สีหน้าของจ้านเป่ยว่างเปลี่ยนไปทันที "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่บนภูเขา? พวกเขาต้องการคำอธิบายอะไรกัน"ซ่งซีซีเดินออกไปสองสามก้าว จ้านเป่ยว่างเดินตามนางไปอย่างง่อยๆ เมื่อซ่งซีซียืนนิ่ง เขาก็มองดูนางอย่างเงียบๆลมพัดเสียงดัง และเสียงของซ่งซีซีก็เบามาก "ถ้าเจ้าสงบสติอารมณ์แล้วค่อยตั้งใจฟังดู เจ้าจะได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงลม"จ้านเป่ยว่างสงบลงเพื่อตั้งใจฟัง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงลมทักษะการต่อสู้ของเขาสู้ซ่งซีซีไม่ได้ และความแข็งแกร่งภายในกำลังยิ่งต้อยกว่า จะได้ยินการเคลื่อนไหวบนภูเขาได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลมพัดแรงเช่นนี้ ต้องฟังเสียงหายใจของคนเกือบแสนคนด้วยเขารู้สึกว่าซ่งซีซีกำลังเล่นฝีมืออะไรอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธ "บอกข้าสิ พวกเขาต้องการคำอธิบายอะไร""ใช้สมองของเจ้าไปคิดดูสิ ทำไมผู้คนตั้งหนึ่งแสนคนอยู่บนภูเขาไม่ยอมล่าถอย ทำไมพวกเขาถึงต้องจับยี่ฝาง แล้วทำไมพวกเขาถึงไปสนามรบเขตหนานเจียงหลังจากทำสัญญาสันติภาพแล้วล่ะ"หลังจากซ่งซีซีพูดจบ นางก็เดินกลับโดยปล่อยให้จ้านเป่ยว่างยืนอยู่ที่นั่นตามลำพังด้วยใบหน้าซีดเซียวพระอาทิตย์อัสดงสะท้อนใบหน้าที่มืดมนและห
เมื่อฟ้ามืด กองทัพก็ลงมาจากภูเขาทันทีที่กองทัพเริ่มเคลื่อนไหว พวกซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือก็รู้เรื่องแล้ว จากนั้นมองหน้ากันซ่งซีซียืนขึ้นและออกคำสั่งว่า "กองทัพทั้งหมดเตรียมตัวให้พร้อม และต้องเก็บอาวุธไว้ในมือ"กองทัพซวนเจียทั้งหมดยืนขึ้น ถือโล่และอาวุธไว้ในมือ จากนั้นตั้งแถวอย่างรวดเร็วทหารของเมืองซีจิงเดินทัพอย่างรวดเร็ว กลุ่มทหารลงมาจากภูเขาและแบ่งออกเป็นสามแถว เดินเคียงข้างกันคนข้างหน้าถือคบเพลิง ห่างทุกๆ สิบคนก็มีคนถือคบเพลิงเพื่อส่องสว่างถนนบนภูเขามีน้ำแข็ง ตามหลักแล้ว หากเดินเร็วจะลื่นล้มได้ง่าย พอมีคนลื่นต้องทำให้ทั้งกลุ่มต้องลื่นไปด้วยแต่พวกเขากลับเดินอย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่ารองเท้าของพวกเขาทำมาเป็นพิเศษประเทศเมืองซีจิงร่ำรวยและทรงเจริญ ความแข็งแกร่งทางการเงินก็เผยให้เห็นอย่างดีในขณะนี้พวกเขาใช้การกระทำเพื่อให้ชาวซางเห็นว่าหากมีสงครามขนาดใหญ่กับเมืองซีจิง ชาวซางจะไม่ได้เป้นฝ่ายได้เปรียบแน่ในไม่ช้า ทหารของเมืองซีจิงตั้งหนึ่งแสนนายก็ยืนอยู่บนทุ่งหญ้าและเผชิญหน้ากับกองทัพซวนเจียแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนนิ่งๆจ้านเป่ยว่างรีบวิ่งเข้าไปตะโกนว่า "พวกเจ้าพายี่ฝางไปที
จ้านเป่ยว่างรู้สึกขนลุกเมื่อถูกเขาจ้องมองอย่างนั้น และก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเห็นได้ชัดว่า ซูลันจีไม่ต้องการคุยกับเขาเช่นกัน เขายืนอยู่ตรงหน้าซ่งซีซี ก่อนที่เขาจะพูด สีหน้าของเขาดูซับซ้อนมาก "แม่ทัพซ่ง สายลับจากเมืองซีจิงสังหารตระกูลซ่งทั้งหมดของเจ้า มันไม่ใช่คำสั่งของข้า เป็นเพราะพวกเขาได้รู้ว่าที่เมืองลู่เปินเอ่อร์มีหมู่บ้านหลายแห่งถูกยี่ฝางนำกองทัพสังหารหมู่ มีผู้ถูกจับถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม ดังนั้นหัวหน้าของสายลับเลยออกคำสั่งเอง ฝ่าบาทจาดเมืองซีจิงของเรายังคงยืนกรานปฏิบัติตามข้อตกลงที่ว่า ปัญหาชายแดนย่อมไม่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ ไม่สังหารหมู่พลเรือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหารหมู่ทั้งคนแก่ ผู้หญิงและเด็กๆ แม้ว่าครั้งนี้เป็นแม่ทัพของฝ่ายเจ้าเป็นคนละเมิดกฏ ได้สร้างปัญหาไว้ก่อน แต่ข้าอยากจะขอโทษเจ้าสำหรับสิ่งที่สายลับของเมืองซีจิงทำลงไป"จ้านเป่ยว่างตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่า "เจ้า... เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร?"ซูลันจีไม่สนใจเขา และพูดกับซ่งซีซีต่อไป "ฝ่าบาทของเราจนกระทั่งขุนนางต่างๆ ของประเทศเราต่างก็ชื่นชมผู้บังคับบัญชาซ่งฮวยอันเป็นอย่างมาก เขาเคยนำกองทัพไปต่อสู้ก
ซูลันจีและองค์ชายสามจากไปพร้อมกับทหารเมืองซีจิงหนึ่งแสนคน ซ่งซีซีพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ถ้าเจ้าต้องการช่วยยี่ฝาง แค่พาคนสนิทของเจ้าขึ้นไปบนภูเขาก็พอ"การที่ซ่งซีซีพูดแบบนี้ ได้ช่วยรักษาหน้าให้จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางเอาไว้แล้วจริงๆหากความอัปยศอดสูของรัชทายาทของเมืองซีจิงเกิดขึ้นซ้ำกับพวกเขา งั้นสิ่งที่พวกเขาเห็นก็ต้องเป็นสภาพไม่น่าดูแต่จ้านเป่ยว่างคงกังวลว่ายังมีแองทัพของเมืองซีจิงอยู่บนภูเขาที่ไม่ได้ล่าถอย เขาจึงขอให้ซ่งซีซียืมกองทัพซวนเจียเพื่อขึ้นไปบนภูเขาด้วยกันซ่งซีซีมองเขาครู่หนึ่งแล้วถามว่า "เจ้าแน่ใจเหรอ?"เมื่อเห็นนางมองเขาแบบนั้น หัวใจของจ้านเป่ยว่างก็สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ได้ "เจ้าสามารถบอกข้าได้ไหมว่า ที่ยี่ฝางสังหารหมู่หมู่บ้านเป็นเรื่องจริงหรือไม่?""เมื่อกี้เจ้าควรจะถามซูลันจี" ซ่งซีซีพูดอย่างเรียบเฉย "หรือเมื่อเจ้าพบกับยี่ฝางแล้ว เจ้าถามนางด้วยตนเอง ซูลันจีไม่น่าจะฆ่า นาง"จ้านเป่ยว่างไม่อยากจะเชื่อว่ายี่ฝางจะทำสิ่งนั้นเขานึกถึงสิ่งที่ซูลันจีพูดเมื่อกี้ เขาพูดในลักษณะที่คลุมเครืออย่างยิ่ง การสังหารหมู่ที่หมู่บ้านเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เขาเล่าเรื่องเพียงไม่กี่ปร
ยี่ฝางหมดสติไปแล้ว นางถูกซูลันจีบีบคอไม่หยุด สลับสภาพระหว่างความตายกับยังมีหายใจหลงเหลืออยู่ไปมา มีรอยขีดข่วนบนร่างกายและใบหน้าของนาง หูข้างหนึ่งของนางถูกตัดออกดังนั้น เมื่อจ้านเป่ยว่างอุ้มนางขึ้นมา นางยังไม่รู้ตัวว่านางได้รับการช่วยเหลือแล้ว และยังอยู่ในอาการหมดสติอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาอุ้มนางเช่นนี้ออกไป ทุกคนเห็นหมด และรู้ว่ายี่ฝางไม่ได้สวมกางเกงยิ่งไปกว่านั้น หลายคนได้เห็นกองเลือดอยู่ใต้ขาของนางเมื่อ นางนอนอยู่ที่นั่นเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางใบหน้าของจ้านเป่ยว่างหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงจนน่ากลัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมซ่งซีซีจึงให้เขาพาแค่คนสนิทของเขาขึ้นไปบนภูเขาก็พอเขาจ้องเขม็งที่ซ่งซีซีออย่างดุร้ายแวบหนึ่ง มันเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาจะไม่เชื่อคำพูดของซูลันจี จนกว่ายี่ฝางจะบอกเขาด้วยตัวเองดังนั้น เขาจึงไม่อยากจะเชื่อว่ายี่ฝางมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ครอบครัวของซ่งซีซีถูกสังหารหมู่ซ่งซีซีเห็นคำว่าขี้ขลาดในดวงตาของเขา และเพิกเฉยต่อเขาและสั่งให้เข้าไปช่วยเหลือผู้คนทหารเข้าไปหามผู้ถูกจับที่ยังเหลืออยู่ออกมา มีไฟถ่านอยู่ในบ้านไม้ แต่ก็ถูกดับลงก่อนที่ชาวซ
เขามองดูยี่ฝางราวกับมองกูคนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาแตกต่างไปจากยี่ฝางที่เขารักอย่างสิ้นเชิง นางช่างโหดร้ายและเลือดเย็นราวกับปีศาจชั่วร้ายเขามอบผลงานทางทหารทั้งหมดเพื่อนาง ขนาดทำผิดต่อซ่งซีซีเขาเป็นคนโง่ที่สุดในโลกนี้แต่ความภักดีที่นางพูดเต็มปาก และผู้หญิงไม่ควรถูกขังอยู่ในหลังบ้าน แต่ควรแบกรับความรับผิดชอบในการปกป้องครอบครัวและประเทศชาตินั้น มันช่างน่าเกรงขามมาก ในเวลานั้นดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความสดใสจ้านเป่ยว่างล้มลงกับพื้น สีหน้าของเขาไม่น่าาดูมาก จากนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้ยี่ฝางตกใจ นางอดทนต่อความเจ็บปวดและลุกขึ้นยืน ก่อนมองเขาด้วยความประหลาดใจ "พี่จ้าน... เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวเลย"จ้านเป่ยว่างหัวเราะจนน้ำตาไหล เขาเอามือปิดหน้า ไหล่กระตุก และน้ำตาก็ไหลออกมาจากระหว่างนิ้วของเขาทันใดนั้น เขาก็ปล่อยมือที่ปิดหน้าไว้ และจ้องมองไปที่ยี่ฝางอย่างดุเดือด "เจ้าเป็นคนฆ่าทั้งครอบครัวของซีซี ครอบครัวของซีซีถูกสังหารหมู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าทำร้ายผู้ถูกจับและสังหารหมู่ชาวบ้าน"ยี่ฝ
เมื่อเห็นจ้านเป่ยว่างเงียบ ยี่ฝางก็เริ่มวิตกกังวล นางไม่สนใจความเจ็บปวดทางกายแล้วพูดด้วยความโกรธ "พวกเขาได้ทำให้ข้าบาดเจ็บก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้ข่มขืนข้า สิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงทั้งนั้น หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถไปถามพวกเขาได้"จ้านเป่ยว่างทีสีหน้าบึ้งตึง "จะถามเพื่ออะไร ยังอับอายไม่พอหรือไง?"เมื่อยี่ฝางได้ยินเช่นนี้ นางรู้สึกเจ็บปวดใจมาก นางตัวแข็งทื่อ "เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ?"จ้านเป่ยว่างยิ้มเศร้าๆ "เชื่อเจ้างั้นเหรอ เจ้าเคยบอกความจริงกับข้าครั้งนึงหรือไม่ เมื่อข้าถามเจ้าเรื่องชายแดนเฉิงหลิง เจ้าจะใช้ข้ออ้างว่าเป่ยหมิงอ๋องกำลังจะเข้าสู่สนสมรบมาแก้ต่างทุกครั้ง เพราะงั้นที่ซูลันจียอมล่าถอยทหารและทำสัญญากับเจ้า ขนาดเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้ายังปกปิดข้า จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้ยังไงอีก""ที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ชอบ ระหว่างทางนี้" ยี่ฝางดูหงุดหงิดมากและนางก็คลั่งไคล้ขึ้นมา "ระหว่างทางนี้เจ้าเอาแต่บอกข้าว่าอย่าทำร้ายประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ข้าเห็นชัดเจนว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านชาวบ้าน ในเมื่อเรายึดเมืองลู่เปินเอ่อร์แล้ว เราจะต้องได้รับอะไร ข้าแค่ฆ่าชาวบ้านไปไม่กี่
ขณะที่นางพูดอยู่ นางก็หยิบชามขึ้นมาและดื่มน้ำก๋วยเตี๋ยวในอึกเดียวท่าทางที่ตรงๆปตรงมาเช่นนี้ ทำเอาเซี่ยหลูโม่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า"จะว่าไป เหตุใดรัชทายาทของเมืองซีจิงจึงปรากฏตัวในเมืองลู่เปินเอ่อร์ล่ะ?" จิ่นซูยังคงไม่ค่อยเข้าใจ เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า รัชทายาทองค์นี้ได้รับความนิยมจากประชาชนของเมืองซีจิง และมีความสามารถและชาญฉลาด เขาปรากฏตัวในเมืองลู่เปินเอ่อร์ทำไม?เดิมทีเขาก็ไม่ใช่แม่ทัพด้วยซ้ำ"เพราะการต่อสู้ภายในของราชวงศ์แห่งเมืองซีจิง เขาถูกองค์ชายรองวางแผน และถูกบังคับให้เข้าสู่สนามรบ ซูลันจีรู้ว่าเขาทำการต่อสู้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงให้เขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองลู่เปินเอ่อร์ เพราะสนามรบไม่ได้อยู่ในเมืองลู่เปินเอ่อร์ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะพบกับยี่ฝางเข้า""องค์ชายรอง?" ซ่งซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อย "แล้วเมื่อรัชทายาทแห่งเมืองซีจิงสิ้นพระชนม์ องค์ชายหลายองค์เลยต้องแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งรัชทายาท หากองค์ชายรององนั้นเป็นรัชทายาท มันจะไม่เป็นมิตรกับแคว้นซางของเรานี่น่ะ"ความรู้สึกที่องค์ชายรองมีต่อแคว้นซางก็มีแต่เกลียดชัง เห็นเราเป็นศัตรู ราวกับน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้"อืม แต่ซูลันจี
ในตำหนักฉางชุน ฮองเฮายังไม่ได้ปลดปิ่นปักผมและเครื่องประดับออกจากร่าง ใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ดวงตาฉายแววคาดหวัง วันนี้มีข่าวจากหน้าพระที่นั่งส่งมาบอกว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมายังวังหลังในคืนนี้ นางรออยู่นานแต่ไม่ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสนมคนใด ในใจก็พลันยินดี เพราะการไม่เลือกหมายถึงฝ่าบาทจะเสด็จมาที่ตำหนักกลาง "หลานเจี่ยน ไปดูหน่อยสิว่าฝ่าบาทมาแล้วหรือยัง?" นางเร่งเร้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สามของคืนนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มพลางกล่าว "พระนางโปรดอย่ารีบร้อนเลยเพคะ หากฝ่าบาทจะเสด็จมา แน่นอนว่าต้องมีคนมาบอกล่วงหน้า เพื่อให้พระนางเตรียมตัวรับเสด็จ" "จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาทไม่ได้มาที่ตำหนักฉางชุนนานจนข้าแทบจะลืมเสียแล้ว" ฮองเฮาใช้นิ้วลูบไปที่ปอยผมข้างใบหู พลางยิ้มอย่างอ่อนหวาน "ข้ากับฝ่าบาทถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา สามีภรรยาที่ไหนจะมีความแค้นข้ามคืนกันได้? ตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็มีความก้าวหน้า ฝ่าบาทย่อมใจอ่อนลงบ้างแล้ว" "เมื่อฝ่าบาทเสด็จมา พระนางค่อยๆ พูดเถิด อย่ารีบร้อนที่จะพูดเรื่องให้องค์ชายใหญ่กลับมา" หลานเจี่ยนกูกูเตือนด้วยความนอบน้อม ฮองเฮาพยักหน้า
ในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง ยังไม่มีการจุดเตาใต้พื้น ความเย็นแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยฎีกาถูกพิจารณาเสร็จสิ้นนานแล้ว แต่จักรพรรดิ์ซูชิงกลับยังไม่เลือกสนม เพียงนั่งนิ่งมองแสงตะเกียงที่ริบหรี่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยเขาได้อ่านจดหมายจากเซี่ยหลูโม่ที่เขียนถึงซ่งซีซี ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงที่เอ่อล้น และความรู้สึกในใจที่ถ่ายทอดไม่หมด ราวกับพวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ช่างหวานชื่นจนยากจะพรากจากกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายของพวกเขา แม้ก่อนหน้านี้จะมีเนื้อความที่กล่าวถึงความคิดถึงอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถึงขั้น "เปิดเผยและห้าวหาญ" เช่นครั้งนี้คำเหล่านี้ แค่พูดออกมาก็รู้สึกน่าอายอยู่แล้ว หากเขียนลงในจดหมายไม่ยิ่งน่าอายกว่าหรือ?เขาคิดว่าพระอนุชาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสม ฉาบฉวยเกินไปวิธีเอาใจสตรีนั้นมีมากมาย ไยต้องทำถึงเพียงนี้?เขาคิดเช่นนั้น แต่ในใจกลับเหมือนมีกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงไป ทำให้ผิวน้ำในจิตใจเป็นระลอกคลื่นวนไปมาอย่างไม่อาจสงบได้เขาไม่รู้เลยว่า การเป็นฮ่องเต้เช่นนี้ เขาสูญเสียไปมากเพียงใด...เรื่องความรักระหว่างชายหญิงนั้น จักรพรรดิไม่เคยกล้าคิดถึง แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่หวั่
เส้าปู้เข้ามาในเมืองพร้อมกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน มีมีดโค้งคาดอยู่ที่เอว ดูท่าทางน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าสงคราม แต่เมื่อได้นั่งดื่มสุรากินเนื้อ ใบหน้าสีเข้มของพวกเขากลับเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ หลางจู่เส้าปู่อายุห้าสิบกว่าปี ผิวสีเข้มเป็นประกายเหมือนพวกเขา ดวงตาเต็มไปด้วยพลังและความคมกล้า เขาเป็นคนฉลาดเป็นพิเศษและมีจิตใจรอบคอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาระแวงอยู่เสมอและไม่กล้ามอบความไว้วางใจให้เป่ยหมิงอ๋องอย่างเต็มที่ เขามีเพียงข้อเรียกร้องเดียว คือการร่วมมือกันครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หลังจากขับไล่คนของแคว้นซาได้สำเร็จ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว และห้ามเข้าสู่เขตหลักของทุ่งหญ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เซี่ยหลูโม่ตอบรับข้อเรียกร้องและลงนามในข้อตกลงทันที หลังจากลงนามในข้อตกลง พวกเขาก็ไม่รั้งรอและจากไปทันที ชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อแคว้นซางนัก เพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีล้วนส่งผลกระทบถึงพวกเขาไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าทุ่งหญ้ามีหลายเผ่าและไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถต่อต้านทั้งแคว้นซางหรือแคว
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป