การต่อสู้ทางการเมืองเดิมทีก็โหดร้ายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับลัทธิที่ชั่วร้ายอย่างสำนักบัวขาวที่สามารถสั่นคลอนรากฐานของประเทศ หลี่เฉินจะแสดงความเมตตาต่อพวกมันได้อย่างไร? “แล้วสถานการณ์ทางมณฑลซีซานเป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เฉินถาม ซานเป่าตอบ “ค่อนข้างโกลาหล”สองคำนี้ทำให้หลี่เฉินอดย่นคิ้วไม่ได้ สองคำนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรายงานที่จ้าวเหอซานและโจวผิงอันส่งถึงเขาไม่รอให้หลี่เฉินได้เปิดปากถาม ซานเป่าก็กล่าวต่อไปว่า “หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวเหอซานไปถึงมณฑลซีซาน เขาก็เรียกขุนนางจากทุกมลรัฐ จังหวัด และอำเภอทั่วทั้งมณฑลซีซานมาหารือในทันที แต่อย่างไรก็ตาม ขุนนางส่วนใหญ่ที่ได้รับการแจ้งข่าวกลับไม่มา”“ใต้เท้าจ้าวเหอซานผู้นี้ก็ร้ายกาจมากเช่นกัน เมื่อพวกเขาไม่มา ใต้เท้าจ้าวเหอซานก็ลงตรวจสอบพื้นที่ภายใต้เขตการปกครองของพวกเขาทีละคน เมื่อไปยังสถานที่ใด เขาก็จะตัดศีรษะขุนนางกลุ่มหนึ่ง” “ดังนั้น ความคิดเห็นของชาวมณฑลซีซานในปัจจุบันที่มีต่อใต้เท้าจ้าวเหอซานจึงแบ่งออกเป็นสองฝั่ง”“ชาวบ้านทั่วไปล้วนบอกว่าใต้เท้าจ้าวเหอซานเป็นขุนนางที่ทำเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง แต่ในหมู่ขุนนางกลับบอก
“บ่าวจะถ่ายทอดความปรารถนาของฝ่าบาทไปยังโจวผิงอันทันที” ซานเป่าตอบอย่างเร่งรีบเขายกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมองไปที่ซานเป่า เขาเพิ่งแย่งอำนาจในมือของอีกฝ่ายเพื่อมอบให้กับเฉินทง แต่ทว่า วิธีควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาคือความสมดุล การทำงานของซานเป่านับว่าตรงตามมาตรฐาน ต้องตีอีกฝ่ายด้วยไม้เท้าแล้วยื่นพุทราหวานให้ มิฉะนั้น อาจทำให้คนเบื้องล่างจิตใจเย็นชาขึ้นมาได้ คิดไปสักพัก หลี่เฉินก็กล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเลี้ยงบุตรสาวบุญธรรมไว้นอกวังใช่หรือไม่?” ซานเป่านิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วรีบตอบว่า “ทูลฝ่าบาท บ่าวมีบุตรสาวบุญธรรมอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้อายุยี่สิบปีพอดี”หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ “ข้าแค่ถามเฉยๆ ทำไมเจ้าถึงรายงานอายุออกมาล่ะ? หรือต้องการให้ข้ายอมรับนาง?”ซานเป่าตอบกลับอย่างร้อนรนว่า “บ่าวต่ำต้อย มิกล้ามีความคิดกำเริบเสิบสานเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินโบกมือแล้วพูดว่า “ที่ข้าพูดขึ้นมาก็เพราะรู้สึกสนใจ ขันทีคนอื่นๆ รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมเพื่อให้เลี้ยงดูตัวเองยามแก่เฒ่า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไปรับมาจากคนรู้จักหรือรับเลี้ยงลูกชายบุญธรรม แต่เจ้ากลับดีกว่านั้น ไปหาลูกสาวบุญธรรมมาเลี้ยงดู”ซานเป่าอมยิ้มและพูดว
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ทั้งสองได้ตรวจสอบและคิดว่ามีประโยชน์ ตราบใดที่หลี่เฉินพยักหน้า ก็สามารถใช้งานได้ในทันที เพียงแต่นิสัยของคนเหล่านี้มีทั้งดีและชั่วปะปนกันหลี่เฉินจึงทำได้เพียงหาคนที่สูงที่สุดในบรรดาคนแคระอย่างไม่เต็มใจ และพบคนสองคนที่ดูเหมือนจะเชื่อถือได้ ดังนั้นเขาจึงใช้พวกเขาไปก่อน “เวลานี้อำนาจของกรมยุทธนาการดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่ในความเป็นจริง มันได้เปิดโอกาสให้สำนักราชเลขา เสนาบดีกรมยุทธนาการคนใหม่ในปัจจุบันคือ ซั่งกวนเจา สหายคนสนิทของจ้าวเสวียนจี”“คนผู้นี้หยั่งรากลึกในกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายสัมพันธ์หรือว่าบารมี ล้วนแข็งแกร่งกว่ารองเสนาบดีกรมยุทธนาการฝ่ายซ้ายและขวาที่ข้าย้ายมา บวกกับการสนับสนุนจากสำนักราชเลขา การทำงานของรองเสนาบดีกรมยุทธนาการฝ่ายซ้ายและขวาจึงไม่ง่ายที่จะรับมือ”“ดังนั้นในระหว่างการเลือกคน ข้าจึงระมัดระวังมาก และผู้ที่มีความสามารถไม่เพียงพอก็จะต้องจากไป”“แต่เมื่อเลือกคนได้แล้ว ข้าจะสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่ กรมยุทธนาการนั้นสำคัญมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ประมาทไม่ได้” หลังจากที่หลี่เฉินกำชับสั่งการเสร็จเรียบร้อย ก็ส่งสองคนที่ได้รับเล
