[21] [เผาทำลายให้หมด]หลังจากจัดการเรื่องศพแล้วเรียบร้อยดราก้อนก็พบว่ารถของพวกเขามีปัญหาเรื่องพลังงาน นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาใช้พลังงานเกือบทั้งหมดไปกับปืนใหญ่เพื่อต่อกรกับปรสิต พลังงานที่เหลืออยู่ตอนนี้มันจึงไม่เพียงพอที่จะพาพวกเขาไปถึงโดมที่ใกล้ที่สุดด้วยซ้ำแต่โชคดีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพลังงานนานนักเพราะทางข้างหน้ามีพลังงานสำรองให้พวกเขาได้ใช้งานอีกมาก นั่นก็คือพลังงานจากรถบรรทุกสินค้าของขบวนขนส่งสินค้าที่เพิ่งถูกปรสิตโจมตีไป คาร่าที่เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวไม่สามารถทำหน้าที่ขนส่งสินค้าเพียงคนเดียวได้ รถและสินค้าต่างๆ จึงจำเป็นต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่เพื่อให้บริษัทขนส่งสินค้าที่เป็นเจ้าของมาจัดการเก็บเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้นรถพวกนี้อาจจะถูกทิ้งร้างไว้อีกนาน การที่พวกดราก้อนจะขอยืมพลังงานของรถไปใช้ก่อนก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้เอาพลังงานจากรถบรรทุกไปอย่างเปล่าๆ พวกเขาช่วยเก็บกวาดรถขนส่งสินค้าไปไว้ข้างทางอย่างดีและนำร่างของพนักงานของขบวนขนส่งสินค้าไปเผาทำลายให้ด้วย เกือบครึ่งพวกเขากำลังจะกลายร่างไปแล้ว แม้ว่าจะมั่นใจว่าตายแล้วแต่การเผามันจะทำให้คนที่ตายไปแล้
[22] [คนน่าสงสัย]“แล้วพวกเธอมีความฝันรึเปล่า?” ดราก้อนโยนคำถามนี้ไปให้สามทหารหน่วยพลีชีพ“อะไรนะ?” สโนว์ที่กำลังเทเหล้าลงไปผสมกับน้ำผลไม้หันมาถามดราก้อนที่ถามมาอย่างกะทันหัน“ตอนนอนฉันก็ฝันนะ” วินเตอร์ตอบและเทเหล้าลงไปในแก้วน้ำผลไม้ของตัวเองบ้างแล้วแอบแบ่งให้ฟรอสต์ที่กำลังนั่งเคี้ยวเนื้ออยู่“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ดราก้อนหัวเราะแห้ง “ฉันหมายถึงถ้าพวกเธอปลดเกษียณแล้วอยากทำอะไรต่างหากล่ะ”“พวกเราไม่เกษียณ” ฟรอสต์เป็นคนที่ตอบขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและเย็นชาราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยกับงานที่จะไม่มีวันลาออกได้ตลอดชีวิต เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าทหารหน่วยพลีชีพนั้นมีเพียงความตายเท่านั้น ไม่ใช่พวกเขาก็ต้องเป็นพวกปรสิตจากต่างดาวพวกนั้นคิ้วของดราก้อนตกลงอย่างเศร้าใจ เขายิ้มแย้มอีกครั้งแล้วถามใหม่ “ถ้าหากว่าภารกิจกำจัดปรสิตทั้งหมดในโลกสำเร็จอย่างที่หวังแล้ว พวกเธออยากจะทำอะไรหลังจากนั้นล่ะ? ถือว่าเป็นเรื่องสมมุติก็ได้ ลองคิดดูหน่อยสิ”“หน้าที่ของพวกคุณเหมือนฮีโร่เลย!” ดีลุคเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง “รัฐบาลจะต้องตอบแทนพวกคุณในราคาที่สูงมากแน่หากสงครามระหว่างมนุษย์และปรสิตสามารถจบลงได้” สิ่งท
[23] [บนรถไฟ]อุโมงค์รถไฟใต้ดินอันมืดสลัว รถไฟแล่นไปตามเส้นทางด้วยความเร็วคงที่ เงาดำที่ยืนอยู่บนรางรถไฟกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถไฟอย่างเงียบเชียบ ไร้วี่แววของสิ่งที่รับรู้ถึงตัวตนของเงาดำ…ณ หัวรถไฟซึ่งเป็นห้องควบคุมของรถไฟ เสียงแจ้งเตือนฉุกเฉินจากสถานีปลายทางได้เกิดดังขึ้นอย่างกะทันหัน[ขณะนี้สถานีปลายทางได้ทำการปิดทำการฉุกเฉิน ประตูนิรภัยเปิดใช้งาน เส้นทางถูกปิดกั้น ไม่สามารถใช้เส้นทางได้ชั่วคราว]เสียงเตือนอัตโนมัติดังซ้ำอีกสองครั้งและเงียบไป ไม่มีการอธิบายสาเหตุ เพิ่มเติม นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมรถเป็นกังวล การที่โดมเปิดใช้งานประตูนิรภัยมันหมายความว่าโดมกำลังตกอยู่ในอันตราย หากเป็นเพราะมนุษย์ด้วยกันก็อาจไม่ต้องกังวลนักแต่หากเป็นปรสิตมันจะน่ากังวลมาก ไม่บ่อยนักหรอกที่โดมจะเปิดใช้งานประตูนิรภัยหากไม่ใช่เหตุร้ายแรงจริงๆ“ถ้าปรสิตหลุดเข้ามาในอุโมงค์ได้มันเป็นปัญหาแน่ ถอยดีไหมนะ” เจ้าหน้าที่รถไฟพึมพำอย่างกังวล ในขณะที่จะตัดสินใจหยุดรถไฟและถอยกลับทางเดิมเงาดำก็ได้ปรากฏตัวข้างหลังเขา..สโนว์ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีเขียวของเธอตวัดไปมองด้านข้าง เคียร่าที่กำลังถือโทรศัพท์ถ่ายรูปถึงกับสะด
[24] [ปิดหลุม]เป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่ปรสิตร่างมดฝูงใหญ่บุกเข้ามาในโดม ประชาชนมากกว่าครึ่งอพยพไปยังที่ปลอดภัยกันหมดแล้ว แต่บางส่วนยังไม่สามารถช่วยออกมาจากวงล้อมของปรสิตได้ แม้ว่าในตอนนี้พวกปรสิตจะไม่มีแผนที่จะสังหารผู้คนที่พวกมันจับไว้ได้แต่มันก็ไม่สามารถรับรองชีวิตของพวกเขาไว้ได้นานมากนัก นั่นเพราะว่าเมื่อไหร่ที่พวกปรสิตสามารถเจาะกำแพงโดมและขนย้ายพวกเขาออกไปนอกโดมได้สำเร็จ เปอร์เซ็นการรอดชีวิตของพวกเขาก็จะยิ่งต่ำลงไปจนแทบเหลือศูนย์ การช่วยชีวิตประชาชนที่เหลือและปกป้องโดมจึงขึ้นอยู่กับเวลาด้วย และก่อนอื่นพวกเขาจำเป็นต้องเร่งมือทำการกำจัดปรสิตและหยุดการเพิ่มจำนวนของพวกมันโดยการปิดทางเข้าของพวกมันโดยเร็วที่สุด“ผมขอฝากให้พวกคุณช่วยดำเนินการตามแผนการนี้ด้วย” อลันได้คิดแผนการกอบกู้โดมขึ้นมาและฝากฝังความหวังให้กับทหารหน่วยพลีชีพสามคนที่ปรากฏตัวออกมาและอาสาที่จะช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี“รับทราบ” พวกเขาทั้งสามตอบรับอย่างพร้อมเพรียงและเริ่มออกไปทำภารกิจที่ได้รับทันทีแต่ก่อนแยกกันไปสามทหารหน่วยพลีชีพก็หยุดคุยกันก่อน“กระสุนระเบิดพิษชุดสุดท้ายแล้ว” ฟรอสต์มอบกระเป๋าบรรจุกระสุนให้กับส
[25] [ลักพาตัว] [จบ part 1]ฟรอสต์และวินเตอร์ถูกล้อมไว้ทุกทางโดยปรสิตเพราะพวกเขากลายเป็นเป้าหมายของความโกรธแค้นของพวกปรสิต แต่ตอนนี้วินเตอร์และฟรอสต์ไม่สามารถหนีไปจากตรงนี้ได้ วินเตอร์จำเป็นต้องปิดปากหลุมด้วยพลังโล่ของเขาเพื่อไม่ให้แก๊สพิษและปรสิตที่เหลือรอดเล็ดลอดออกมา ในขณะเดียวกันฟรอสต์ก็คอยปกป้องวินเตอร์ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ชั่วคราวการรับมือกับฝูงปรสิตร่างมดที่ไม่ได้มีพลังโจมตีมากนักไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฟรอสต์ เขายังมีอาวุธเหลืออยู่มากมายในคลังมิติของเขา เขายืนอย่างมั่นคงต่อหน้าฝูงปรสิตแล้วนำปืนกลอัตโนมัติออกมาสองกระบอกและปล่อยให้พวกมันทำงานกำจัดปรสิตโดยอัตโนมัติ ถ้ามีปรสิตที่หลบวิถีกระสุนของปืนกลได้พวกมันก็จะถูกระเบิดไฟฟ้าของฟรอสต์โจมตีแทนระยะการระเบิดของระเบิดไฟฟ้าไม่กว้างนักแต่อานุภาพของมันไม่อาจดูถูกได้ ปรสิตร่างมดที่ถึงแม้จะมีเกราะหุ้มตัวที่หนาในระดับหนึ่ง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับไฟฟ้าแรงสูงได้อย่างง่ายดายแต่ยังไงระยะการโจมตีของระเบิดไฟฟ้าก็แคบเกินไป การใช้ระเบิดไฟฟ้าจึงถือว่าเปลืองเกินไป ฟรอสต์จึงโจมตีเป็นหลักด้วยปืนที่มีอานุภาพในการทำลายสูงทั้งสองกระบอกในมือ เขายิงปืนอย
[26] เจรจา โดมได้ผ่านพ้นวิกฤตจากปรสิตมดมาได้แล้ว จากความช่วยเหลือจากกำลังเสริมจากกองทัพทหารใกล้เคียงพวกเขาจึงสามารถกวาดล้างปรสิตที่ยังหลงเหลืออยู่ในโดมได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เมื่อสถานการณ์อยู่ในการควบคุมแล้วทหารหน่วยพลีชีพที่อยู่ในช่วงวันหยุดพักผ่อนจึงไม่จำเป็นต้องฝืนทำงานต่อ พวกเขาจึงถอยออกมาจากสนามรบ แต่พวกเขาก็ได้รับข่าวร้ายหลังจากนั้น“หมายความว่ายังไงที่ว่าสโนว์หายไป!” วินเตอร์แทบจะแสดงความโกรธเกรี้ยวทั้งทีที่ได้รับข่าว เขาเกือบจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อของอลันที่เป็นคนบอกข่าวนี้กับเขา โชคดีที่ฟรอสต์จับไหล่ของวินเตอร์เอาไว้ได้ก่อน“อธิบาย” ฟรอสต์ถามเพียงคำเดียว แต่นั่นก็สร้างความกดดันให้กับอลันไม่ต่างจากที่เกือบโดนวินเตอร์กระชากคอ“มีรายงานจากทหารทีมลอบยิงทางอากาศมาว่าพลทหารหญิงสโนว์หายตัวไปหลังจากเข้าไปช่วยพลเรือนคนหนึ่งที่ทำงานเป็นพนักงานซ่อมแซมกำแพง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจพวกเขาจึงเข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่าพลทหารสโนว์ไม่ได้เสียชีวิตแต่หายตัวไปเพราะมันไม่ร่องรอยของการถูกสังหาร ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของการหายตัวไปแต่น่าจะเกี่ยวข้องกับพลเรือนที่เธอเข้าไปช่วยเพราะเมื่อทหารทีมลอบยิงท
[27] [เจรจา]เมื่อตื่นขึ้นมาสโนว์รู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้นอนหลับไปยาวนานมาก ไม่สิ มันไม่ใช่ความรู้สึก ความจริงแล้วเธอรู้ตัวว่าตัวเองนอนหลับไปยาวนานมากแล้วจริงๆ แม้ว่ายาสลบยังไม่หมดฤทธิ์แต่สโนว์ก็ได้สติกลับมาเป็นบางช่วงจึงสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าตัวเธอจะกำลังถูกคนบางกลุ่มพาตัวไปที่ไหนสักแห่งโดยระหว่างทางคนกลุ่มนั้นก็จะคอยให้ยาสลบกับเธอตามเวลาเพื่อไม่ให้เธอตื่นขึ้นมากลางคันแต่ตอนนี้สโนว์ไม่รับรู้ถึงคนกลุ่มนั้นอยู่รอบตัวอีกแล้ว