หลิวเหล่าไท่ไท่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่กล้าคิดถึงไปไกลเพียงนั้น แค่อ่อนออกเขียนได้ก็พอแล้ว”ขณะที่เรากำลังคุยกัน ก็มีคนมาซื้อข้าว“ท่านทำงานไปก่อน ข้าจะกลับไปดูหน่อย”อินชิงเสวียนมาถึงเรือนหลังเล็กอย่างง่ายดาย อย่างที่คาดไว้ ข้าวและแป้งหมี่เหลือไม่มากแล้วนางใช้คะแนนในมิติแลกเป็นแรงงาน จากนั้นข้าวและแป้งหมี่ที่อยู่ข้างในก็ลอยออกไปโดยอัตโนมัติและจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากนั้นอินชิงเสวียนก็ออกไปจ้างรถม้า ให้ขนข้าวและแป้งหมี่สิบถุงบรรทุกกลับจวน อินปู้อวี่กำลังกวาดสายตามองไปรอบทิศอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นอินชิงเสวียนในชุดบุรุษ เขาก็วิ่งเข้ามาหาทันทีเขาพูดอย่างโกรธๆ ว่า “น้องหญิงใหญ่ ทำไมเจ้าถึงออกไปคนเดียว”“ไม่เป็นไร ข้าออกไปซื้อข้าวกับแป้งหมี่มา ขนย้ายเข้าไปข้างในได้เลย”อินชิงเสวียนมอบเงินก้อนหยวนเป่ามูลค่าห้าตำลึงให้คนขับรถม้าเมื่อเห็นเงินมากมาย คนขับรถม้าก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ทั้งสองท่านไม่ต้องห่วง ข้ารับรองว่าจะขนย้ายข้าวและแป้งหมี่เข้าไปเก็บโดยไม่ทำหกแม้แต่เม็ดเดียวเลย”เมื่อเห็นว่าคนขับสามารถแบกถุงข้าวและแป้งหมี่ได้เพียงสองถุงในคราวเดียว อินปู้อวี่ก
“เจ้าพูดอะไรนะ”ทีแรกอินจ้งคิดว่าตัวเองได้ยินผิดจนกระทั่งอินชิงเสวียนพูดซ้ำอีกครั้ง เขาก็ถามอย่างเดือดพล่าน “สิงอวิ๋นไปที่เจียงวูได้อย่างไร”“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ท่านพ่อโปรดนั่งลงก่อน และฟังข้าอย่างใจเย็น”บนศาลาหินในจวน อินชิงเสวียนอธิบายเรื่องราวของอาซือหลานที่ปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอินจ้งที่ได้ยินก็ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่านอ๋องแห่งเจียงวูจะซุ่มซ่อนอยู่ข้างกายเขามานานกว่าหนึ่งปี ยิ่งไม่คาดคิดว่าคนที่ไปเมืองซุ่ยหานกับเขาจะเป็นตัวปลอมจริงๆเขาอดไม่ได้ที่จะตบฝ่ามือลงบนโต๊ะหิน“เจ้าชาติสุนัขนี่ ปลอมตัวได้คล้ายตัวจริงมาก ขนาดสายตาของข้ายังสามารถปิดบังอำพรางได้”อินปู้อวี่ก็ตกใจเช่นกัน“น้องหญิงใหญ่หมายความว่า พี่ใหญ่กลายเป็นราชบุตรเขยของเจียงวูไปแล้ว?”อินชิงเสวียนพยักหน้า“พวกเขาพูดอย่างนั้น แต่อาจไม่จริงก็ได้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่พี่ใหญ่ถูกกักตัวไว้ในเจียงวู ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก ถ้าไม่อย่างนั้นอาซือหลานคงไม่รู้ถึงนิสัยใจคอการใช้ชีวิตของพี่ใหญ่จนชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ จนเขาสามารถหลอกลวงทุกคนได้”นางเหลือบมองอินจ้งแล้วพูด
“ทำไมจู่ๆ ถึงจะไปเจียงวูอย่างกะทันหันเช่นนี้”ผู้เฒ่ากวนถามด้วยความประหลาดใจอินปู้อวี่พูดตามความจริง “วันนี้ท่านพ่อของข้าไปที่ห้องหนังสือเพื่อหารืองานบ้านมืองกับฝ่าบาท แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นรายงานด่วนแปดร้อยลี้จากด่านถงกู่ ว่าสถานการณ์สงครามในเจียงวูตอนนี้อยู่ในตึงเครียด ด่านถงกู่อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้”คิ้วยาวของผู้เฒ่ากวนย่นทันที“เมื่อไม่กี่วันก่อน ดินปืนถูกส่งไปยังเจียงวูแล้วนี่ ทำไมการสู้รบถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หรือว่าแม่ทัพที่รักษาเมืองเป็นพวกเมาหัวราน้ำไม่สนใจงานการ”ผู้เยาว์ทั้งสามมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร กวนเซี่ยวยิ่งดูเหมือนจมดิ่งในภวังค์แห่งความครุ่นคิดกวนฮั่นหลินกล่าวเสริมอีกว่า “เจ้าสองคนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลจากเมืองซุ่ยหาน ตอนนี้ต้องไปเจียงวูอีก สุขภาพร่างกายจะทนได้อย่างไร”อินปู้อวี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เดิมทีข้ากับท่านพ่อก็เป็นแม่ทัพทหารอยู่แล้ว ในฐานะแม่ทัพ เราควรต่อสู้ในทุกทิศทาง การปกป้องบ้านเมืองเป็นความรับผิดชอบของเรา หากให้พวกเราอยู่เสพสุข จะยิ่งไม่คุ้นชินมากกว่า”ผู้เฒ่ากวนพยักหน้า“คำพูดนี้ดี แต่เราต้องดูว่าฝ่าบาททรงคิดอย่างไร”
