรัก เพราะถูกคนรักหักหลังอย่างเลือดเย็นเริ่มแกว่งไกว คล้ายเชือกป่านที่ถูกขึงเชื่อมต้นไม้สูงสองต้นไว้ด้วยกัน ยิ่งพยายามต้านทานมากเท่าไหร่ ร่างกายกลับยิ่งอ่อนแรง ไหนจะความอบอุ่นที่โอบรัด ทำให้ยิ่งอยากถาโถมเข้าไปแนบซบอกกว้าง แต่แม้ใจปรารถนาสักเท่าไหร่ เธอก็ต้องหักห้ามมิให้เผลอไผลปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือความถูกต้อง“อือ...จะต้านทานความต้องการของตัวเองไปทำไมกันล่ะเอแคลร์” แขนแกร่งกระชับร่างนุ่มนิ่มแนบชิด ลูบไล้ฝ่ามือหนาไปบนแผ่นหลังบอบบาง เรื่อยขึ้นไปจนถึงลำคอระหง นวดคลึงแผ่วเบาก่อนจะจับตรึงท้ายทอยมนเอาไว้มั่น เพื่อเขาจะได้สัมผัสกับใบหน้านวลเนียนนุ่มและกลีบปากอิ่มหวาน
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันยังไหว ไปต่อเถอะ ว่าแต่...ทางที่เราจะไป จะได้เจอกับหมู่บ้านหรือพวกยิปซีมาตั้งกระโจมพักเร็วๆ ใช่ไหม” เธอไม่ได้อยากถามอย่างนี้ แต่ตอนนี้ในหัวมีเสียงใสดังอย่างต่อเนื่อง เหมือนค้อนที่ตอกลงไปบนตะปู ทำให้ปวดหัวติ้วๆ มาพร้อมกับอาการผะอืดผะอมอยากจะอาเจียนอันเดซาอีได้แต่เงียบ ด้วยตอบคำถามนี้ไม่ได้ การวิ่งหนีท่ามกลางความมืดมิดทำให้เริ่มที่จะหลงทิศทาง เกิดเป็นความไม่แน่ใจ ควรจะไปทางไหนดี“ไปทางขวาสิ...ไม่นานเราก็จะพบคนช่วย” อยู่ดีๆ ใจเธอก็สั่งให้เอ่ยขึ้น“หือ...เธอว่าอะไรนะ” อันเดซาอีเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน ไหนจะน้ำเสียงที่ดังข้างๆ หูอีกเล่า หรือว่าเธอคนนั้นกำลังมาเตือนให้เขารู้สึกตัว อย่าลืมความตั้งใจเดิม...อย่าให้สิ่งที่ลงทุนทำลงไปทุกอย่างเสียเปล่า“ขอขวัญ” ความจริงอยากร้องเรียกคนบนหลังว่า “ไอย่า” มากกว่า แม้อยากจะหลอกตัวเองว่ามีคนที่รักอยู่เคียงข้างกาย อยากได้ยินเสียงกังวานหวานใสดังใกล้ๆ ได้เห็นใบหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ต่างๆ ดวงตากลมโตใสแจ๋วฉายแววรักใคร่ยามมองมาที่เขา แต่เขาก็จำต้องยอมรับความเป็นจริง...ไม่มีเธออยู่เคียงข้างให้รอบกายและหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความสุข
สองแก้มนุ่มป่องออกเล็กน้อย เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขา...ก็สมควรแล้วนี่ที่จะต้องรับผิดชอบ เหนื่อยจนหายใจหอบราวกับหมาหอบแดด...ล้าจนสองขาแทบจะยกไม่ขึ้นแล้วนี่นา รอยยิ้มจะแต้มที่บนเรียวปากอิ่ม ดวงตากลมโตเป็นประกายใสแจ๋วดั่งกับดวงดาราที่ดาษดื่นบนท้องฟ้ายามราตรีไร้แสงจันทรา“ก็...เท้าฉันเจ็บ เดินต่อไปไม่ไหว ถ้าคุณอยากจะให้การเดินทางไปได้เร็วอย่างใจละก็...” คิ้วโก่งได้รูปเลิกขึ้นอย่างคนที่คิดว่าตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่า“เธอนี่...