“บ่าวขอบพระทัยนางสนมเพคะ” วั่นเจียวเจียวกล่าวอีกครั้ง จ้าวหรุ่ยพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เช่นนี้ได้หรือไม่?” หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ “ไม่เลวเลย” เมื่อมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งกำลังอมยิ้มจางๆ ขณะตักซุปให้ตัวเอง ความคิดของหลี่เฉินก็โลดแล่นขึ้นมา ตอนนี้จ้าวหรุ่ยและจ้าวชิงหลานได้แตกคอกันแล้ว นางจึงเอาความคิดและความใส่ใจทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเขา ดูเหมือนว่าคุณลักษณะการต่อสู้ในวังหลังจะถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้วประโยคเมื่อครู่ ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปรกติ แต่ค่อนข้างจะเน้นย้ำว่าวั่นเจียวเจียวจะต้องจดจำสถานะของตัวเองให้ดี และไม่ควรมีความคิดอื่นที่ไม่ควรมี จ้าวหรุ่ยกำลังมองหาการเปลี่ยนแปลงในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาง ในอนาคต เมื่อพระชายาที่แท้จริงแต่งเข้ามาในวัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีละครดีๆ ให้ชมกัน ถึงแม้ว่าซูจิ่นพ่าจะฉลาด แต่กลับมีนิสัยถือตัวแบบสุดโต่ง เมื่อเข้ามาอยู่ในกำแพงวังหลวง เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยที่คุ้นเคยกับกฎการเอาชีวิตรอดที่นี่มานานแล้ววันรุ่งขึ้น หลังจากที่จ้าวหรุ่ยลุกขึ้น เขาก็รับการปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าจากจ้าวหรุ่ยอย่างเกียจคร้าน เมื่อห
แต่สมาธิของคนเรามีจำกัดเมื่ออยู่ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้จนถึงช่วงบ่าย วั่นเจียวเจียวซึ่งตื่นตัวตลอดทั้งวัน จึงรู้สึกเหนื่อยมากจนแทบจะยืนไม่ไหวส่วนหลี่เฉินในตอนนี้กำลังตอบกลับสาส์นกราบทูลหลายฉบับที่รายงานว่าจ้าวเหอซานกำลังฆ่าคนอย่างสนุกสนาน หรือทำตัวกำเริบเสิบสาน เขายกมือขึ้นเพื่อหยิบถ้วยชา แต่กลับพบว่าถ้วยชานั้นว่างเปล่าหลี่เฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วหันหน้าไปมอง ก่อนจะเห็นวั่นเจียวเจียวกำลังยืนแตกสลายอยู่ข้างๆพูดกันตามตรง เห็นสาวงามถูกทรมานจนเป็นเช่นนี้ หลี่เฉินก็รู้สึกเก้อเขินอยู่ไม่น้อย “ต้องให้ข้าเตือนเจ้า เรื่องการรินชาอยู่หรือเปล่า?” รู้สึกอายมันก็อายอยู่หรอก แต่หลี่เฉินจะไม่ทำให้ตัวเองต้องรู้สึกแย่ วั่นเจียวเจียวรู้สึกตื่นตัวไปทั้งร่าง รีบเร่งรุดเข้ามารินชาให้หลี่เฉินหลังจากจิบชาไปสักพัก หลี่เฉินก็เหลือบมองวั่นเจียวเจียวซึ่งมีสีหน้าที่ตึงเครียดและวิตกกังวล ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็พูดว่า “ให้ใครสักคนนำชุดโต๊ะและเก้าอี้เข้ามาสิ เจ้านั่งทางขวามือ หากไม่มีสิ่งใดทำ ก็สามารถอ่านหนังสือบนชั้นหนังสือด้านหลังได้ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์และบทกวี ในเมื่อเจ้า