นี่คงจะเป็นดั่งคำที่ว่า ไม่พบหนึ่งวันเหมือนหนึ่งร้อยปีนอกจากแม่ของเขาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เย่จิ่งอวี้คะนึงหาใครบางคนมากขนาดนี้ความรู้สึกนั้นทั้งหอมหวานและขมขื่น ราวกับแสงจันทร์ที่พร่ามัว อันทำให้อารมณ์ของคนค่อยๆ ลุกลามท่วมท้น เมื่อมองดูแสงจันทร์จางๆ บนขอบฟ้า อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ก็ดิ่งลง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และค่อยๆ เดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเทียนตะเกียงถูกจุดไว้ข้างในแล้ว และแสงเทียนอันสว่างจ้าสะท้อนให้เห็นรูปร่างอันสูงโปร่งของเขาเมื่อมองดูเงาใต้ฝ่าเท้า เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาทันทีในวังหลวงอันใหญ่โตแห่งนี้ นอกเหนือจากเสวียนเอ๋อร์ของเขาแล้ว กลับไม่มีผู้ใดที่รู้ใจเขาเลยมีเพียงเสวียนเอ๋อร์ของเขาเท่านั้น ที่คิดเผื่อเขาทุกอย่างอย่างแท้จริง เมื่อนึกถึงทุกฉากทุกเหตุการณ์ตอนที่เขาพบนางในวัง เย่จิ่งอวี้ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจ ตัวเองไม่ควรหุนหันรับปากให้อินชิงเสวียนกลับบ้านเป็นเวลาสามวันเลย ถ้านางต้องการรำลึกถึงอดีต แค่วันหนึ่งก็เพียงพอแล้วพอคิดว่าเหลือเวลาอีกหนึ่งวันนางถึงจะกลับมา เย่จิ่งอวี้ก็อยากจะไปตระกูลอินและพานางกลับมาเดี๋ยวนี้เ
“ฝ่าบาท!”สวีจือย่วนร้องเรียกด้วยเสียงอ่อนหวาน เดินเยื้องกรายไปยังเก้าอี้ตัวยาวที่อยู่เบื้องหน้า เย่จิ่งอวี้จับมือของนาง เรียวตาหงส์พร่าเลือน“เสวียนเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงๆ”สวีจือย่วนนั่งลงข้างเก้าอี้ตัวยาว แล้วถามว่า “ฝ่าบาทเมาแล้วจริงๆ หรือเพคะ”“แค่ได้เห็นเจ้า ข้าก็เมาแล้ว”ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้ประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันก็เริ่มมืดมัวมากขึ้นเขาจำได้ว่าตอนที่เสวียนเอ๋อร์ออกไป นางสวมกระโปรงสีชมพู และผู้ที่สามารถมาที่ตำหนักเฉิงเทียนได้ในเวลานี้ ก็มีนางเพียงคนเดียว“ทำไมถึงกลับมาช้านัก คิดถึงข้ารึ”สวีจือย่วนมองดูเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “สตรีที่อยู่ในวังแห่งนี้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่คิดถึงฝ่าบาท”“เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ อยู่กับข้า”เย่จิ่งอวี้รั้งตัวสวีจือย่วนลงมาข้างกายตัวเอง ทันใดนั้นเขารู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ยกมือขึ้นจับหน้าผาก“ฝ่าบาททรงปวดศีรษะหรือเพคะ หม่อมฉันจะนวดให้ฝ่าบาทเอง”สวีจือย่วนกำลังจะลุกขึ้น แต่ถูกเย่จิ่งอวี้รั้งไว้“ข้าไม่เป็นไร คุยกับข้าดีกว่า”สวีจือย่วนกัดมุมปาก แล้วพูดเสียงนุ่ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว มิสู้...ให้หม่อมฉัน
