หลังจากคุยกันเรื่องนี้เรียบร้อย คณินก็ขอให้แม่กินอะไรบ้าง เพ็ญแขส่ายหน้าให้ ว่าไม่อยากกินอะไร ไม่ใช่เพราะความกังวล แต่เพราะตื้นตันที่ลูกชายยอมแต่งงานกับปิติญาดาต่างหาก พอเห็นสายตาขอร้องของลูกชาย ในที่สุดเธอก็ยอม เมื่อกินข้าวใกล้หมดก็ขอนอนพัก คณินพยักหน้าให้ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของแม่“เป็นยังไงบ้างคิงส์” พอเห็นลูกชายเดินออกมาจากห้อง มงคลที่ขึ้นมารอแถวๆ ประตูห้องนอน ก็รีบถามขึ้นทันที“แม่ยอมกินข้าวแล้วครับ”“จริงเหรอ โล่งอกไป” มงคลแกล้งถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างโล่งอก “ตกลงเรื่องที่แม่กังวลจนไม่ยอมกินข้าว กินปลา คือเรื่องอะไรกันแน่ คิงส์รู้ไหม?”“ทราบครับ…” คณินเอ่ยรับ ก่อนจะเล่ารายละเอียดที่ได้รู้จากแม่ ให้พ่อฟังคร่าวๆ มงคลทำท่าตกอกตกใจกับสิ่งที่ได้รู้ ปากพูดแต่คำว่า ‘ทำไมเพ็ญแขไม่บอกอะไรเขาเลย เก็บไปทุกข์ใจอยู่คนเดียว’ ก่อนจะเอ่ยขอบอก ขอบใจลูกชาย ที่ยอมเสียสละช่วยเรื่องนี้ คนเป็นพ่อยิ้ม คิดไว้ไม่มีผิด ถ้าแม่มีเรื่องกลุ้มใจ คณินต้องโดดลงไปช่วยเป็นแน่ “พรุ่งนี้ เราคงต้องเข้าไปที่บ้านอาแหม่มแต่เช้า” ไม่ต้องพูดขยายความ คนฟังอย่างคณินก็เข้าใจว่าเรื่องอะไร “ครับ”“คิงส์ไปพักผ่อนซะ หลั
และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เช้านี้ทุกคนในครอบครัวของภูมิภักดีเกียรติจึงมุ่งตรงไปยังบ้านของครอบครัวอารายานนท์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เขต ที่มงคลให้คนขับรถไปรับมาตั้งแต่เช้า ซึ่งจะทำหน้าที่ในการจดทะเบียนสมรสระหว่างคณินและปิติญาดานั่นเอง เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านหลังใหญ่ คณินเห็นเหมือนในรูปที่แม่ให้ดู เพราะมีชายชุดดำยืนคุมอยู่หลายคน ถามกันอยู่เป็นนานกว่าจะยอมให้เข้าบ้านส่วนคนที่ไม่รู้อีโหน่ อีเหน่อย่างปิติญาดาก็ถูกผกามาศจับแต่งตัวสวย ด้วยชุดเจ้าสาวรองานแต่งงานแบบไม่ต้องการตั้งแต่เช้า หญิงสาวดูไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่พูด ยอมทำตามแม่ไปเหมือนหุ่นยนต์ ผกามาศโอบกอดลูกสาว รู้สึกสงสาร เพราะคนที่ทำให้ลูกไม่ร่าเริงคือคนเป็นพ่อแม่ จึงได้แต่เอ่ยขอโทษ“น้ำมนต์ แม่ขอโทษนะลูก”“แม่…อย่าพูดแบบนี้สิคะ” ปิติญาดาเอ่ยตอบเสียงอู้อี้ ในอ้อมกอดของแม่ น้ำตาเหมือนจะไหลชอบกล “แม่ไม่รู้จะพูดยังไงนี่จ๊ะ แม่ไม่อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลงแบบนี้เลย” สองแม่ลูกกอดกันกลม ก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เด็กรับใช้เปิดเข้ามาเพื่อบอกว่ามีแขกมาขอพบ“ได้เวลาแล้วสินะ” ว่าที่เจ้าสาวเอ่ยเสียงเรียบ เดาว่าคนที่มาพบนั่น ต้องเป็นเจ้าหนี้แน่
“ทำไมหนูต้องแต่งงานกับ เอ่อ...ด้วย” สีหน้าของหญิงสาวแสดงออกว่าสับสน เธอเป็นตุ๊กตาหรือไง จะจับโยนไปแต่งงานกับใครก็ได้แบบนี้ คิดแล้วช่างน่าน้อยใจจริงๆ “ถ้าไม่แต่งงานกันซะ เจ้าหนี้ก็ต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างข่มขู่ให้หนูน้ำมนต์แต่งงานด้วยอย่างที่เป็นมา แต่ถ้าสองคนตกลง วันนี้อาพาเจ้าหน้าที่เขตมาด้วย จะได้จดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องงานฉลองมงคลสมรส เราค่อยมาจัดกันภายหลัง” “มะ...แม่คะ” ปิติญาดาหันหาที่พึ่ง ผกามาศนั่งนิ่งเหมือนคนใช้ความคิด ส่วนคณินรู้อยู่แล้วว่าเขามาที่นี่เพราะอะไรจึงนิ่งเช่นกันแล้วรอฟังคำของผู้ใหญ่อย่างเดียว การถูกบอกเลิกแบบกะทันหันทำให้ชายหนุ่มเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ เวลานี้เขายอมทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งนั้นคือการต้องแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักก็ตาม“เราคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วลูก ถ้าให้แม่เลือกที่จะให้หนูแต่งงานครั้งนี้กับใครได้ แม่ขอเลือกคิงส์ อย่างน้อยเราก็สนิทกับทุกคนในครอบครัวนี้ แถมยังช่วยเราในยามคับขันด้วย” คำพูดของแม่ทำให้ปิติญาดานิ่ง หญิงสาวกำลังคิดชั่งใจ หันไปทางไหนก็มีแต่คำว่าแต่งงาน แต่งงานเต็มไปหมด เธอจะเลือกเดินทางไหนดี จะแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จั
“ไม่ได้ขู่!” หนุ่มใหญ่สองคนจ้องตากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่วิบูรณ์จะยอมอ่อนข้อให้ก่อน “อืม...เอาเป็นว่า เรามาคุยกันดีๆ ไหมครับ ผมยอมรับตรงๆ ว่าการได้เห็นหน้าลูกสาวของคุณผกามาศวันนี้ทำให้ผมหลงรักเธอเข้าแบบทันที จึงอยากจริงจัง หวังแต่ง...” วิบูรณ์เล่นบทเจ้าหนี้หน้าเลือดและคนโรคจิตได้ตรงตามที่ศรชัยต้องการจริงๆ “สกปรก!” ปิติญาดาสบถออกมาเบาๆ เธอรู้สึกขยะแขยงผู้ชายที่ชื่อวิบูรณ์อย่างบอกไม่ถูก รังเกียจจนแทบไม่อยากยืนอยู่ใกล้ด้วยซ้ำ มือบางกำเข้าหากันแน่นทำให้คณินรับรู้ไปด้วย เพราะเขายังไม่ได้ปล่อยมือที่จับเธออยู่แต่อย่างใด “เอาละๆ เผอิญผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เสียด้วยสิ” คนรับบทเจ้าหนี้ยักไหล่ให้ บทจะเข้าใจก็ต้องเข้าใจ เพราะมีผู้กำกับสั่งนี่นา ว่าอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายจนเกินไป ต่อความยาวสาวความยืด เดี๋ยวค่าตัวลดลง แต่ก็ไม่วายเล่นบทส่งท้าย วิบูรณ์หันไปมองปิติญาดาอย่างหื่นกระหายก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไปให้ไกลๆ นะครับน้องน้ำมนต์ อย่าให้พี่เสี่ยคนนี้เจอตัว ไม่งั้นเสร็จแน่!” “คิงส์ พาน้องออกไปก่อน ไปอยู่ต่างจังหวัดให้ไกลเลยก็ได้ รีบไป!”“ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยรับคำของพ่อ สถานการณ์แบบนี้ฝ่ายเข
ความรีบร้อนออกจากบ้านตามที่ผู้ใหญ่บอก ทำให้ปิติญาดาไม่ได้หยิบอะไรติดตัวมาเลยสักชิ้น กระเป๋าสตางค์ เงิน โทรศัพท์ เรียกได้ว่ามาแต่ตัวจริงๆ หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ ทุกอย่างรอบตัวตอนนี้เกิดขึ้นเร็วจนตั้งรับแทบไม่ทัน พ่อพึ่งเสีย เป็นหนี้หลายร้อยล้านและสุดท้ายต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ คิดแบบนั้นน้ำตาของความอัดอั้นก็ร่วงปิติญาดาหันข้างให้คณิน หญิงสาวแอบร้องไห้แต่เขาก็รับรู้ได้เพราะอาการตัวโยนที่แสดงออกให้เห็นเป็นระยะๆ เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาปอยๆ ก่อนจะสูดอากาศเข้าเต็มๆ ปอดให้กำลังใจตัวเอง นั่งรถมาได้สักพักใหญ่ๆ คนหน้านิ่งซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ขับรถถึงกับยิ้มส่ายศีรษะและขำกับตัวเองจ๊อกกกกก!!!เสียงท้องร้องของหญิงสาวที่นั่งหน้าบึ้งในชุดเจ้าสาวกำมะลอข้างๆ ตัว ช่างทำลายบรรยากาศอันอึมครึมลงไปอย่างสิ้นเชิง มือน้อยๆ ยกขึ้นมาลูบท้องที่แบนราบไปมาอย่างน่าสงสาร เธอรู้สึกหิวมาได้สักพักแล้วแต่ข่มตัวเองไว้ สุดท้ายพยาธิในท้องก็ประท้วงทำเอาเธออายแสนอาย ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี ผู้ชายข้างๆ นี่ก็เถอะ ไม่ใช่พระเอกในนิยายขี่ม้าขาวมาช่วยเธอจากภัยอันตรายสักหน่อย แต่จะว่าไปเขาก็เหมือนอยู่นะ เพราะเ
“ถูก…สำหรับฉัน นายเองก็น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าไอ้เจ้าหนี้หน้าเลือดนั่นสักเท่าไหร่หรอก” ปิติญาดากอดอกยักไหล่ให้ชายหนุ่ม แต่ก็ไม่วายนั่งให้ห่างเขามากที่สุด ด้านซ้ายของลำตัวจึงติดกับประตูเหมือนมีกาวแปะไว้ คำสบประมาทของหญิงสาวทำเอาคนฟังหันขวับมามอง แววตาเอาเรื่องไม่น้อย “น้อยๆ หน่อย อย่าลืมว่านี่คือผู้มีพระคุณที่ขี่ม้าข้าวไปช่วยเธอจากไอ้เฒ่านั่น” คณินชี้นิ้วมายังตัวเอง แต่ปิติญาดากลับย่นจมูกโด่งรั้นนั้นให้เขาแทน การต่อปากต่อคำเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขารู้จักกันและกัน “ไม่ได้ขอ”“อ้อ…งั้นฉันจะพาเธอกลับเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้” คนพูดจริงทำจริงอย่างคณินหักพวงมาลัยรถเข้าขวา เมื่อเห็นป้ายบอกให้กลับรถได้เท่านั้นแหละ ปิติญาดาก็เอ่ยตอบเสียงหลง “มะ…ไม่เอา” “งั้นก็นั่งนิ่งๆ ไป อยู่แบบสงบเสงี่ยมหน่อยลูกหนี้” คำว่าลูกหนี้ที่ได้ยิน ทำให้คนฟังแอบจี๊ดในอก น้ำท่วมปากพูดไม่ออกในที่สุด แต่ก็ยังเถียงแบบน้ำขุ่นๆ “อย่ามาว่าฉันเป็นลูกหนี้นายนะ พ่อกับแม่นายเป็นคนช่วยเรื่องเงิน ถ้าให้คิดนั่นคือคนที่เป็นเจ้าหนี้ฉันอย่างแท้จริง ไม่ใช่นาย ขี้ตู่”“อย่าลืม ว่าคนเป็นพ่อแม่ลูกก็คือคนๆ เดีย
“จะว่าไปเธอก็ไม่เห็นมีอะไรให้ฉันแตะต้องได้ เสน่ห์รึก็มองไม่เห็น ตัวแห้งๆ ยังกับกุ้งเสียบ นิสัยก็บ้าๆบอๆ เอาเถอะ ไหนๆ ฉันก็หลวมตัวแต่งงานกับเจ้าสาวกำมะลออย่างเธอแล้วนี่ หวังพันธะข้อนี้ของเราจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ” คำพูดดูถูกของคณินทำให้ปิติญาดาควันออกหู เขาหาว่าเธอไม่มีเสน่ห์อย่างนั้นเหรอ ทีตัวเองล่ะมีเสน่ห์ตายเลย สิ่งที่เธอคิดก่อนหน้าขอถอนคำพูดให้หมด ผู้ชายแบบนี้ต่อให้เหลือคนเดียวบนโลก เธอก็ไม่แล “คนอย่างฉันมีเสน่ห์มากพอที่คนอย่างนายจะมองไม่เห็น ชิ จ๊อกกกก” การสนทนาจบลงอีกครั้ง เมื่อเสียงท้องร้องของปิติญาดาดังขึ้น คณินหัวเราะออกมาแบบไม่เก็บไว้อย่างเช่นครั้งแรกที่ได้ยิน คนหิวข้าวหน้าแดงก่ำ ทั้งอาย ทั้งโกรธที่ถูกคนหัวเราะเยาะ ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าตัวเมืองนครสวรรค์ ก่อนจะไปหยุดลงหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เขาเคยแวะมาบ้าง ไกด์จำเป็นพาเธอไปยังร้านอาหารประจำ ขณะนั่งกินข้าวทั้งคู่ก็ตกอยู่ในสายตาหลายสิบคู่ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใครดึงดูดสายตาคนพวกนั้นถ้าไม่ใช่ปิติญาดา ก็เธอเล่นอยู่ในชุดแต่งงานนี่นา เมื่อกินข้าวอิ่ม คณินก็พาเจ้าสาวกำมะลอไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย พร้อมทั้งให้เธอเ
“เอ่อ…” ผกามาศนิ่งเพราะกำลังใช้ความคิด หันมองหน้าสามีอย่างขอความช่วยเหลือ ก่อนจะนึกอะไรออก “แม่จะไปบวชชีพราหมณ์กับอาเพ็ญแขที่ต่างจังหวัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อสักสองสามเดือน ลูกไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะจ๊ะน้ำมนต์” “เหรอคะ” ปิติญาดาทำเสียงเศร้า แต่ทางผู้ใหญ่ทั้งสี่กลับหายใจหายคอเหมือนกับโล่งอกที่ประเด็นนี้สามารถจบได้อย่างสวยงาม ไม่มีอะไรให้ปลายสายสงสัย แต่ก็ไม่วายที่คนเป็นลูกจะถามอีกประเด็นที่เป็นห่วง “แล้วที่บริษัทละคะแม่ โอเคหรือเปล่า?”“โอเคจ้ะ ลุงมงคลจะเข้าไปดูแลให้ในช่วงนี้ ถ้าเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย แม่จะบอกให้หนูกลับมาสานต่องานของพ่อนะน้ำมนต์” ข่าวนี้ทำให้ปิติญาดายิ้มออกมาได้แม้จะนิดหน่อยก็ตามที อย่างน้อยพนักงานที่บริษัทก็ยังไม่ตกงาน “หนูจะรอวันนั้นค่ะแม่” “จ้ะลูก ไปอยู่บ้านพี่เขาช่วยอะไรได้ก็ช่วยนะน้ำมนต์” “ค่ะแม่” คนเป็นลูกเอ่ยรับอย่างจำยอม เธอจะค้านความตั้งใจของแม่ได้ยังไง ในเมื่อท่านจะไปถือศีลให้พ่อแบบนี้ จะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะคนพวกนั้นดักซุ่มอยู่ เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เรื่องบริษัทก็วางใจได้ในส่วนหนึ่ง แม้จะไม่มากเพราะเกรงใจที่ต้องให้คนอื่นไปดูแลแทน ถึงจะไว้ใจแล
