จ้าวชิงหลานตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเสวียนจี ขณะที่เขาไล่สาวใช้ออกไป “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงมั่นใจนัก?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงขรึม “เดิมที ข้าจะส่งคนมาสังหารองค์ชายเก้าคืนนี้” “แต่ทันทีที่มาถึงพระที่นั่งข้าง คนของข้าก็บอกว่า เขายังไม่ทันจะได้ลงมือ องค์ชายเก้าก็สิ้นพระชมน์แล้ว” “ตอนแรก ข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาทนำหน้าข้าไปหนึ่งก้าว และต้องการจะวางอุบายใส่ข้า แต่ตลอดกระบวนการทั้งหมด เขาไม่พูดถึงเรื่องการติดตามฆาตกร และไม่มีความตั้งใจจะโยนเรื่องนี้ใส่ข้า สุดท้ายก็มอบเรื่องนี้ให้ศาลต้าหลี่กับสำนักคุมประพฤติไปสืบสวน ซึ่งสองกรมนี้ล้วนเป็นคนของข้า องค์รัชทายาทมีหรือจะไม่ทราบ?” “หากเขาต้องการใช้เรื่องนี้มาจัดการข้า เช่นนั้นการตัดสินแบบนี้ไม่ดูลวกๆ ไปหน่อยหรือ” คิ้วของจ้าวเสวียนจีขมวดลึก สีหน้าของเขาดูสงสัยเล็กน้อย “แต่ว่า ถ้าเช่นนั้นเป็นใครกันล่ะ?” “มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อถึงไม่ให้ข้าพูด” จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ก็มีบางอย่างผิดปรกติจริงๆ ด้วย” พูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงรายงานของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก “ฮองเฮา องค์ชายแปดขอเข้าเฝ้า
“ท่านราชเลขาต้องการองค์ชายสักองค์เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับองค์รัชทายาท ส่วนข้าก็ต้องการการสนับสนุนจากท่านราชเลขา”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูดว่า “ดังนั้นพวกเราจึงเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุด”จ้าวเสวียนจีส่ายหัวอย่างสบายๆ ก่อนจะพูดว่า “แค่นั้นยังไม่พอหรอก”“ในบรรดาองค์ชาย ไม่ได้มีแค่องค์ชายแปดเพียงพระองค์เดียว แต่ยังมีองค์ชายอีกสองพระองค์ แล้วเหตุใดกระหม่อมถึงต้องร่วมมือกับองค์ชายแปดด้วย?”หลี่อิ๋นหู่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา “มารดาผู้ให้กำเนิดของพวกเขายังอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น แต่ละคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง”“พี่สี่หมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้และการทหาร เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากนี้เขายังเป็นคนประมาทไม่รอบคอบ อีกทั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ฉิน พวกเราต่างก็เน้นไปที่วรรณกรรม และปราบปรามศิลปะการต่อสู้ พี่สี่อาจจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นแม่ทัพ และยังเป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นองค์จักรพรรดิ เพราะเหล่าบัณฑิตในใต้หล้าจะไม่เห็นด้วย”“ส่วนพี่หกก็ใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย วันทั้งวันก็เอาแต่ปลอมตัวไปเที่ยวเล่น ขึ้นเขาลงน้ำเตร็ดเตร่อยู่กับสาวงาม ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดแซ่เจิ้งนั้น เด
เฉินทงเบิกตากว้าง ความตกใจปรากฏบนใบหน้าหลี่เฉินก้มศีรษะลงเพื่อดื่มชาแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเป็นจ้าวเสวียนจี แต่ปฏิกิริยาของเขาไม่ถูกต้อง ถ้าเขาทำ เกรงว่าคืนนี้คงไม่ง่ายนักที่ข้าจะจัดการกับผลที่ตามมา แต่เห็นได้ชัดว่า การฆาตกรรมกะทันหันในครั้งนี้ ทำให้เขามือไม้ปั่นป่วนเพียงใด...