ขันทีน้อยหลายคนได้ลากตัวสวีจือย่วนออกมาด้านนอกประตู ด้านในบ้านก็มีเสียงฝ่ามือตบฉาดดังขึ้นชัดเจนทันทีสวีจือย่วนกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นเมื่อรู้สึกว่าไม่อาจทนไหว จึงร้องโหยหวนออกมาเสียงดังหานปิงถูกตบตีเสียจนร้องออกมาด้วยความทนไม่ได้ ตะเบ็งลูกคอตะโกนเพื่อหวังในใจว่าฝ่าบาทจะได้ยินเสียงร้องของพวกนางสองคน ทว่าเย่จิ่งอวี้เมาจนไม่รับรู้สิ่งใดอีกแล้ว และกำลังไปเฝ้าพระอินทร์อยู่เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมู อินชิงเสวียนก็เข้าใจความคิดของทั้งสองในทันที จึงพูดกับเสี่ยวอานจื่อว่า “ไป เอารองเท้าสองข้างอุดปากพวกนางไว้”“พ่ะย่ะค่ะ”เสี่ยวอานจื่อถอดรองเท้า และยัดใส่ในปากของทั้งสองด้วยความเต็มใจความรู้สึกโล่งสบายหูอย่างฉับพลัน กลับทำให้อินชิงเสวียนยิ่งไม่พอใจเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของอินชิงเสวียน หลี่เต๋อฝูจึงพูดอธิบายในทันทีว่า “หวงกุ้ยเฟยใจเย็นก่อน เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิฝ่าบาทได้ ฝ่าบาททรงคิดถึงพระสนมจึงได้ดื่มไปหลายแก้ว และเป็นเพราะพระสนมสวีสวมชุดกระโปรงเหมือนกับพระสนม ฝ่าบาทจึงเข้าใจผิดว่านางคือพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนจึงนึกขึ้นได้ว่าสวีจือย่วนก็สวมกระโปรงพับกลีบสีชมพู แม้แต
อินชิงเสวียนน้อมตัวและพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเชื่อใจ”หากสามารถตัดศีรษะก่อนทูลขอความเห็นจากฮ่องเต้ได้ ก็จะสามารถปราบนายพลที่คุ้มกันด่านเหล่านั้นได้เย่จิ่งอวี้พยุงนางขึ้น และดึงตัวของนางมาที่ข้างกายตัวเอง“ข้าต้องขอบใจเสวียนเอ๋อร์ เจาคือดาวนำโชคของข้า หากเจ้าไม่ได้สืบหาตัวตนที่แท้จริงของอาซือหลาน ข้าก็คงไม่สืบค้นเรื่องของตระกูลอินอีกครั้ง ท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้าก็ไร้หนทางกลับมาที่เมืองหลวง และแน่นอนว่าไม่สามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของข้าได้”“ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ พรุ่งนี้ฝ่าบาทยังมีประชุมราชกิจเช้าอีก วันนี้ทรงรีบพักผ่อนเถอะเพคะ”อินชิงเสวียนกำลังจะลุกขึ้น กลับถูกเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปดึงไว้“เสวียนเอ๋อร์ยังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ?”เขาเอาคางมาวางไว้บนหัวไหล่ของนาง ชุดกระโปรงพับกลีบคอกว้างก็ไหล่ตกลงมาเล็กน้อยรอยปานสีแดงรูปผีเสื้อสะท้อนในม่านตาของเย่จิ่งอวี้ร่องรอยที่อยู่ตรงหน้าและภาพในความทรงจำซ้อนทับกันทันที ม่านตาของเย่จิ่งอวี้หดลงในทันทีรอยปานนี้... เหตุใดจึงละม้ายกันเช่นนี้?หรือว่า... อินชิงเสวียนเป็นคนที่ช่วยเขาไว้?“เสวียนเอ๋อร์!”ความตื่นเต้นที่
เย่จิ่งอวี้ยังคงดื้อดึงที่จะประทับรอยจูบบนริมฝีปากของอินชิงเสวียนจูบที่ผิวเผินราวกับแมลงปอเดินบนน้ำ และจากไปอย่างรวดเร็วเขามองอินชิงเสวียนที่นั่งอยู่บนขาของตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย มีเสียงที่แสดงความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียงของนาง“ข้าต้องไปว่าราชกิจแล้ว เจ้านอนที่นี่เถอะ เมื่อตื่นนอนข้าจะกลับมาพอดี”อินชิงเสวียนขยับไปด้านข้างด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ“ไม่ดีกว่าเพคะ จ้าวเอ๋อร์กลับตำหนักจินหวูแล้ว ข้าต้องไปอยู่กับเขา”“เจ้ากลับไปตอนนี้เขาก็นอนอยู่ หากว่าเขาตื่น เจ้าจะยิ่งนอนไม่ได้เลยนะ เชื่อข้าสิ”เย่จิ่งอวี้กดไหล่ของอินชิงเสวียนไว้ เสียงนุ่มทุ้มลึกร้อยเรียงกันเข้าไปในหูของอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนต้องมนตร์สะกดในทันที และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวเย่จิ่งอวี้ยิ้มและจูบหน้าผากของนางด้วยริมฝีปากบาง“เด็กดี”เขาอุ้มอินชิงเสวียนไปที่เตียงมังกร ปลดมุ้งลง จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างมีความสุขผ้าห่มของอินชิงเสวียนถูกรัดไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงหัวที่โผล่ออกมา นางมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่ามันเริ่มสว่างแล้วจริงๆ นางจึงหาวออกมาอย่างอดไม่ได้ค่ำคืนนี้ผ่านไปไวเสียจริง!ช่างเถอะ อย่างไรก็มีคนคอ