หวงจี๋เทียนถึงกับตกตะลึงในเวลานี้ เขาอดไม่ได้ที่จะมีข้อสงสัยขึ้นมาในใจในโลกนี้เหตุใดจึงมีคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้?ก่อนจะได้ของยังกล้าหน้าด้านหน้าทนไล่ถามโดยไม่สนใจความลำบากใจของผู้อื่น แต่เมื่อรู้ว่าต้นทุนสูงลิ่วก็พลันเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิงหวงจี๋เทียนรู้สึกแน่นหน้าอกจนต้องหัวเราะฝืดๆ ออกมา ทันใดนั้นก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้น เขาคำนับหลี่เฉินแล้วกล่าวว่า "องค์รัชทายาทต้าฉิน กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งที่ไม่สมควรร้องขอ ไม่ทราบว่าจะกล่าวได้หรือไม่?""ไม่ได้"หลี่เฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเวลานี้ หวงจี๋เทียนใช้วิธีเดียวกับที่หลี่เฉินเคยทำตอนที่ขอข้อมูลช่องทางการสื่อสาร ไม่สนใจความลำบากใจของอีกฝ่าย แล้วเสนอคำขออย่างตรงไปตรงมาหากยังมีความละอายใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับตัวเขาเมื่อครู่ ก็คงปฏิเสธได้ไม่ง่ายนักที่สำคัญที่สุด หวงจี๋เทียนรู้ดีว่า แม้วิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผลดี แต่ต้นทุนกลับสูงเกินไป ถึงขนาดพวกเขาเองยังรู้สึกว่าน่าเสียดาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลยดังนั้นเขาจึงกล้าพูดออกมาอย่างไม่ลังเลทว่าตอนนี้ หวงจี๋เทียนนำวิธีของหลี่เฉินมาใช้กับหลี่เฉินเอง แต่กลับล้มเหลว!คำที่หลี่เฉินเอ่ยออกมาอย
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เฉิน หวงจี๋เทียนกลับรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อยเขารู้สึกว่าคำพูดของหลี่เฉินจริงใจและซื่อตรงท้ายที่สุดแล้ว อานุภาพของอาวุธชนิดนี้ ทุกคนก็เห็นกับตาอยู่แล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ตัวเขาคงต้องถูกบรรจุลงในโลงศพและส่งกลับแคว้นแน่นอนแต่หากมีรุ่นที่สองที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่า และปลอดภัยกว่า แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดียิ่งไปกว่านั้น องค์รัชทายาทต้าฉินได้ให้คำมั่นแล้วว่า หากมีรุ่นที่สองออกมา จะมอบให้เขาหนึ่งชุดเป็นการตอบแทน…เพียงแค่คำมั่นนี้ ก็เพียงพอแล้ว“องค์รัชทายาททรงรอบคอบยิ่งนัก”หวงจี๋เทียนประสานมือคารวะ ตอบรับอย่างเหมาะสมหลี่เฉินยิ้มพลางกล่าวว่า “เวลานี้ก็คงถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ไยอาเกอสิบสามไม่อยู่รับประทานมื้อเย็นร่วมกับข้าก่อน แล้วค่อยกลับไป?”หวงจี๋เทียนตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่า ดินแดนจงหยวนอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมากความสามารถ อาหารเลิศรสยิ่งมีมากมาย ข้าเองก็อยากลองลิ้มรสอาหารของแผ่นดินจงหยวนมานานแล้ว ในเมื่อองค์รัชทายาททรงเชื้อเชิญ ข้าก็ต้องขอรับไมตรี ไม่อาจปฏิเสธ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงดัง ก่อนหันไปสั่ง “แจ้งห้องครัวให้เตรียมจัดเลี้ยง
เมื่อได้ฟังคำบ่นโอดครวญของซ่งอิงซิง หลี่เฉินก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พลางกล่าวว่า “ที่แท้เจ้ากังวลเรื่องนี้เองหรือ?”“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ดีว่าสิ่งนี้ผลิตได้ยากเพียงใด ดังนั้น ข้าย่อมไม่บังคับให้พวกเจ้าสร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งต้าฉินออกมาจำนวนมากในคราวเดียว ที่ข้าพูดกับหวงจี๋เทียนไป ก็เพียงเพื่อหลอกเขาเท่านั้น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหลงเชื่อหรือไม่ แต่เจ้ากลับเป็นฝ่ายหลงเชื่อเสียก่อนแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งอิงซิงถึงกับถอนหายใจโล่งอกราวกับได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา เขารีบถามต่อว่า “เช่นนั้น เรื่องที่องค์รัชทายาทกล่าวถึงรุ่นที่สองก่อนหน้านี้…”“ก็แค่เรื่องหลอกลวงเหมือนกัน”หลี่เฉินโบกมือพลางกล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของพวกเจ้าคือ เพิ่มกำลังการผลิต ส่วนเรื่องพัฒนาเวอร์ชันใหม่ สามารถเลื่อนไปก่อนได้ ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการคือ ปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพ”ซ่งอิงซิงได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ “องค์รัชทายาท สิ่งนี้ต้องอาศัยเทคนิคขั้นสูง คนที่สามารถสร้างมันได้มีเพียงไม่กี่คน แม้จะทำงานกันทั้งวันทั้งคืน แต่ต่อให้ทำเต็มกำลัง ก็ผลิตได้เพียง วันละสามถึงสี่ลูกเท่านั้น ไม่อ
"ดีมาก"หลี่เฉินยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนกล่าวว่า "ช่วงไม่กี่วันมานี้อาจต้องลำบากเจ้าสักหน่อย หากต้องการสิ่งใดก็ไปขอจากคนของหน่วยบูรพาโดยตรง"ซ่งอิงซิงทำความเคารพด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อยว่า "องค์รัชทายาท ช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีคนมากมายใช้ข้ออ้างต่างๆ เพื่อมาสืบเสาะเรื่องบางอย่างจากโรงงานของพวกเรา กระหม่อมเกรงว่าอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการขโมยแผนผังและวิธีการผลิต ขอองค์รัชทายาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ"หลี่เฉินยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ บนใบหน้านับตั้งแต่รู้ว่ากวนจือเหวยเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้ามา หลี่เฉินก็เข้าใจดีว่าการผลิตอาวุธปืนคงไม่ใช่ความลับสำหรับจ้าวเสวียนจีอีกต่อไปทว่ากวนจือเหวยกลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง จึงยังไม่กล้าชิงแผนผังการสร้างอาวุธปืนไปโดยตรงบัดนี้กวนจือเหวยพ่ายแพ้แล้ว คนของจ้าวเสวียนจีคงอยากได้แผนผังการออกแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย"นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ข้าสั่งให้พวกเจ้าย้ายไปยังลานล่าสัตว์หลวง"หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ช่วงเวลานี้พวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะหากมีสิ่งผิดปกติใดๆ ภายในต้องรีบตรวจสอบให้แน่ชัด หากเจ้าไม่มั่นใจ ให้ซานเป่า
อาเกอสิบสามชี้ไปที่จมูกของตัวเองก่อนกล่าวว่า "ครอบครัวฝั่งแม่ข้าตกต่ำ อีกทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา ยิ่งไปกว่านั้น ในราชสำนักก็ไม่มีอำนาจอิทธิพลใดๆ ข้าจึงเป็นแพะรับบาปที่เหมาะสมที่สุด เพราะข้ารังแกได้ง่าย"เมื่อแม่ทัพฟู่ได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปสบตากับข้าราชบริพารอีกคนหนึ่ง ก่อนที่แม่ทัพฟู่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "อาเกอสิบสามอย่าดูแคลนตนเองเลย ยังมีอีกหลายคนที่มองเห็นความสามารถของท่าน พวกเราสองพี่น้อง ขอสาบานว่าจะติดตามท่านไปจนสุดทาง"หวงจี๋เทียนยิ้มพลางพยักหน้า "แน่นอนว่าข้าย่อมเชื่อใจพวกเจ้า พวกเจ้าคือคนที่มารดาข้าทิ้งไว้ให้เป็นผู้ช่วยเพียงสองคนสุดท้าย หากข้าไม่เชื่อพวกเจ้า แล้วข้าจะเชื่อใครได้อีก? ดังนั้น เมื่อบิดามอบภารกิจนี้ให้ข้า ข้าไม่ได้ร้องขอสิ่งใดเลย นอกจากขอนำพวกเจ้าสองคนไปด้วย และเขาก็ทรงอนุญาต"แม่ทัพฟู่มีสีหน้าฉงน "อาเกอสิบสาม เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับที่เราคุยกันก่อนหน้านี้หรือ?""เกี่ยวสิ"หวงจี๋เทียนกล่าวอย่างสงบ "ครั้งนี้ข้าเป็นตัวแทนแคว้นจินมาเจรจากับต้าฉิน หากการเจรจาสำเร็จ เราก็ต้องเผชิญหน้ากับแคว้นเหลียว หากล้มเหลว ต่อให้ไม่มีผลกระทบใดๆ แต่คำว่าล้ม