บางทีเขาอาจจะเตรียมวางแผนสังหารองค์ชายเก้าเอาไว้แล้ว หรืออาจจะไม่ ใครจะรู้ แต่มันไม่สำคัญ”“ส่งคนฉลาดสองสามคนไปจับตาดูเจ้าแปดซะ”หลี่เฉินวางถ้วยชาลงแล้วพูดอย่างใจเย็น “สองคนนี้น่าจะร่วมมือกันแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า คงจะแสดงออกมาให้เห็น เรามารอดูกันเถอะ”เฉินทงกล่าวด้วยความเคารพ “กระหม่อมเข้าใจ.. นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง”“จ้าวเหอซานมาถึงเมืองหลวงในวันนี้ แต่มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทันทีที่จ้าวเหอซานมาถึงเมืองหลวง เขาก็ถูกกลุ่มอันธพาลโจมตี ถึงแม้ว่าจ้าวเหอซานจะรอดชีวิต แต่ภรรยาของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะเสียชีวิต องครักษ์เสื้อแพรกำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่ แต่มีพวกอันธพาลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกจับได้ จนถึงตอนนี้ก็ทราบแล้วว่า พวกเขาถูกจ้างวานมาฆ่าคน แต่เบาะแสเพิ่มเติมถูกกำจัดออกไปแล้ว ทำใ
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท”จ้าวเหอซานระงับความคิดของเขา และประสานมือกล่าวด้วยความเคารพหลี่เฉินโบกมือและพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “ท่านเป็นบิดาของหรุ่ยเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าตามกฎหมายแล้วจะไม่ถือว่าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน แต่ตอนนี้ข้ามีแค่หรุ่ยเอ๋อร์เท่านั้น และนางก็เป็นที่โปรดปรานของข้า ในฐานะบิดาของนาง หากเจ้าถูกลอบสังหาร ข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย”ขณะที่พูด หลี่เฉินก็เปิดรายงานลับบนโต๊ะ และอ่านข้อมูลของจ้าวเหอซานที่เขียนไว้อย่างละเอียด พลางกล่าวว่า “จ้าวเหอซาน เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของจ้าวเสวียนจี เครือญาติที่ใกล้ชิดลำดับที่ 5 สอบผ่านการสอบขุนนางและเป็นจิ้นซื่อในปีแรกของรัชสมัยจักรรพดิองค์ปัจจุบัน ในปีเดียวกันนั้นก็ได้เข้าสู่สำนักฮั่นหลินในฐานะบรรณาธิการ หนึ่งปีต่อมา ก็ถูกย้ายไปยังท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอไหวเหอ หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสามปี ผลงานของท่านก็ได้รับการประเมินจากกรมขุนนางว่าโดดเด่นเป็นเลิศ อยู่เหนือเหล่าจิ้นซื่อในปีเดียวกัน”“ต่อมา ได้รับยื่นเสนอขุนนางให้เลื่อนขั้นต่อราชสำนักโดยจ้าวเสวียนจี ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมขุนนางในขณะนั้น ท่านจึงรับหน้าที่เป็นทห
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวเหอซานพูดไม่ออกเขาเผยสีหน้าละอายใจออกมา และพูดว่า “ตัวกระหม่อมไม่รู้สึกเสียใจใดๆ คำพูดและการกระทำของท่านราชเลขา ก็ไม่ใช่การกระทำของขุนนางทั้งหมด แม้ว่าตัวกระหม่อมนั้นจะต่ำต้อย แต่ในใจยังคงมีความทะเยอทะยาน ในฐานะขุนนางกินเงินเดือนของราชา ต้องกังวลเรื่องของราชา หากไม่สามารถแบ่งเบาภาระได้ ก็ควรจะกลับบ้านเกิดไปเสีย...เพียงแต่ภรรยาและลูกสาวต้องพลอยลำบากไปด้วย จึงทำให้กระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจนัก”หลี่เฉินยิ้มและไม่พูดอะไรแน่นอนว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนี้หรอกหากจ้าวเหอซานมีกระดูกสันหลังพอ เขาควรจะลาออกโดยตรงเมื่อถูกลดตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเสวียนจีหรือองค์จักรพรรดิ ก็คงจะขวางเขาไม่ได้พูดตรงๆ อย่างที่จ้าวเหอซานตระหนักดีว่า เขาเป็นเพียงของใช้แล้วทิ้ง จ้าวเสวียนจีล้มเหลวในการลงทุนกับเขา ส่วนองค์จักรพรรดิก็แค่อยากจะกำจัดเครื่องมือของจ้าวเสวียนจีทิ้ง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สนใจเขามากนักอย่างไรก็ตาม คนที่เคยลิ้มรสในอำนาจ ย่อมรู้ดีกว่าคนที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมัน เมื่อได้ลองชิมแล้วก็รู้สึกมัวเมา และยากจะปล่อยมันไปจ้าวเหอซานไม่ใช่นักบุญ จึงไม่สามารถทนต่อรสชาติแห่งอำนาจได้บ