“คืนนี้ผมยังไม่มีที่พักเลย จะมีใครสงสารผมไหมนะ” ขณะนั่งกินข้าวอยู่นั้น เขตไทยก็เอ่ยขึ้นพร้อมทำน้ำเสียงและหน้าตาให้ดูน่าสงสารเข้าไว้“อืม…”“จะไปนอนที่ไหนนะไอ้เขต คิดสิคิด” เขตไทยพึมพำถามตัวเอง ต้องหทัยส่ายหน้าให้คนเจ้าเล่ห์ มีหรือเธอจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่“บ้านหมวยดีไหมคะ”“ตกลงครับ”“พูดเล่นค่ะ” ใบหน้ายิ้มแย้มของเขตไทยเมื่อครู่หายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “โรงแรมในกรุงเทพฯ มีเป็นร้อยเป็นพันไม่มีห้องว่างเลยสักห้องก็ให้รู้ไป”“เห็นใจผมหน่อยสิครับ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน คุณจะไล่ผมแล้วเหรอ” ชายหนุ่มออดอ้อน แต่มีหรือกระต่ายน้อยจะหลงกลสุนัขจิ้งจอก“ไม่ได้ไล่สักหน่อย ไว้พรุ่งนี้เราค่อยเจอกันก็ได้ เพราะวันนี้หมวยมีเรื่องสำคัญต้องเข้าไปบ้านเพื่อนด้วย” พูดจบต้องหทัยก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือก เพราะในใจมีเรื่องให้กังวล พอเห็นสีหน้าขอ
ความที่พักผ่อนน้อยติดต่อมาหลายวัน เช้านี้ปิติญาดาก็เดินตัวเอียงๆ ขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้าลงมาชั้นล่าง บ่งบอกว่าเธอนั้นโหมงานมากจนร่างกายอ่อนล้าและมีเรื่องบางอย่างคอยกวนใจ จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อเรื่องที่วกไปวนมาในสมองเธอตอนนี้ดูจะมีแต่เรื่องของเสี่ยโกศล กังวลว่าจะผลิตสินค้าทันรอบจัดส่งของมิสเตอร์จากหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มคณินเองก็รับรู้ปัญหานี้ของเธอ จึงได้แต่เอาใจช่วย เพราะหญิงสาวตั้งใจกับงานนี้มาก รวมทั้งออเดอร์จากลูกค้ารายอื่นด้วย ขณะที่เฝ้าให้กำลังใจปิติญาดา เขาก็ใจจดใจจ่อรอฟังข่าวจากเพื่อนตำรวจที่วานให้สืบเรื่องของเสี่ยโกศลไปในตัว แต่รายนั้นก็ยังเงียบไม่มีข่าวคืบหน้าแต่อย่างใดวันกำหนดส่งสินค้าของมิสเตอร์จางก็มาถึง ปิติญาดาลงมากรุงเทพฯ เพื่อตรวจสอบสินค้าก่อนส่งขึ้นเรือ อยากตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวเอง คณินและเขตไทยก็มาด้วย หญิงสาวยืนกระวนกระวาย เดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่นอยู่บริเวณท่าเรือ ภาวนาให้เสี่ยโกศลมาส่งของให้ทันเวลา“รถเสี่ยโกศลมานู่นแล้วครับ” สิ่งที่ได้ยิ
“เฮ้อ!” เมื่อวางสายจากเสี่ยโกศลแล้ว หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมา เพราะกลัวว่าสินค้าจะเสร็จไม่ทันกำหนดส่ง จะยกเลิกกับทางมิสเตอร์จางก็คงไม่ได้ เห็นว่าชอบสินค้าของเสี่ยโกศลมาก ทางเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้คือลุ้นว่าเสี่ยโกศลจะผลิตสินค้าได้ทันตามที่สัญญา หญิงสาวสะบัดศีรษะแรงๆ ก่อนจะตั้งอกตั้งใจทำงานของตนต่อไปโดยไม่ได้บอกให้คณินรู้เรื่องนี้ เพราะกลัวชายหนุ่มเป็นห่วงแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอยิ้มได้ นั่นคือการได้รับโทรศัพท์จากแม่แล้วนั่นเอง หลังจากที่รอมาหลายวัน ผกามาศทำตามแผนของสามี นั่นคือให้ติดต่อปิติญาดาได้แล้ว ถ้าหายไปนานกว่านี้เดี๋ยวจะผิดสังเกต“แม่จ๋า” เสียงของปิติญาดาเหมือนคนกำลังร้องไห้เพราะเธอห่วงแม่มาก พอรู้ว่าแม่สบายดีก็โล่งอก ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน โดยที่ผกามาศบอกลูกสาวว่ารู้เบอร์โทรศัพท์ใหม่ของปิติญาดามาจากพ่อของคณิน ซึ่งได้โทรศัพท์มาหาเพ็ญแขภรรยา“ขอโทษนะลูก ที่แม่ทำให้เป็นห่วง”“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้ว่าแม่สบายดี น้ำมนต์ก็หมดห่วงแล้ว” ปิติญาดาแอบปาดน
ปิติญาดาตื่นแต่เช้า ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปรับมิสเตอร์จางและลูกน้องมายังโรงงานของคณิน พอมาถึงชายหนุ่มคอยดูแลเทคแคร์ลูกค้าของหญิงสาวเป็นอย่างดีประหนึ่งลูกค้าของตัวเขาเอง มิสเตอร์จางแสดงท่าทางสนอกสนใจสินคโรงงานคณินมาก แต่นั่นก็แค่การสร้างภาพในฐานะนักธุรกิจต่อสายตาคนอื่นเท่านั้นเองเมื่อออกจากโรงงานของคณินแล้ว ปิติญาดาก็พามิสเตอร์จางไปยังโรงานของเสี่ยโกศล ซึ่งเป็นโรงงานที่ทางมิสเตอร์จางได้สั่งซื้อสินค้าเช่นกัน แต่นี่ดูจะอยู่ในแผน เพราะทางมิสเตอร์จางเจาะจงไปเองมากกว่า บอกว่าเคยเป็นลูกค้าเก่าแก่อยากแวะไปเยี่ยมเยียน ทางด้านปิติญาดานั้นก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากมาย ทำตามที่ลูกค้าต้องการเต็มที่ แต่สำหรับคณินดูเขาจะไม่คิดเช่นเดียวกับเธอ ตอนนี้ชายหนุ่มยังพูดอะไรไม่ได้ จนกว่าจะได้ข่าวจากเพื่อนตำรวจเสียก่อน แต่ภาพของเขตไทยที่นั่งซึมกะทืออยู่ใต้ต้นไม้ขณะนี้ ทำให้คณินเดินเข้าไปหา“เป็นอะไรของเอ็งไอ้เขต”“คิดถึงแฟนว่ะ” เขตไทยเอ่ยตอบตามตรง เกิดมายังไม่เคยคิดถึงใครมากเท่ากับคิดถึงต้องหทัยเลยจริงๆ สงสัยต้องรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวเสียแล้ว จะได้มาอยู่ใกล้ๆ กันไม่ต้อง
เมื่อกลับถึงบ้าน ภคมณก็เดินไปเดินมาอย่างคนใช้ความคิด เธอมีอะไรสงสัยแต่อีกใจก็กังวลว่าเธอคิดไปเอง ก่อนจะรื้อกระเป๋าสานเพื่อหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กที่พกติดตัวไว้ตลอด เลื่อนขึ้นลงเพื่อหารูปที่ต้องการ เมื่อพบถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ท่าทางตกอกตกใจไม่น้อย“นี่คุณลุงกับคุณป้าชัดๆ” ภคมณมือไม้สั่น ซูมรูปที่เห็นให้ใกล้ที่สุด หวนคิดถึงคำพูดของป้าสายหยุด คนที่บอกว่าพ่อของ ปิติญาดาได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างกะทันหัน ส่วนแม่ก็บวชชีพราหมณ์อยู่วัดป่า แต่ทำไมสองคนนี้ถึงไปโผล่ที่ยุโรปได้“ผีหลอกเหรอเรา” คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันจนยุ่งก่อนจะทำหน้าขบคิด วศินที่พึ่งเดินออกจากห้องน้ำ พอเห็นแววตาแบบนั้นของเธอก็เข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น“เป็นอะไรครับหนูจ๋า”“พี่วศินดูนี่สิคะ” พูดจบก็ยื่นกล้องถ่ายรูปให้ชายหนุ่ม วศินรับไว้เพ่งมองอยู่นานแล้วสบตาเธอ“รูปใครครับ”“พ่อกับแม่ของน้ำมนต์”“หือ…เป็นไปได้ยังไง ก็ในเ
ปิติญาดาออกอาการเกร็งขณะนั่งรถขึ้นลำปางกับจางซีเป่า ซึ่งเขาให้เธอเรียกว่ามิสเตอร์จาง รูปร่างหน้าตาไม่สูงมาก ตาชั้นเดียวในแบบคนจีน อายุสี่สิบกว่าปีแล้ว มาครั้งนี้เขาพาลูกน้องมาสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง มิสเตอร์จางพูดภาษาอังกฤษได้คล่องทีเดียว เขาบอกว่ามาเมืองไทยบ่อยครั้ง เคยซื้อเซรามิคจากหลายที่เพื่อนำไปขายให้ลูกค้าชาวจีนและนักท่องเที่ยว แต่สินค้าบนเว็บไซต์ของหญิงสาวนั้นน่าสนใจและแตกต่างไปจากของรายอื่นๆ ที่เคยทำการซื้อขายกันมามาก พอได้รับคำชม ปิติญาดาก็นั่งยิ้มเมื่อถึงรีอสร์ทที่พัก มิสเตอร์จางก็เอ่ยปากชมถึงความสวยงามของศิลปะล้านนาที่ได้นำมาผสมผสานให้กลมกลืนกับความโมเดิร์ทได้อย่างลงตัว อาหารรสชาติก็ถูกปากคนจีนอย่างเขาไม่น้อย แถมยังชมปิดท้ายว่าปิติญาดาเป็นสาวแกร่ง ทำงานนี้คนเดียวได้ดีอย่างน่าทึ่ง ซึ่งเธอก็รับคำชมนั้นไว้อีกครั้ง วันนี้ดูทุกอย่างดูจะราบรื่นสำหรับปิติญาดาไปเสียหมด หลังจากดูแลแขกเรียบร้อยหญิงสาวก็ขอตัวกลับ เธอเอนหลังพิงเบาะในรถยนต์ ความอ่อนล้าเข้ามาเล่นงานยามอยู่ตามลำพัง แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นข้างตัวก็ทำให้หญิงสาวคว้าขึ้นมารับ“ฮัล
ค่ำวันนั้น ปิติญาดาได้รับอีเมลหนึ่งฉบับจากลูกค้าที่จีน โดยเนื้อหาบอกว่าเขากำลังเดินทางมาเมืองไทย และอยากพบเธอวันวันแรกที่มาถึง ด้วยเหตุผลที่ว่าแม้จะได้ทำการสั่งออเดอร์มาแล้วแต่ก็อยากเห็นสินค้าตัวจริง รวมทั้งพูดคุยกับเธอเพื่อหาช่องทางทำธุรกิจร่วมกันด้วย เมื่อได้อ่านอีเมลจบ ปิติญาดาไม่คัดค้านที่จะไปพบลูกค้ารายนี้เลย เพราะถือว่าเธอเองก็ได้ประโยชน์เหมือนกันแต่ติดปัญหาที่เธอต้องลงไปรับเขาที่กรุงเทพฯ นี่สิ หญิงสาวจึงปรึกษาเรื่องนี้กับคณิน ซึ่งชายหนุ่มก็เห็นด้วยที่เธอจะต้อนรับลูกค้าใหญ่รายนี้ แต่ถึงจะเป็นลูกค้ารายเล็กๆ เธอก็ต้องดูแล เพราะถือว่านี่คือการซื้อใจกัน ถ้าออกมาดีเธอก็จะมีพื้นที่ในการยืนทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มตรวจดูตารางงานของตนเองว่าว่างตรงกับวันที่ปิติญาดาต้องขึ้นไปกรุงเทพฯ หรือเปล่า“วันนั้นพี่มีงานที่ปาย คงไปกับน้ำมนต์ไม่ได้นะครับ”“ค่ะ ไม่เป็นไร” ปิติญาดายิ้มให้ ตั้งแต่สนิทสนมกันมากขึ้นก็พอรู้ว่าชายหนุ่มนั้นทำอะไรบ้าง ไหนจะคุมงานที่โรงานเซรามิค ไหนจะงานด้านสถาปนิกตกแต่งภายในครอบว
“จริงครับ จริง” เสียงขาดๆ หายๆ ของคณินเอ่ยตอบกลับไป ก่อนจะครางออกมาเมื่อปิติญาดายกสะโพกขึ้นสูงก่อนจะทิ้งตัวลงมาหนักๆ ชายหนุ่มกดสะโพกเธอค้างไว้แบบนั้นก่อน ไม่นานเธอก็ค่อยๆ ขยับอีกครั้ง คงพอใจที่ได้ฟังคำตอบ แต่สำหรับคณินเขามีแผนจะทำให้ปิติญาดาสารภาพรักเขาเช่นเดียวกัน แต่แผนนั้นคงต้องเก็บไปใช้วันอื่นชายหนุ่มออกแรงพลิกตัวปิติญาดาให้ลงไปนอนบนเตียง ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นทาบทับและพาเธอไปส่งยังจุดหมายปลายทางของความสุขในรักอีกครั้ง จากนั้นจึงตามเธอขึ้นไปสัมผัสความสุขเช่นเดียวกันบ้าง คืนนั้นทั้งคืนกว่าที่ปิติญาดาจะได้ก้าวลงจากเตียงก็ผ่านไปหลายชั่วโมง ตอนเช้าเธอก็ยังได้รับการปลุกด้วยวิธีพิเศษของคณินอีกต่างหาก เรียกได้ว่าแข้งขาอ่อนไปตามๆ กัน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็มายืนส่งค้อนให้เขา“คนบ้าเซ็กส์” พูดจบก็ทุบแผงอกชายหนุ่มไปหลายครั้งอย่างเหลืออด ส่วนคณินได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอเท่านั้น ไม่เถียงที่ ปิติญาดาพูดสักคำ ก็เซ็กส์ดีๆ แบบนี้เขาไม่ต้องการก็คงกลายเป็นคนเซ็กส์เสื่อมน่ะสิ แต่ก่อนจะออกจากห้องไป ปิติญาดาก็หันมามองคณินหน้า
“กลัวพี่เข้ามาในห้องขนาดนั้นเลยหรือน้ำมนต์”“ปะ...เปล่าสักหน่อย ก็นี่เป็นบ้านพี่คิงส์ น้ำมนต์จะทำแบบนั้นกับเจ้าของบ้านได้ยังไงกัน” น้ำเสียงของปิติญาดาแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวลีบลงไปทุกขณะ หญิงสาวกระชับผ้าขนหนูแน่น หัวใจดวงน้อยสั่นไหวรุนแรง เต้นไม่เป็นส่ำชวนให้เป็นลมเสียเหลือเกิน“แล้วนี่อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”“เสร็จแล้วค่ะ”“แน่ใจ พี่ยังเห็นคราบสบู่ ติดอยู่บนแก้มน้ำมนต์อยู่เลยนะ”“เอ่อ...งั้นน้ำมนต์ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” พูดจบก็ทำท่าจะตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ขอให้เข้าไปในนั้นได้ทีเถอะ เธอจะนอนในนั้นเลยคืนนี้ แต่คณินกลับดีดตัวขึ้นจากเตียง เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าไปขวางหน้าปิติญาดาเรียบร้อยพร้อมรั้งเธอเข้ามากอดแน่น เนื้อสาวนุ่มนิ่มที่ได้สัมผัส ทำเอาคนหนุ่มหัวใจพองโต“พี่ก็ยังไม่ได้อาบ เอาเป็นว่าเราอาบพร้อมกันดีไหม”“เอ๋...” คนถูกชวนอุทานเสียงสูง ก่อนจะส่ายหน