หลังจากตื่นมารอบนี้ก็ไม่มีใครให้ยาสลบอย่างต่อเนื่องกับเธออีก สโนว์จึงเริ่มกลับมาควบคุมร่างกายของเธอได้อีกครั้งและในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมาได้แล้วดวงตาของสโนว์ปรับเข้ากับแสงบนเพดานห้องได้อย่างรวดเร็ว อย่างแรกคือสำรวจรอบตัว ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดค่อนข้างใหญ่แต่มันไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงสีขาวที่เธอนอนอยู่และหน้าต่างกระจกบานหนึ่งที่มีขนาดเท่าผนังห้อง ส่วนผนังอีกสามด้าน พื้น และเพดานห้องก็เป็นแค่สีขาวว่างเปล่า สโนว์เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างกระจกใส ภาพหลังกระจกที่ได้ปรากฏให้เห็นก็คือภูเขาหิมะ หากว่าหลังกระ
[28] [หนีดีกว่า]ไม่สามารถต่อต้าน ไม่สามารถหลบหนี ไม่สามารถจบชีวิตตัวเองได้ และไม่อยากให้ความร่วมมือ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรที่ทำได้นอกจากยอมจำนน ซึ่งทางเลือกในการยอมจำนนมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่น่าลำบากใจนักสำหรับสโนว์ ถ้าให้เลือกระหว่างต่อต้านโดยอาละวาดอย่างไร้ความหมายและไร้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เธอเลือกยอมจำนนอย่างสงบเพื่อหาทางรอดอื่นดีกว่าตัวเลือกแรกก็คงต้องเป็นการยื่นข้อเสนอ“สองเดือน ฉันมีเวลาแค่สองเดือนที่นี่เพราะฉันยังมีภารกิจที่ต้องทำอยู่” ภารกิจที่เธอหมายถึงคือหยุดพักจากงานและเดินทางไปทางเหนือ“อือ…ยอมรับได้เพียงครึ่งเดียว” อีธานครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เขายอมตกลงง่ายมากจนสโนว์แปลกใจสโนว์เพิ่งมานึกระแวงว่าการทดลองที่ว่านั่นอาจจะทำให้เธอกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่รู้จักก็ได้“นายต้องการทดลองอะไรถึงต้องมาเจรจากับฉันเพื่อขอความร่วมมือก่อนในเมื่อนายสามารถบังคับฉันได้?” “ผมไม่อยากได้ตัวทดลองที่ไร้จิตวิญญาณ สิ่งสำคัญในการทดลองครั้งนี้จะต้องคงอยู่เช่นเดิมของสติปัญญาของสิ่งมีชีวิต” “ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อนายเท่าไหร่ นายคงไม่ได้มีแผนอย่างการกล่อมให้ฉันยอมรับการทดลอ
[37] [โอเมก้าน่ะ XXX จัดนะ]ยิ่งสโนว์สูดดมกลิ่นฟีโรโมนป่าสนฤดูหนาวของฟรอสต์มากเท่าไหร่ร่างกายของเธอก็ยิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายของเธอเริ่มรู้สึกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่กำลังอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าความหนาวเย็นภายในถ้ำน้ำแข็งจะไม่ช่วยคลายความร้อนให้เธอได้เลย ทว่าคนที่รู้สึกร้อนมากที่สุดไม่ใช่เธอ แต่เป็นฟรอสต์ที่กำลังฮีทต่างหากล่ะตอนนี้สโนว์และฟรอสต์ได้เข้ามาอยู่ในส่วนที่ลึกมากที่สุดของถ้ำเพื่อไม่ให้กลิ่นฟีโรโมนเล็ดลอดออกไปข้างนอกและที่สำคัญคือความเป็นส่วนตัวฟรอสต์ได้ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาอย่างไม่กลัวความหนาวเพราะตอนนี้ร่างกายของเขาร้อนมากจนแทบจะสามารถละลายน้ำแข็งได้แล้ว