นอกจากจะพูดจนลิงหลับได้แล้ว ยังจะมากเรื่องและยุ่งชะมัดยาด” อันเดซาอีเอ่ยอย่างเอือมระอา แต่แปลกที่เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกดีๆ อบอวลอยู่รอบกาย เหมือนจะแทรกซึมไปที่หัวใจอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคงที่เขาต้องรีบสลัดทิ้งไปโดยเร็วไว “จะมาโทษว่าเป็นความผิดฉันได้ยังไงกันล่ะ คุณเป็นคนเลือกแบบนี้เองนี่นา” ขอขวัญยิ้มจนแก้มปริ รีบยกมือวางบนไหล่กว้างของคนที่ย่อตัวลงให้เธอขึ้นขี่หลังอย่างเริงรื่นและสุขใจ“ผู้หญิงอะไร ตัวหนักชะมัดเลย” น้ำหนักขอขวัญไม่ได้เยอะจนทำให้ไหล่ทรุด แต่เพราะบาดแผลต่างหากที่ทำให้เขาเจ็บจนขาสั่น“ถึงพ่อแม่จะไม่ใช่คนมั่งมีเงินทองกองท่วมหัวอย่างคุณ แต่เพราะท่านดัน
“โอ๊ย! ฉันเหนื่อยแล้วนะ หยุดพักก่อนได้ไหมคุณอันเดซาอี” ขอขวัญโอดครวญปนหอบ พลางยกมือเย็นขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลหยดลงมาเป็นทาง สลับกดทรวงอกที่ความอึดอัดถาโถมเข้ามาหนักหน่วงขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ออกมาจากกระโจมที่พัก เธอก็ยังต้องวิ่ง...วิ่งและวิ่งไม่ได้หยุดเลย“ไม่ได้”“ทำไม เราวิ่งหนีมาได้ตั้งไกลแล้วนะ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกนั้นไม่ตามมาแล้วนะ อีกอย่างฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คุณยังจะใจดำไม่ยอมหยุดพักอีกหรือไง”“ยิ่งเราช้าเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ถูกตามทันเร็วเท่านั้น” แม้เขาจะท่องไปในทะเลทรายนานหลายปี แต่ก็ยังไม่อาจต่อกรกับคนที่ได้รับการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้และชำนาญพื้นที่ได้“แต่ฉันเหนื่อย...คุณได้ยินไหมว่าฉันเหนื่อย ฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว” ขอขวัญสลัดแขนออกจากมือแกร่งและทรุดกายลงนั่งบนพื้นทรายอย่างหมดแรงเดินจริงๆ“อดทนอีกนิดนะ ฉันคิดว่า...” อันเดซาอีเหลียวมองรอบกายที่ปลายขอบโค้งของท้องฟ้า พระจันทร์ดวงกลมโตยังคงทอแสงอ่อนๆ ให้เห็นทางเดินแสนเวิ้งว้างและยาว...ไกล“คิดว่าอะไร” ขอขวัญเอ่ยถามเมื่ออันเดซาอีหยุดพูดไปเสียดื้อๆ“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าคุณพาฉันหลงทาง จนตอนนี้ไม่รู้จะไปทางไหนดีน่ะ” ปลายเสียงขอขวัญแหบแห้
เห็นขอขวัญยิ้มให้กับผู้ชายคนอื่นแล้วในหัวใจมันเจ็บจี๊ด ร้อนรุ่มราวกับโดนไฟเผา แต่ยามนี้ที่รอบกายรายล้อมไปด้วยคนมุ่งร้าย ในเมื่อศัตรูตรงหน้าเผยตัวว่าจะยอมเป็นพันธมิตรชั่วคราว เขาควรหยุดคิดเรื่องส่วนตัวหันมาใช้ประโยชน์จากคนตรงหน้าให้มากที่สุดสินะ แต่ก็ไม่ทันโมฮาหมัดที่เอ่ยพูดขึ้นมาก่อน“ที่เธอเสนอมาเมื่อครู่มันก็ดีอยู่นะขวัญ แต่...”“แต่...อะไร” อติกานต์เอ่ยถามเมื่อรู้สึกเสียววาบที่แผ่นหลัง รอยยิ้มแหยๆ แตะใบหน้ายามเมื่อเหลือบสายตาหวาดหวั่นไปมองอันเดซาอี ก่อนตวัดสายตาเกรี้ยวกราดไปมองโมฮาหมัด แต่เพียงได้สบสายตาคมดุวามวาวแล้วต้องรีบขยับกายหนีอย่างอัตโนมัติ“เผอิญคนที่ฉันอยากพาไปด้วยก็คือ...” กายแกร่งกำยำเคลื่อนไหวไปหาอติกานต์อย่างว่องไว “ยังไงฉันก็ขอตัวเอแคลร์ไปก่อนละกัน” โมฮาหมัดยกมือโบกสะบัด พลางบังคับพาคนที่พยายามจะสะบัดกายหนีไปทางที่เข้ามา“คุณ! จะพาฉันไปไหน ปล่อยฉันนะ” อติกานต์พยายามสะบัดมือออกจากการจับกุม แต่นอกจากจะไม่หลุด ยังถูกโมฮาหมัดสอดแขนรัดรอบเอวคอดกิ่วพร้อมเสียงเข้มดุอีก“อยู่เฉยๆ นะเอแคลร์ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก” ฝ่ามือหนาทาบบนแผ่นหลังบอบบาง ดันกายอรชรให้ต้องเร่งเดินตามไปติด ๆ“ค
“ฉันน่ะยังไงก็ได้แต่...” โมฮาหมัดโยนการตัดสินใจให้กับอันเดซาอีที่จะต้องคิดหนัก “จะยอมเสียศักดิ์ศรีให้โจรอย่างฉันช่วยได้รื้อ” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะลงคอ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน ควรจะดีใจที่มีคนลงมือกำจัดอันเดซาอีให้ แต่พอเกิดเหตุเข้าใจจริงๆ ทำไมถึงใจถึงหาย ทำใจไม่ได้ก็ไม่รู้ศีรษะทุยถึงกับส่ายสะบัด เขานี่ท่าจะเพี้ยนหนัก โดนอันเดซาอีไล่ล่าตามล้างตามเช็ด จนก่อเกิดเกลียวเชือกสานสายใยความรู้สึกเหมือนญาติสนิท ที่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดือดร้อน ใจก็ร้อนรุ่มต้องออกโรงช่วยเหลือ จนลืมคิดถึงความปลอดภัยและผลที่จะเกิดตามมา“ว่าไงล่ะคุณอันเดซาอี...แค่คุณคนเดียว แน่ใจนะว่าจะรับมือพวกข้างนอกนับสิบนั่นได้ จะคุ้มครองผู้หญิงถึงสองคนไม่ให้โดนทำร้ายได้น่ะ”“จะให้ฉันไว้ใจ ยอมให้ว่าที่ภรรยาไปอยู่ในการคุ้มครองของผู้ชายที่พูดไม่หยุดปาก อยากข่มเหงรังแกเธอจนหน้ามืดได้ยังไงกัน” เสียงขลุกขลักดังจากแผงคอแกร่ง“ฉันคงจะเพี้ยนจัด ถ้าปล่อยให้เอแคลร์อยู่ภายใต้การดูแลของแมวบ้าที่คอยแต่จะขย้ำเขาอยู่ตลอดเวลาน่ะ” เอ่ยออกไปแล้วอันเดซาอีก็รู้สึกเหมือนมีกระแสลมเย็นๆ มาแตะกาย จนต้องเหลือบสายตาไปมองอติกา
“คงกลัว ถ้าความจริงเปิดเผย คุณเอแคลร์จะโกรธเอาน่ะสิ” ขอขวัญเอ่ยทะลุขึ้นมากลางปล้อง ด้วยไม่ชอบใจบรรยากาศที่คุกรุ่นราวกับจะกำลังมีพายุฝนฟ้าคะนอง“คนมันกลัว บังคับไปก็แค่นั้น ยังไงเขาก็ไม่กล้าพูดหรอก” อันเดซาอีเสริมท้ายด้วยความอยากเห็นใบหน้าแท้จริงของฝ่ายตรงข้าม ที่จะว่าไปก็คุ้นตา...ใจเขามิใช่น้อยถึงยังไงเขาก็ต้องเปิดเผยตัวเองให้อติกานต์ได้รู้ จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่แตกต่างกัน “ได้สิ...คนอย่างโมฮาหมัดไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว”แค่ได้ยินชื่ออติกานต์ก็สะดุ้ง ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มนั้นชัดเจน คิดว่าใบหน้าคงจะเผือดขาวซีด ไม่แพ้มือและเท้าที่เย็นยะเยือก“คุณ...โมฮาหมัด” เสียงครางหลุดออกจากลำคอระหง พร้อมกับความอายและเพลิงโทสะที่แล่นลิ่วขึ้นมาราวกับปรอทถูกไฟ “ผู้ชายเฮงซวย!” อติกานต์กัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน ดวงตากลมโตทอแสงวาวเจิดจ้าดั่งแสงตะวันส่องทรายยามเที่ยงวัน“สนุกมากใช่ไหมที่หลอกผู้หญิงคนหนึ่งให้หัวปั่น” หมื่นแสนคำพูดที่อัดอั้นตันใจ อติกานต์อยากจะจัดหนักใส่หน้าพ่อคนใจร้ายที่ยังคงยิ้มอย่างไม่รับรู้ความรู้สึกของเธอที่สุด “โกรธอะไรหนักหนาล่ะเอแคลร์ ฉันไม่ได้คิดจะหลอกลวงอะไรเธอเลยนะ แค่เข้ามา
“ไม่จริงหรอกนะ” เอ่ยแทรกเสียงหวานละมุน อย่างต้องการเป็นเช่นน้ำเย็นราดรดลงบนเพลิงไฟให้มลายหายสิ้นในเร็วพลัน มือนุ่มนิ่มลูบไล้ใบหน้ากลมป้อม ดวงตากลมใสมีน้ำตาเอ่อล้นฉายแววอึดอัดคับแค้นใจ “ต้นเหตุที่ทำให้...”เสียงหวานใสกลับเลือนหายไป เพราะเสียงแข็งกระด้างและดุกร้าวที่สอดแทรกขึ้นมา ตอนแรกๆ ก็คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่ก็ต้องคิดใหม่ ด้วยเมื่อใดที่พี่สาวคนสวยจะบอกอะไรกับเขา ก็มักจะมีคนหรือเหตุการณ์ต่างๆ มาขัดจังหวะเสียทุกครั้งไป จวบจนตอนจากไปก็ยังทิ้งปมไว้ให้ต้องค้นหา พร้อมกับความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผยให้รู้แว่วเสียงถามของฮามีดถามซ้ำอีกครั้งดังเข้ามาในหู “เอายังไงดีล่ะลูกพี่” ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าอยู่ที่ใดและสิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือแก้ไขเหตุการณ์เบื้องหน้าให้ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ได้เป็นห่วงอันเดซาอีหรอกนะ เชื่อว่าต่อให้เจอเข้ากับคนมีฝีมือ แถมยังจะมีความชำนาญในพื้นที่ ก็สามารถหลบหลีกโจมตีอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยม มันทำให้เขาวิตกกังวลห่วงไปถึงอีกคนที่อาจจะเป็นอันตรายเพียงแค่คิด...ยามแขนกลมกลึงถูกจับแล้วกระชาก ผิวกายนวลเนียนนุ่มถูกจับต้องอย่างรุนแรงจนเป็นรอยแดง เพียงแค่คิด...เธออาจถูกทำร้ายจากพวกใจโฉ