“นวดไหล่สิ”หลี่เฉินพูดอย่างเกียจคร้านวั่นเจียวเจียวเห็นหลี่เฉินหลับตา นางก็เดินอย่างระมัดระวังไปที่ด้านหลังของหลี่เฉิน ยกนิ้วเรียวงามขึ้นมา และเริ่มบีบไหล่ของหลี่เฉินเห็นได้ชัดว่าซานเป่าค่อนข้างจะโปรดปรานลูกสาวบุญธรรมคนนี้มาก เพราะทักษะการนวดของนางไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย “เมื่อเจ้ากลับบ้านไป ก็อย่าลืมบอกซานเป่าว่าข้าให้เจ้านวดไหล่ให้” หลี่เฉินพูดโพล่งออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทำให้วั่นเจียวเจียวสับสนเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มันสำคัญอย่างไรเมื่อเห็นวั่นเจียวเจียวไม่เข้าใจ หลี่เฉินจึงอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย “ในกรณีนี้ เขาจะไม่กล้าให้เจ้านวดเขาอีกต่อไป อันที่จริงจะพูดหรือไม่มันก็เหมือนกัน เจ้าอยู่ข้างกายข้า และซานเป่าก็เป็นคนฉลาด เขาจะไม่สั่งให้เจ้าทำอีกอย่างแน่นอน” วั่นเจียวเจียวก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลันนางพูดเสียงเบาว่า “บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ” ตอนนี้เองก็มีประกาศดังมาจากด้านนอก เป็นเฉินทงที่มาเมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลี่เฉิน เฉินทงก็ก้าวเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นวั่นเจียวเจียวกำลังนวดไหล่หลี่เ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดของเฉินทงก็ยังคงทำให้หลี่เฉินพอใจ“เมื่อวานข้าได้ยินจากซานเป่าบอกว่า เจ้าไปที่มณฑลซีซานเพื่อคุ้มกันจ้าวเหอซานด้วยตัวเอง?” เฉินทงรีบตอบ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อเช้านี้” “สถานการณ์ในมณฑลซีซานซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มาก อาจกล่าวได้ว่าสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นสูญเสียบทบาทไปแล้ว และผู้ที่เป็นขุนนางก็ถูกใช้โดยผู้ที่มีอำนาจในท้องถิ่น ส่วนคนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือประชาชน”“นอกจากนี้ขุนนางและพวกผู้มีอำนาจได้จัดตั้งกองกำลังขนาดใหญ่ขึ้น พวกเขาเลี้ยงดูข้ารับใช้ มิหนำซ้ำอาวุธชุดเกราะของข้ารับใช้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากองทัพเลย” “หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวมาถึงมณฑลซีซาน ก็ใช้มาตรการสูงเพื่อกดดัน ทำให้เกิดการตอบโต้หลายครั้งจากพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่น”“ในตอนแรกพวกผู้ดีกับขุนนางเหล่านั้นก็อดทน และพยายามจะติดสินบนใต้เท้าจ้าวให้เข้าร่วมด้วย แต่หลังจากที่ใต้เท้าจ้าวปฏิเสธสิ่งจูงใจทั้งหมด ทั้งยังสังหารขุนนางหลายคนที่มาติดสินบนเขา จากนั้นพวกผู้ดีและขุนนางในท้องถิ่นก็เริ่มตั้งกลุ่มกันขึ้นมา เพื่อต่อต้านใต้เท้าจ้าว" เห็นได้ชัดว่าในครั้งนี้
ภายในพระที่นั่งสีเจิ้ง ราวกับอำนาจมังกรที่อธิบายปลุกคลุมร่างกายของหลี่เฉิน ดังนั้นเมื่อเขายืนอยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับเทียนตี้เสด็จประพาส ยามพิโรธขึ้นมาแม้แต่ท้องฟ้าก็ต้องเปลี่ยนสี เฉินทงเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกของเขา เสียงดังตึกตักๆ นั่น ทำให้เขารู้สึกชาไปทั่วร่าง ใบหน้าพลันตึงเครียด เฉินทงคุกเข่าลงกลางห้องเสียงดังปึก “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วมีคนมาขอให้กระหม่อมส่งข้อความถึงฝ่าบาท”“พูดมา ใคร” น้ำเสียงของหลี่เฉินเริ่มเรียบเฉยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ดูไม่ออกว่ามีความสุขหรือว่าโกรธเคือง แต่กลับให้ความรู้สึกที่น่ากลัวซึ่งทำให้เฉินทงรู้สึกเหมือนกับว่ามีหนามแหลมทิ่มแทงที่หลัง ราวกับว่าในวินาทีถัดมา อาจจะมีหายนะหล่นใส่หัว “ตระกูลหลง เป็นตระกูลหลงแห่งซีซาน”น้ำเสียงของเฉินทงสั่นเทาและตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว เขาก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ตระกูลหลงในมณฑลซีซานมีประวัติย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งราชวงศ์นี้ บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถคนหนึ่งในการบัญชาของไท่จู ต่อมา เมื่อประเทศนี้ถูกก่อตั้ง บรรพบุรุษคนนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเฉิงหยางโหว มีศักดินาอย