เมื่อถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดและเขาก็คิดจะฉีกเสื้อผ้าของสโนว์ทิ้งด้วย“เดี๋ยว ฉันจำเป็นต้องถอดด้วยเหรอ” สโนว์ที่คิดเพียงว่าจะใช้กลิ่นอัลฟ่าของเธอเพื่อบรรเทาอาการของเขาเท่านั้นได้เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“เธอจะช่วยฉันใช่ไหม?” ฟรอสต์ถามขณะที่จังหวะลมหายใจของเขาเริ่มถี่มากขึ้น สโนว์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันร้อนระอุของฟรอสต์ที่พัดผ่านบนผิวของเธอได้อย่างชัดเจนและดวงตาสีน้ำเงินของเขาที่จ้องมองมายังเ
[36] [รวมตัวกันอีกครั้ง]ฟรอสต์ได้พาสโนว์ผ่านประตูมิติมายังถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่ง มันน่าจะเป็นถ้ำสักแห่งที่มีอยู่ในเขตภูเขาหิมะที่กว้างใหญ่นั่นแหละเพราะระยะทางการข้ามผ่านมิติของฟรอสต์ไม่ได้กว้างใหญ่มากนักและดูเหมือนว่ามันจะกินพลังค่อนข้างมาก ฟรอสต์ที่สีหน้าเหนื่อยอ่อนอย่างชัดเจนแต่เขาก็ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนที่กำลังโอบอุ้มสโนว์อยู่เขาเอาเตาผิงพกพาขนาดเล็กออกมาจากมิติและจุดไฟจากนั้นก็นั่งลงข้างๆ โดยที่ให้สโนว์นั่งพิงอยู่บนตัก จากนั้นเขาก็เริ่มทำลายกำไลที่เป็นเครื่องควบคุมบนข้อมือและข้อเท้าและคอของเธอออก เขาเอามันออกด้วยการทำให้มันหายไปด้วยพลังมิติของเขา สโนว์จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” ฟรอสต์ถามเพราะยังเห็นว่าเธอยังดูอ่อนแรงผิดปกติ เขาจับสำรวจไปทั่วร่างกายของเธอ“ไม่…แค่ต้องรอให้ยาหมดฤทธิ์” สโนว์นั่งหลับตาและไม่พูดอะไรอีกฟรอสต์หรี่ตามองคนบนตักอย่างเงียบเชียบ เสื้อตัวบางที่สโนว์สวมอยู่ไม่สามารถปกปิดร่องรอยเบาบางบนร่างกายของเธอได้ เพียงแค่คิดว่าไอ้นั่นสัมผัสเธออย่างไรก่อนที่เขาจะไปถึงมันก็ทำให้เขารู้สึกราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก เขาคว้าผ้าห่มออกมาจากมิติและคลุมร่างกายของเธอก่อนจ
[35] [ภารกิจสำเร็จ]เสียงดังรอบตัวทำให้สโนว์ต้องตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือแท็งก์น้ำมากมายแต่ในนั้นไม่มีปรสิตอยู่อีกแล้ว“ตื่นแล้วเหรอครับ?” อีธานพูดขึ้นมา นั่นทำให้เธอรู้ตัวว่าเขากำลังกอดเธอจากด้านหลังโดยที่เธอนั่งพิงอยู่บนตักของเขาเมื่อเธอรู้ตัวเธอก็พยายามลุกหนี แต่เธอก็พบว่าแขนขาของเธอถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว มันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจนอีธานเลือกที่จะล็อกแขนขาเธอไว้และพาเธอมาที่โกดังเก็บปรสิตแบบนี้ อีกอย่างแท็งก์น้ำทั้งหมดไม่ปรสิตเหลืออยู่สักตัว พวกมันถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เธอเห็นปรสิตจำนวนไม่มากยืนประจำการอยู่โดยรอบราวกับกำลังเฝ้ายามอยู่ เธอจำได้ว่ามันมีปรสิตมากกว่านี้ นั่นหมายความว่าปรสิตที่เหลือถูกปล่อยออกมาเพื่อไปต่อสู้กับใครบางคนสโนว์คาดหวังบางสิ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้“เป็นพวกเขางั้นเหรอ?” สโนว์พึมพำถาม“ไม่ว่าจะเป็นใครผมก็ไม่คิดจะปล่อยคุณไปหรอกครับ” อีธานที่กกกอดเธอไม่ยอมปล่อยเอ่ยสโนว์รับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่คลอเคลียอยู่แถวลำคอไม่ห่าง แต่ก็ทำได้แค่เอียงหัวหลบเพราะเหมือนกับว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเธอก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมา
[34] [มาถึงแล้ว]อีธานเคร่งครัดเรื่องเวลามาก เมื่อถึงเวลาพักผ่อนเขาก็จะไม่เข้ามารบกวนสโนว์เลยจนกว่าจะถึงกำหนดการของแผนต่อไป และนั่นทำให้สโนว์รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อประตูห้องขังเปิดออกในขณะที่เธอกำลังหลับ สโนว์ที่รู้ตัวตื่นตั้งแต่ที่ประตูถูกปลดล็อกอยู่ในสภาพพร้อมรบทันทีสโนว์หรี่ตามองคนที่เดินเข้ามาในห้องอย่างกะทันหัน“เตรียมการทดลองขั้นต่อไป” “นาย…ไม่ใช่อีธานที่ฉันรู้จักสินะ?” ไม่มีคำตอบของคำถาม เธอถูกพาตัวไปที่ห้องทดลองและถูกล็อกติดอยู่กับเก้าอี้ สโนว์มองแขนที่ถูกล็อกจนขยับไม่ได้และเงยหน้ามองไปรอบตัวอีธานงอกได้….รอบตัวเธอตอนนี้มีอีธานถึงห้าคนกำลังเตรียมการทดลองตามหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย พวกเขาเดินสวนกันไปมาจนสโนว์ไม่สนใจที่จะแยกแยะแล้วว่าอีธานคนไหนเป็นคนไหน ตอนนี้เธอต้องสนใจแค่ว่าการทดลองนี้จะทำให้เธอรอดชีวิตไปได้หรือไม่ปรสิตเวร! เข็มยักษ์นั่นเอาไว้ใช้จิ้มแขนคนจริงเหรอ!?“นายแน่ใจเหรอว่ากะปริมาณถูกต้องแล้ว?” สโนว์ถามขณะที่อีธานร่างโคลนคนไหนก็ไม่ทราบกำลังใช้เข็มยักษ์ฉีดสารบางอย่างเข้ามาในร่างกายของเธอ“ไม่ผิดพลาด” อีธานร่างโคลนเอ่ยตอบเสียงเรียบหลังจากนั้นสโ
[33] [ขั้นตอนสุดท้าย]“ฮา…” ลมหายใจที่สโนว์พ่นออกมากลายเป็นควันเพราะความหนาวในอุณหภูมิเยือกแข็ง สโนว์ยกขาถีบปรสิตที่กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งตรงหน้าให้ล้มจนมันแตกเป็นเสี่ยง จากนั้นสโนว์ก็เริ่มไล่ทุบและเตะปรสิตทั้งหมดที่ขยับไม่ได้เพราะถูกพลังของเธอแช่แข็งจนพวกมันแตกเละไม่เหลือชิ้นดี หมดโอกาสที่จะกลับมามีชีวิตอีกแล้ว ซึ่งจุดประสงค์ในการไล่ทุบทำลายอย่างโหดเหี้ยมของเธอก็เพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดล้วนๆ ไม่ได้มีโกรธแค้นพวกมันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนแต่อย่างใดสโนว์สูดหายใจเข้า “ไปตายซะไอ้พวกปรสิตเฮงซวยเอ๊ย!” เมื่อตะโกนเพื่อระบายอารมณ์แล้วเธอก็ยังกระทืบเศษน้ำแข็งที่เคยเป็นปรสิตมาก่อนจนมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้วซึ่งสาเหตุของอารมณ์หงุดหงิดของสโนว์ก็จะมาจากไหนไปไม่ได้นอกจากเรื่องของวินเตอร์และฟรอสต์ที่เธอได้ยินมาจากอีธาน เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าพวกเขาจะตายไปทั้งแบบนั้น เธอหวังว่ามันจะเป็นเรื่องโกหก แต่ความกังวลและความกระวนกระวายก็ยังไม่หายไปและมันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด สุดท้ายเธอก็ได้มาระบายอารมณ์กับปรสิตที่อีธานให้เธอใช้สำหรับทดสอบใช้พลังจนปรสิตที่ถูกเธอใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ไม่เหลือแม้แต่ซากอย่างที่เห็น
[32] [ผลของฟีโรโมน]“ทดลอง ทดลอง ใส่สารตัวนี้สักหน่อย ใส่ตัวนี้สักนิด ไม่สิ ตัวนี้มีฤทธิ์เบาเกินไป ส่วนตัวนี้มีผลเสียต่อร่างกาย งั้นลองสารนี้แล้วกัน” อีธานพึมพำขณะที่กำลังปรุงสารบางอย่างลงในหลอดแก้วอย่างอารมณ์ดีสโนว์นั่งมองรอยยิ้มกว้างนั่นด้วยสายตาปลาตาย น่าเสียดายมากที่เธอไม่สามารถหนีไปจากเจ้าคนประหลาดคนนี้ได้ ในขณะที่เธอปลงตกอีธานก็เหมือนจะเสร็จธุระของตัวเองแล้ว เขาหันมาหาเธอพร้อมกับถือหลอดแก้วที่มีสารบางอย่างที่ปรุงแล้วเรียบร้อยในมือ“ลองชิมได้ไหมครับ? ไม่เป็นอันตรายแน่นอนเพราะผมมั่นใจในการคำนวณมากเลย” อีธานยื่นหลอดแก้วที่มีสารเหลวสีน้ำเงินมาให้สโนว์ แต่เมื่อเห็นว่าสโนว์ที่มีบรรยากาศต่อต้านมือที่ยื่นหลอดแก้วออกไปก็มีท่าทีเงอะงะอย่างตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะไม่ต่อสู้เพื่อต่อต้านแล้วแต่ก็ไม่ได้ยอมจำนน อีธานคิดว่าหากเขากระตุ้นเธอสักหน่อยมันก็มีความเป็นไปได้ที่เธอจะอาละวาดเพียงแค่จินตนาการเปลือกตาของอีธานก็กระตุก ริมฝีปากของเขาเม้มลงเล็กน้อย และแก้มของเขาก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย เขากำลังคาดหวังให้มันเกิดขึ้นอีธานก้าวไปยืนชิดกับเก้าอี้ที่สโนว์นั่งอย่างกะทันหันจนสโนว์ผงะ เธอขมวดคิ้วขณะเงยหน้ามอ
[31] [ราชา]มองไปทางไหนก็เจอแต่หิมะสีขาวโพลนและสายลมเย็นยะเยือก ความหนาวเย็นบนยอดภูเขาหิมะทำให้ความเจ็บปวดจากแผลไฟลวกบนมือของสโนว์ลดลงเล็กน้อย“ทำไมต้องมาอยู่บนภูเขาหิมะด้วยเนี่ย” สโนว์บ่น หากให้บุกฝ่าภูเขาหิมะไปโดยที่ไม่พกอะไรติดตัวไปสักอย่างก็เกรงว่าจะหมดแรงและหนาวตายอยู่ระหว่างทางเสียก่อน แต่สโนว์ในตอนนี้ไม่มีทางให้เลือกมากนัก เธอเดินเหยียบหิมะหนาไปข้างหน้า แต่เมื่อเดินไปได้ไม่ไกลสโนว์ก็รู้สึกถึงอันตรายบางอย่างโดยสัญชาตญาณมีบางอย่างใต้หิมะแต่ยังไม่ทันที่สโนว์จะรู้ว่ามันคืออะไรสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้หิมะก็คลานออกมาจากใต้หิมะหนา มันไม่ได้มีเพียงตัวเดียว แต่มีหลายตัว“คน?” เมื่อเห็นในแวบแรกเธอก็คิดอย่างนั้นเพราะรูปร่างที่เหมือนมนุษย์ของมัน แต่กลิ่นอายของมันทำให้สโนว์รู้สึกว่ามันไม่ใช่“ห้าม…ออก…ไป” คนที่โผล่ออกมาจากหิมะได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก“ห้าม…ออก…ไป” “ห้าม…ออก…ไป” “ห้าม…ออก…ไป” พวกมันเริ่มพูดคำพูดเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับพูดคำอื่นไม่เป็น สโนว์รู้สึกว่าคนพวกนั้นผิดปกติ เธอเตรียมตัวต่อสู้ได้ทุกเมื่อหากพวกมันโจมตี แม้ว่าเธอจะเสียพลังไปมากจนฝืนต่อไปแทบไม่ไหว แต่เธอก็พร
[30] หิมะไม่ยอมละลาย“เฮ้อ…” วินเตอร์ไม่รู้ว่าตัวเองถอนหายใจออกมากี่ครั้งแล้ว ใครจะไปสนใจนับจำนวนลมหายใจของตัวเองในขณะที่ยังไม่รู้ว่าเพื่อนที่ถูกลักพาตัวไปเป็นตายร้ายดียังไงได้อย่างไรกัน“…” ฟรอสต์มีท่าทีนิ่งสงบตรงกันข้ามกับท่าทางของวินเตอร์ที่กระวนกระวายเคียร่ามองหน้าทหารหน่วยพลีชีพทั้งสองคนสลับไปมา ถึงท่าทางที่แสดงออกของพวกเขาจะตรงกันข้ามกัน แต่เคียร่าสามารถบอกได้ว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์เดียวกัน“ตาแดง ขอบตาดำคล้ำ….อย่างกับปรสิตแพนด้า” “อาการแบบนี้เรียกว่าเครียดจนนอนไม่หลับครับ” เซบาสเตียนกล่าว ในอ้อมแขนของเขายังอุ้มแมวขาวที่กำลังนอนหลับสนิทแลดูสบายอกสบายใจเข้าสู่วันที่เจ็ดแล้วตั้งแต่สโนว์ถูกลักพาตัวหายไป ด้วยความช่วยเหลือจากผู้นำโดมอย่างอลันที่ช่วยแกะรอยองค์กรไกด์ที่คาดว่าลักพาตัวสโนว์ไป วินเตอร์และฟรอสต์ก็มุ่งหน้าตามร่องรอยได้มาอย่างไม่หยุดพัก พวกเขาไม่ได้แม้จะนอนหลับด้วยซ้ำ เพียงหลับตาเพื่อพักสายตาครู่หนึ่งก็ตื่นขึ้นมาค้นหาร่องรอยต่อจนกระทั่งร่างกายที่แม้จะวิวัฒนาการแล้วก็ยังแสดงอาการที่บ่งบอกว่านอนน้อยให้เห็น“เฮ้อ” วินเตอร์ในสภาพนอนน้อยจนใต้ตาดำถอนหายใจออกมาอีกรอบพลางหันไปมองฟร
[29] [หลบหนี]บนหน้าต่างยังฉายภาพภูเขาหิมะเช่นเดิม สวยงามแต่ก็น่าเบื่อ สโนว์ยืนมองออกไปอย่างไร้อารมณ์ เฝ้ารอการมาของคนเพียงคนเดียวที่เข้ามาหาเธอในห้องสีขาวอันว่างเปล่านี้ตามช่วงเวลาเดิมของทุกวันประตูห้องที่เหมือนกับห้องปิดตายนี้ก็เปิดออก ในเสี้ยววินาทีที่ประตูปลดล็อกและแง้มเปิดพลังพิเศษของสโนว์ก็พุ่งตรงเข้าไปทำลายประตู แต่ในเสี้ยววินาทีเดียวกันปลอกคอและกำไลบนข้อเท้าและข้อมือของเธอก็เริ่มทำงานเช่นกันแม้ว่าประตูจะหยุดทำงานชั่วคราวและมีโอกาสให้หนีออกไปจากห้องขังนี้แต่สโนว์ก็ได้ทรุดลงไปนอนกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงหนีแล้ว อีธานเดินเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าสโนว์“ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นเด็กดื้อขนาดนี้” สโนว์มองปลายเท้าที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ ทันใดนั้นแขนที่น่าจะขยับไม่ได้ของเธอได้เอื้อมไปคว้าข้อเท้าของอีธานอย่างรวดเร็ว “!?” อีธานที่ไม่ทันระวังตัวพยายามชักเท้าหนี แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้มึนงงราวกับสมองกลับด้านอย่างกะทันหัน อีธานล้มลงไปนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรงโดยที่สโนว์ไม่จำเป็นต้องออกแรงดึงข้อเท้าของเขาเลยดวงตาสีฟ้าของเขาเบิกกว้างขณะมองสโนว์ที่ยืนขึ้นได้ทั้งที่กำไลข้อมือและข้อเท้ากำลังทำงานด้