“นี่เป็นความอัปยศที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับจักรวรรดิต้าฉินของเราในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิทรงพิโรธมาก ทหารใหม่ก็สู้จนตัวตาย ทหารเก่าและผู้บัญชาการก็ถูกตัดศีรษะ เช่นเดียวกับรองเสนาบดีกรมยุทธนาการฝ่ายซ้ายและขวาที่ถูกตัดศีรษะด้วยเช่นกัน มีเพียงต้วนจิ่นเจียง เสนาบดีกรมยุทธนาการที่โชคดีรอดมาได้ ซึ่งตอนนี้จิ่นเจียงเป็นมหาอำมาตย์เหวินเก๋อในสำนักราชเลขา เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในราชสำนักที่เชี่ยวชาญความลับด้านการทหารทั้งหมด”จ้าวเหอซานหายใจเข้าและพูดต่อว่า “หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น เหยียนไจ้เต้าก็มีชื่อเสียงขึ้นมา ข่านของอาณาจักรเหลียว เย่ลู่อาเปา จึงแต่งตั้งให้เขากลายเป็นอัครมหาเสนาบดี”“เหยียนไจ้เต้ารับหน้าที่เป็นอัครมหาเสนาบดี และกุมอำนาจทางการทหารของอาณาจักรเหลียว จักรวรรดิต้าฉินของพวกเราพยายามโจมตีอาณาจักรเหลียว ต่อสู้ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง โดยมีกำลังพลมากกว่า 200,000 นาย และมีค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่กลับไม่ได้รับชัยชนะ!”“ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพจึงตกต่ำลง เสียงเรียกร้องให้ยุติสงครามและสร้างสันติภาพในราชสำนักก็แข็งแกร่งขึ้น และบารมีของกองทัพก็เสื่อมถอยลงอย่างสิ้นเชิง”“ราช
เฉินทงตอบกลับอย่างไม่ลังเลว่า “ต้วนจิ่นเจียงผู้นี้มักจะถ่อมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เข้ามาในสำนักราชเลขาแล้ว เขาก็แทบจะไม่มีปากมีเสียง เรื่องส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวเสวียนจี”“เขาใช้ชีวิตอย่างสันโดษในวันธรรมดา งานอดิเรกที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือ การสะสมตำราทหารและการเขียนพู่กันของผู้ที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับยักษ์ใหญ่ในวงการวรรณกรรมอย่างท่านจิ้งจือ ซึ่งทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉินทงก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ และพูดต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม บุตรชายของต้วนจิ่นเจียง ต้วนจั่งเหมียนเป็นลูกผู้ดีที่เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่าบาททรงมีพระราชดำสั่งให้กระหม่อมจับตาดูทูตเสียนเฉาอย่างใกล้ชิด พวกเราจึงรู้ว่าหลังจากที่ต้วนจั่งเหมียนได้พบกับองค์หญิงเสียนเฉา อีกฝ่ายก็ตกหลุมรักนางจนโงหัวไม่ขึ้น แทบจะตอบรับทุกคำขอของนางเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับนางทุกวัน และเพราะเขา องค์หญิงเสียนเฉาจึงไปเยือนที่จวนต้วนหลายครั้ง ซึ่งต้วนจิ่นเจียงก็ไม่ปฏิเสธ และยังต้อนรับเสมอ”หลี่เฉินหรี่ตาลงแล้วก็ยืนขึ้น
เมื่อคนเหล่านี้เห็นว่าเป็นคุณชายต้วนที่ถูกโยนออกมา ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ราวกับเห็นขงจื้อกลับชาติมาเกิดใหม่ ต้วนจั่งเหมียนลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้สึกอับอายชั่วชีวิตนี้ เขาไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อนจู่ๆ ชายหนุ่มที่ไม่ทราบที่มาก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่เขาจะได้ตำหนิ ชายคนนั้นก็ให้ลูกสมุนที่อยู่ด้านหลังโยนเขาออกมา ความอัปยศเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของต้วนจั่งเหมียนแดงก่ำด้วยความแค้นเขายืนขึ้นและกำลังจะกลับเข้าไปใหม่ แต่กลับเห็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าไร้อารมณ์เดินออกมาขวางไว้ “ไอ้บ่าวสุนัข ไสหัวไปซะ!” ต้วนจั่งเหมียนตะคอกเฉินทงยิ้มกว้าง นึกถึงคำสั่งที่องค์รัชทายาทสั่งไว้ในใจ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายข้าบอกว่า ถ้าเจ้ารู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ก็ให้รีบออกไปจากที่นี่ซะ แต่ถ้าไม่รู้...”“แล้วถ้าไม่รู้ คุณชายเจ้าจะทำยังไงกับข้าล่ะ!?”ต้วนจั่งเหมียนโกรธจัด ไม่เคยมีใครพูดจาข่มขู่เขาเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาจะถูกคนอื่นข่มขู่ตอนนี้เอง แผนการชั่วร้ายนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลออกมา เขากำลัง