"เขาเองก็รู้ดี ไม่ว่าจะเป็นคำประกาศสงครามหรือการเผชิญหน้าระหว่างเราสองฝ่าย ล้วนเป็นเพียงเหตุการณ์ระหว่างทาง ในท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ต้องจบลงที่การเผชิญหน้าด้วยกำลัง""ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาเพิ่งพบกับตัวแทนจากแคว้นจิน"คำพูดสุดท้ายของจ้าวเสวียนจีทำให้หลี่อิ๋นหู่รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที"คนของแคว้นจินนั้นหรือ?"จ้าวเสวียนจีพยักหน้า "ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาคุยอะไรกับคนของแคว้นจิน แต่ตอนนี้พวกนั้นยังพักอยู่ที่จุดพักแรม"หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้ว "มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะดึงแคว้นจินมาเป็นพันธมิตรเพื่อจัดการพวกเรา?""เป็นไปได้"จ้าวเสวียนจีพยักหน้า "ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง เราไม่อาจตัดความเป็นไปได้ใดๆ ทิ้งไปได้เลย เพียงแต่โอกาสที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นนั้นไม่มากนัก""แคว้นจินไม่เหมือนกับแคว้นเหลียว อิทธิพลของพวกเขาในต้าฉินมีน้อยมาก อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยแผ่ขยายอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอำนาจในต้าฉิน สาเหตุหลักก็เพราะพวกเขาไม่มีศักยภาพเพียงพอ และสิ่งที่พวกเขากลัวมากกว่าคือแคว้นเหลียว"หลี่อิ๋นหู่คิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า "ผู้อาวุโส ให้ข้าไปพบกับพวกเขาสักหน่
"ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเป็นข้า ยังกล้าขวางทางข้าอีกหรือ?" หลี่อิ๋นหู่เอ่ยถามเสียงเย็นเฉินทงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "กระหม่อมเพียงอยากทราบว่า ท่านอ๋องเสด็จมาที่จุดพักแรมในยามค่ำคืนเช่นนี้ ด้วยเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?"หลี่อิ๋นหู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะไปที่ใดหรือทำสิ่งใด ต้องให้เจ้าอนุญาตด้วยหรือ?""ย่อมไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ"เฉินทงกล่าวอย่างสุภาพแต่หนักแน่น "เพียงแต่ องค์รัชทายาทมีราชโองการ จุดพักแรมแห่งนี้มีแขกสำคัญ การกระทำใดๆ ที่นี่ล้วนเกี่ยวพันกับเกียรติและศักดิ์ศรีของต้าฉิน ดังนั้น หากไม่มีราชโองการจากตำหนักบูรพา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไปโดยพละการ"อีกแล้ว! ราชโองการจากตำหนักบูรพาอีกแล้ว!หลี่อิ๋นหู่รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขากล่าวเสียงเย็น "เฉินทง ข้าเพียงแค่จะเข้าไปพูดคุยกับแขกไม่กี่คำ แล้วจะออกมา เจ้าก็แค่หลีกทางให้ข้า"เฉินทงยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย "หากท่านอ๋องต้องการเข้าไปจริงๆ ขอเพียงแสดงราชโองการจากตำหนักบูรพา กระหม่อมย่อมไม่ขัดข้อง ท่านอ๋องจะอยู่ได้นานเท่าใดก็สุดแท้แต่พระทัย""ข้าไม่มีราชโองการ!"หลี่อิ๋นหู่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดจนถึงที่สุด เขากล่าวเสียงด
จวนจ้าวอ๋องหลี่อิ๋นหู่ลงจากรถม้าด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นสวีเว่ยที่กลับมาก่อนล่วงหน้าและยืนรออยู่แล้ว ใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นสวีเว่ยที่เต็มไปด้วยเหงื่อและยังคงหอบเบาๆ หลี่อิ๋นหู่ก็รู้สึกพอใจมากขึ้น"ท่านอ๋อง กระหม่อมเสียกิริยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"สวีเว่ยค้อมกายคารวะหลี่อิ๋นหู่"ไม่เป็นไร"หลี่อิ๋นหู่รู้สึกยิ่งพอใจมากขึ้นกว่าเดิมเขามีลูกน้องที่แข็งแกร่ง มีไหวพริบ และภักดีเช่นนี้ จะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?"เด็กๆ! เตรียมอ่างน้ำแข็งมาให้สวีเว่ยล้างหน้า แล้วนำซุปบ๊วยแช่เย็นมาให้เขาด้วย"หลังจากสั่งการ ไม่นานนัก นางกำนัลก็นำอ่างน้ำเย็นจัดและซุปบ๊วยเย็นที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งเข้ามาให้สวีเว่ยไม่ได้เกรงใจ หลังจากทำความเคารพแล้วก็ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ความรู้สึกสดชื่นแล่นไปทั่วร่าง จากนั้นก็ดื่มซุปบ๊วยเย็นจนหมดในอึกเดียว ทำให้ร่างกายเย็นขึ้นเป็นอย่างมาก"เป็นอย่างไร ดีขึ้นบ้างหรือไม่?" หลี่อิ๋นหู่ยิ้มถามสวีเว่ยค้อมกายอีกครั้ง "ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา"หลี่อิ๋นหู่โบกมือ "เจ้าทำงานให้ข้า ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าลำบากเกินไป เมื่อไม่นาน
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี