หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำเอาพนิดาไม่ค่อยกล้าหลับได้เต็มตานัก เพราะดึกๆมาปริญก็ยังคงขยับขลุกขลัก แถมยังมีการดึงเธอให้ขึ้นไปนอนซบอยู่บนหน้าอกเขาอีกต่างหาก แม้ว่าพนิดาจะพยายามขยับหนีแล้วแต่ก็ยังถูกคนเมาลากกลับเข้าไปกอดไว้อีกจนได้ แม้จะอยากขืนตัวไว้แต่เธอก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ซึ่งหลังจากนั้นมันกลับมีความรู้สึกสุขใจขึ้นมาอย่างประหลาด
วันนี้พนิดารีบตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมมื้อเช้าให้กับทุกคน พอลงมาก็พบว่าอิทธิพลนั้นตื่นแล้วและดูเหมือนว่าเขาพึ่งจะกลับเข้ามาจากข้างนอก
"มอนิ่งครับน้องพาย"
"มอนิ่งค่ะพี่อิท ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"
"ครับ เห็นว่ากาศดีพี่เลยลองออกไปวิ่งดูแถวๆนี้มา เผื่อว่าอีกหน่อยจะย้ายมาอยู่แถวนี้บ้าง" อิทธิพลพูดยิ้มๆราวกับจะสื่อความหมาย
"ไม่หนาวหรอคะ" พนิดาถามเมื่อเห็นว่าอิทธิพลสวมใส่เพียงแค่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น
"ก็เย็นๆนะครับ แต่พอวิ่งไปเหงื่ออกก็ไม่หนาวแล้ว เอาจริงๆพี่ว่าที่ชอบที่นี่นะ อากาศดีมากๆ ถึงได้อยากมาทำโฮมสเตย์กับไอ้ปริ้นมัน แล้วจะได้ถือโอกาสได้มาอยู่ที่นี่ด้วย ยิ่งได้มาลองอยู่ดูแล้วพี่ว่าพี่น่าจะชอบที่นี่จริงๆแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะมาได้เพียงแค่วันเดียวก็เถอะ ทั้งอาหารการกินและผู้คน โดยเฉพาะกับข้าวฝีมือพาย " อิทธิพลส่งยิ้มให้มาอีกแล้ว ทำไมเขาถึงได้ขยันส่งยิ้มจัง ดูท่าทางแล้วเขาคงจะเป็นคนที่ปกติมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ดีละมั้ง เพราะพนิดาเห็นว่าเขาเอะอะก็ยิ้มๆ
"เช้านี้อยากทานอะไรคะ อเมริกันเบรคฟัสหรือว่าข้าวต้มหมูสับ"
"แน่นอนครับว่าต้องเป็นข้าวต้มร้อนๆดีกว่าอยู่แล้ว อเมริกันเบรคฟัสพี่ไปหากินที่ไหนก็ได้ แต่กับข้าวฝีมือพาย ต้องรีบตักตวง" ว่าแล้วก็อดที่จะเห็นเขาส่งยิ้มมาให้อีกไม่ได้
"ปกติพี่อิทเป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้ตลอดหรอคะ พายเห็นเอะอะๆพี่ก็ยิ้ม" พอได้ยินคำถามของคนตรงหน้าอิทธิพลก็ขำออกมาเล็กน้อยเพราะข้อสงสัยของเธอ
"เปล่านี่ครับ จริงๆแล้วพี่ก็เป็นคนปกติธรรมดานี่แหละ มีทั้งโกรธ ทั้งโมโหเหมือนคนทั่วไป แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับพายพี่ถึงไม่เคยนึกอยากจะโกรธอยากจะโมโหอะไรเลย" อิทธิพลส่ายหน้ายักไหล่ก่อนจะผายมือแบออกทั้งสองข้าง
"งั้นสงสัยพี่อิทคงต้องมีพายไว้ข้างๆตัวแล้วล่ะค่ะ จะได้อารมณ์ดีตลอด" พนิดาหัวเราะออกมา
"ก็ถ้าพายจะอนุญาตให้พี่ทำตัวติดแหมะอยู่ด้วยตลอดพี่ก็ไม่ซีนะ งั้นพี่ว่าเริ่มจากตอนนี้เลยแล้วกัน พายจะทำข้าวต้มหมูสับไม่ใช่หรอ ไปสิเดี๋ยวพี่ช่วยเป็นลูกมือ"
"เอาแบบนั้นจริงๆหรอคะพี่อิท พายว่าพี่อิทนั่งรอข้างนอกก็ได้นะคะ" พนิดาทำท่าจะขัดเพราะเห็นว่ายังไงเสียอิทธิพลก็เป็นแขก
"ไปเถอะน่าไม่ต้องเกรงใจ เพราะพี่เต็มใจ" ว่าแล้วจึงถือโอกาสดึงแขนพนิดาให้ตามเข้าไปในครัว พนิดาเองก็ปล่อยให้เขาดึงแขนเธอตามเข้าไปอย่างที่ไม่สามารถที่จะทันขัดได้ พนิดาคิดว่าอิทธิพลน่าจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายละมั้ง เพราะขนาดเธออยู่ด้วยแค่วันเดียวเธอยังรู้สึกสนิทใจกับเขาได้มากขนาดนี้
"อาทิตย์หน้าที่นี่จะมีงานเทศกาลส้มหวานพี่อิทมาเที่ยวมั้ยคะ"
"พายชวนพี่หรอ"
"ชวนสิคะ ที่ไร่ของเราปีนี้มีสินค้ามาขายมากมายหลายอย่าง ถ้าพี่อิทมาเผื่อจะได้มาช่วยเหมาไปบ้าง" พนิดาหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นว่าอิทธิพลกำลังอ้าปากค้างตะลึงกับความคิดของเธอ
"ก็ได้สิ ไม่มีปัญหา งั้นพี่ถือว่าพายชวนพี่แล้วนะ" อิทธิพลถือเอาคำชวนนี้ไว้เป็นคำมั่นสัญญาก่อนจะลงมือช่วยพนิดาเตรียมทำอาหาร ระหว่างนั้นยังมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
"เสร็จแล้วค่ะ พี่อิทลองชิมสิคะว่าอร่อยหรือยัง" พนิดาตักน้ำซุปในหม้อใส่ช้อนยื่นให้อิทธิพลเพื่อลองชิม หากแต่ว่าเขากลับไม่รับช้อนไป แต่กลับยื่นหน้าก้มลงมาชิมจากช้อนที่เธอถือเอาไว้แทนจนกลายเป็นว่าพนิดาเป็นฝ่ายป้อนเขากลายๆ
"อร่อยครับ" อิทธิพลพอชิมเสร็จก็หันขึ้นมามองพนิดาพร้อมกับส่งยิ้มให้ สายตาของเขาที่ส่งมาทำเอาพนิดาเริ่มรู้สึกเกร็งๆเหมือนกัน และระหว่างที่ทั้งสองคนยังคงช่วยกันชิมอยู่นั้นจึงยังไม่ทันเห็นว่าที่หน้าประตูครัวมีปริญนั้นยืนมองอยู่สักพักแล้วจนกระทั่งอิทธิพลหันไปเห็น
"อ้าวปริ้น ตื่นแล้วหรอวะ" พอพนิดาหันไปมองตามอิทธิพลหัวใจเธอก็เต้นไม่เป็นจัวหวะขึ้นมา เนื่องจากว่าพอเห็นหน้าเขาก็ดันนึกเลยไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้หรือเปล่าหรือว่าเขาคงจะเมามากถึงได้ทำอะไรแบบนั้นกับเธอไป
"อื้ม เมื่อคืนคงจะดื่มเยอะไปหน่อย เช้านี้ก็เลยมึนๆว่ะ" ปริญเดินเลยเข้ามาในครัวแล้วตรงไปยังตู้เย็นเพื่อหยิบเหยือกน้ำมาเทใส่แล้วดื่ม
"พอดีเลย กูกับพายช่วยกันทำข้าวต้มเสร็จแล้ว ซดน้ำข้าวต้มร้อนๆคงจะดีขึ้น"
'กูกับพาย' ปริญรู้สึกสะดุดหูกับคำพูดของเพื่อนสนิทตัวเองเมื่อสักครู่ว่าทำไมฟังแล้วมันดูแปลกๆ เช้านี้เขาตื่นมาด้วยอาการปวดหัวมึนๆ คงน่าจะแฮงค์จากการดื่มเมื่อคืน พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยและหัวเราะกันเสียงดังคิกคักมาจากข้างล่าง เขาจำโทนเสียงการคุยของอิทธิพลได้ ส่วนเสียงหัวเราะนั้น ใช่ เป็นพนิดาเอง
ข้าวต้มร้อนๆถูกตักยกขึ้นมาวางบนโต๊ะทั้งสามที่จากนั้นทั้งสามคนจึงนั่งลงพร้อมกัน โต๊ะทานข้าวของบ้านหลังนี้เป็นเพียงโต๊ะสำหรับทานอาหารขนาดเล็ก มีเพียงแค่สี่ที่นั่ง ฝั่งละสองหันหน้าชนกัน ปริญจำได้ว่าเมื่อวานตอนเย็นที่นั่งทานข้าวด้วยกันเขาและอิทธิพลนั่งหันหน้าชนกันส่วนพนิดานั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขา แต่ตอนนี้กลับเป็นว่าพนิดาและอิทธิพลนั้นนั่งหันหน้าเข้าหากันแทนและดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทของเขานั้นดูจะมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกับ 'ภรรยาในนาม' ของเขาเสียเหลือเกิน
"เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกูไปส่งมึงสนามบินเลยแล้วกัน" ปริญพูดขัดจังหวะขึ้นเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นยังคงคุยกันอย่างถูกคอ ซึ่งดูๆไปแล้วน่าหมั่นไส้นัก ผู้หญิงอะไรทำตัวสนิทกับผู้ชายคนอื่นง่ายไปหมด
"อ้าวทำไมวะ ไฟล์ทกูมีตอนบ่ายมึงจะรีบไปเพื่อ"
"เดี๋ยวตอนบ่ายกูไม่ว่าง ส่งมึงเสร็จแล้วว่าจะเข้าไปทำธุระในเมืองต่อเลย มีนัด" ปริญตอบแบบตึงๆ
"นั่นแน่ ไปหาญดาอีกล่ะสิมึงอ่ะ" ทันทีที่อิทธิพลพูดออกมา รอยยิ้มอันสดใสของพนิดาก็จางหายไป ปริญหันไปมองหน้าหญิงสาวเพียงแค่เสี้ยววินาทีแล้วจึงหันมาตักข้าวต้มเข้าปากตัวเองต่อโดยไม่ได้สนใจที่จะตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของเพื่อนสนิทตัวเองเลย แถมยังคงปล่อยให้มันคาใจเป็นข้อสงสัยสำหรับพนิดาต่อไป
หลังจากที่ทานมื้อเช้ากันเสร็จ อิทธิพลก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเก็บกระเป๋า ขณะที่พนิดายืนเก็บของเพื่อเอาจานมาล้างอยู่ จู่ๆปริญก็เดินเข้ามายืนพิงกอดอกอยู่ที่ประตูทางเข้าครัว
"คุยอะไรกับไอ้อิทนักหนา" คิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากัน
"ก็คุยไปเรื่อยเปื่อยค่ะ พี่อิทเป็นนคนคุยสนุก" พนิดาตอบเพียงสั้นๆ พยายามปรับสีหน้าให้ยิ้มออกมาทั้งๆที่ในใจเธอกำลังรู้สึกแปลบๆ
"คงสนุกมากสินะ ถึงได้ยินเสียงหัวเราะจนดังขึ้นไปถึงข้างบน" พนิดาหยุดล้างจานก่อนจะหันมามองหน้าเขาก็พบว่ามันดูเครียดๆอยู่ คงเป็นเหตุผลนี้สินะที่เขาตื่นมาตั้งแต่เช้าพนิดายังไม่เห็นเขายิ้มเลย เธอและอิทธิพลคงจะคุยกันเสียงดังจนไปปลุกให้เขาตื่น
ขณะที่อิทธิพลขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวข้างบนยังไม่ลงมา ปริญที่แต่งตัวเสร็จแล้วตั้งแต่ทีแรกก็นั่งกดโทรศัพท์มือถือรออยู่ที่โซฟาหน้าโต๊ะทีวีด้วยท่าทางเบื่อๆ เซ็งๆ เหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของเขาจนไม่สามรถลบมันออกได้ทั้งๆที่กำลังพยายามอยู่"เย็นนี้พี่ปริ้นจะกลับมาทานข้าวที่บ้านหรือเปล่าคะ พายจะได้ทำอาหารไว้รอ""ไม่ต้อง เธอทำกินเองได้เลย" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่สีหน้าและแววตาดูมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พนิดาอดที่จะเป็นกังวลไปด้วยไม่ได้"จะกลับดึกหรือเปล่าคะ แล้วกลับกี่โมงพายจะได้..."ยังไม่ทันที่พนิดาจะได้พูดจบแต่ก็ถูกปริญตัดจบเสียก่อน"เธอไม่ใช่เมียฉันนะพนิดา ไม่ต้องมาทำเป็นนั่งซักไซ้ไล่เรียงว่าฉันจะกลับบ้านตอนไหนแล้วกลับกี่โมงกี่ยาม" ขณะที่ยังเคลียร์สิ่งที่คั่งค้างอยู่ภายในใจไม่ได้ จึงทำให้ปริญเผลอตอบออกไปด้วยความหงุดหงิดจนคนที่ฟังนั้นเกิดความร้อนผะผ่าวที่บริเวณหน่วยตาแต่ก็ต้องพยายามที่จะข่มความรู้สึกเอาไว้ เธอไม่ใช่เมียเขา ใช่สิ เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่เขาจำใจต้องเเต่งงานด้วยก็เพราะและเพื่อผลประโยชน์ จะมามีสิทธิ์มีเสียงอะไรได้ ส่วนเรื่องที่เราจูบกันเมื่อคืน มันก็คงจะเป็นเพียงแค่อ
วันนี้พนิดาตื่นเช้ามาเธอพบว่าเมื่อคืนปริญไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน เขาคงจะไปค้างคืนกับแฟนของเขาจริงๆ วินาทีนี้เธอรู้แล้วว่าเธออยากร้องไห้ สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังตอกย้ำความรู้สึกของเธอว่ามันใช่ เธอกำลัง'หลงรัก'เขามันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ความรู้สึกพวกนี้ เกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไหร่ ทั้งๆที่คิดว่าระแวงระวังหัวใจตัวเองดีแล้วแท้ๆ ไม่น่าเลยพนิดา เธอไม่น่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นเลยพนิดาแต่งตัวเสร็จก็เดินไปที่เรือนคุณย่าบัวหลัน เมื่อวานท่านบอกว่าเก้าโมงเช้านายอำเภอทินกรจะเข้ามาพูดคุยกับท่านเรื่องซุ้มขายของของไร่ส้มแสนสุข พอพนิดาเดินไปถึงก็พบว่ารถของนายอำเภอทินกรได้จอดรออยู่ที่หน้าเรือนของคุณย่าบัวหลันก่อนแล้ว"อ้าวมาแล้วหรอลูก พาย" คุณย่าบัวหลันเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าพนิดาโพล่หน้าขึ้นเรือนมา"ค่ะย่าบัว" พนิดาเดินเข้าไปใกล้ๆและเข้าไปนั่งลงตรงข้างของคุณย่าบัวหลันโดยมีนายอำเภอทินกรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม"สวัสดีค่ะท่านนายอำเภอ""เรียกนายอำเภอตามคุณย่าบัวหลันอีกแล้วนะครับพาย แบบนี้ผมก็ดูแก่หมดพอดี" นายอำเภอทินกรมีแอบเหล่มอง ทั้งพนิดาคุณย่าบัวหลันต่างก็พากันหัวเราะในท่าทีของนายอำเภอหนุ่ม"เรียกคุณกรก็ได้ค่า" พน
หลังจากที่รู้ว่าพนิดาออกไปข้างนอกกับผู้ชายคนอื่น ปริญก็ขอตัวผู้เป็นย่ากลับมาบ้านทันที เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้เป็นย่าถึงได้ปล่อยให้หลานสะใภ้ของตัวเองออกไปกับผู้ชายคนอื่นได้ นี่ย่าเขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะพูดไม่ดีลับหลังเอาหรอกหรือถึงแม้ว่าเขากับพนิดาจะแต่งงานกันแค่ปลอมๆ แต่คนที่ไม่รู้ก็อาจจะว่าเอาได้ เรื่องนี้มีแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ถ้าพนิดากลับมาเขาคงจะต้องตกลงกับเธอสักหน่อยว่าระหว่างที่เธอและเขายังคงสถานะสามีภรรยากันอยู่ พนิดาไม่ควรที่จะไปไหนมาไหนกับใคร เพราะเขาไม่ต้องการให้มันเสื่อมเสียชื่อเสียงมาจนถึงวงศ์ตระกูล"ทำไมคุณย่าถึงปล่อยให้หลานสะใภ้ตัวเองออกไปกับผู้ชายคนอื่นแบบนั้นล่ะครับ ไม่กลัวว่าคนจะนินทาลับหลังเอาได้หรอครับว่าหลานสะใภ้สุดที่รักของคุณย่าไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่สามีตัวเอง""นายอำเภอทินกรเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ย่ากับพายก็รู้จักมาหลายปีก็ไม่เห็นว่าเขาจะเคยทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร""พนิดากับนายอำเภอนั่นรู้จักกันมาหลายปีแล้วหรอครับ""ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่สี่ห้าปีก่อนที่นายอำเภอพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่ๆโน่นล่ะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเจอกันบ่อยเท่าไหร่เพราะว่าตอนนั้นพายก็ยังเรียน
'อะไรนะครับพ่อ แต่งงาน!!''ใช่ ถ้าแกอยากให้ย่าแกยกที่ดินผืนนั้นให้จริงๆละก็ แกต้องแต่งงานกับคนที่ย่าแกหาให้แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี 'นี่มันเรื่องพล็อตเรื่องในนิยายน้ำเน่าชัดๆ ปริญไม่คิดเลยว่ามันจะมาเกิดขึ้นกับเขาในชีวิตจริงหลังจากได้รับรู้ความประสงค์ของผู้เป็นย่าแล้วใบหน้าอันหล่อเหลาก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนเป็นปมก่อนจะเริ่มสืบเสาะหาข้อมูลว่าผู้หญิงที่ผู้เป็นย่าต้องการให้ตนแต่งงานด้วยนั้นเป็นใคร และคนที่ปริญเห็นว่าน่าจะมีข้อมูลในที่นี้มากที่สุดก็น่าจะเป็น ปุณภพ พี่ชายของเขาผู้ซึ่งไปมาหาสู่ผู้เป็นย่าสม่ำเสมอ และเขาคิดว่ายังไงเสียผู้เป็นย่าก็จะต้องเอาเรื่องนี้มาปรึกษาผู้เป็นพี่ชายของเขาด้วยอย่างแน่นอน"พี่ปุณ นี่ตกลงคุณย่าจะให้ผมแต่งงานกับใครพี่รู้ใช่มั้ยครับ" เรือนร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นน้องที่เวลานี้กำลังนั่งหน้านิ่วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นและสายตานั้นยังคงเพ่งมองมาทางที่พี่ชายซึ่งนั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานด้วยใบหน้ากึ่งอมยิ้ม"ยิ้มแบบนี้นี่แปลว่ารู้?" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ยอมตอบ ปริญเองก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงที่ทางมันก็
หลังจากที่คิดแล้วว่าไม่มีทางที่จะปฏิเสธผู้เป็นย่าหรือว่าคิดหาหนทางอื่นที่จะทำให้เขาได้ที่ดินตรงนั้นมาโดยไม่ต้องแต่งงานไม่ได้ ปริญจึงต้องแบกหน้าขมึงตึงไปเชียงใหม่ ไม่แน่ว่าถ้าเขาได้มาพูดคุยกับผู้เป็นย่าด้วยตัวเอง บางทีมันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือให้มันง่ายขึ้นมาได้บ้างขายาวๆก้าวขึ้นบันไดไม้สักขัดเงาไปทีละขั้น บ้านไม้สักทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ขึ้นไปด้านบนเป็นระเบียงรับแขกขนาดกว้างขวางซึ่งวิวทิวทัศน์ด้านหน้าคือไร่ส้มสายน้ำผึ้งที่ทอดตัวยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ปริญเคยอยู่อาศัยที่นี่ในตอนเด็กๆ แต่พอตั้งแต่มารดาขอเลิกรากับบิดาไปเพราะทนความเจ้าชู้ไม่ไหว เขาและพี่ชายจึงถูกมารดาพาไปอยู่บ้านที่กรุงเทพตั้งแต่นั้นมา ซึ่งในขณะนั้นปุณภพมีอายุเพียงแค่เก้าขวบและตัวเขาเองพึ่งจะเจ็ดขวบ และตั้งแต่นั้นเขาและพี่ชายก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะได้มาที่นี่อีกสักเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุผลที่ว่ามารดาไม่อยากที่จะมาเจอหน้าอดีตสามีให้เจ็บช้ำน้ำใจ จะมีเพียงก็แต่ผู้เป็นย่าที่มักจะลงไปเยี่ยมหาเขาและพี่ชายอยู่เสมอ ด้วยความที่ว่ายังรักและเอ็นดูอดีตสะใภ้คนนี้และคิดถึงหลานๆ จนบางครั้งก็ลงไปอยู่ด้วยเป็นเดือนๆจึงทำให
พอสองย่าหลานได้ทักทายพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอแล้วฝ่ายผู้เป็นย่าก็ไม่รอช้า เลือกที่จะเข้าประเด็นถามถึงเรื่องที่ทำให้พ่อหลานตัวดีต้องถ่อมาถึงที่นี่ทันที"ตกลงว่ายังไงเรื่องที่ย่าเสนอไป""โถ่คุณย่าครับ มันไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆหรอครับ" ปริญทำหน้าหงอยลงทันควันราวกับเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมตามใจเรื่องของเล่น "ไม่มี วิธีที่ย่าเสนอไปคือวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้แกได้ที่ดินผืนนั้นไปครอง ถ้าไม่ แกก็อด แล้วย่าก็จะขายมันให้กับพ่อเลี้ยงภูชัยที่อยู่ไร่ติดๆกันด้วย เห็นเขาก็ว่าอยากได้ไปทำรีสอร์ทเพราะว่าตรงนั้นมันวิวดีมีลำธารไหลผ่าน" พอได้ยินดังนั้นปริญก็ยิ่งตกใจจนอ้าปากค้างรีบกระเถิบชิดเข้ามาใกล้ก่อนจะเข้าไปกอดแขนผู้เป็นย่าเอาไว้"ไม่ได้นะครับคุณย่า ที่ตรงนั้นปริ้นอยากได้มาตั้งนานแล้ว คุณย่าจะมาขายให้คนอื่นตัดหน้าแบบนี้ไม่ได้นะครับ" ปริญอ้อนเสียงอ่อน"ถ้าอย่างงั้นแกก็ต้องยอมแต่งงานกับคนที่ย่าหาให้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น เพราะถ้าแกทำได้ ที่ดินก็จะเป็นของแกทันที แต่ถ้าไม่...แกก็คงรู้นะว่ามันจะเป็นอย่างไร"หญิงชรายื่นคำขาดในขณะที่สีหน้าปริญนั้นดูราวกับว่าลำบากใจนักหนา แม้แต่ผู้เป็นย่าซึ่งเป็นคนยื่นข้อเส
เมื่อคำตอบถูกเฉลยแล้ว ปริญก็นั่งทานข้าวเงียบๆแม้ว่าอาหารจะอร่อยถูกปากทุกอย่างก็ตาม แต่ตอนนี้ในหัวเขากำลังคิดประมวลผลถึงเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในชีวิตเขาขณะนี้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า ว่าที่เจ้าสาวของเขาที่ผู้เป็นย่าต้องการอยากจะให้เขาแต่งงานด้วย ถามว่าสวยมั้ย ใบหน้ารูปไข่ชวนมอง สองแก้มแดง ริมฝีปากอมชมพูระเรื่อ บวกกับดวงตากลมโต จมูกโด่งสวยได้รูปแถมยังมีลักยิ้มที่แก้มบุ๋มทั้งสองข้าง ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คงจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ถ้าผู้ชายเห็นก็คงอยากมองจนเหลียวหลังคนหนึ่งแต่!! การที่เราจะรู้สึกดีกับใครสักคนจนถึงขั้นอยากใช้ชีวิตด้วยหรือจนถึงขั้นคิดไปถึงเรื่องแต่งงานนั้นมันก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่เจอหน้ากันแล้วจะให้มาแต่งงานอยู่ด้วยกันเลยมันคงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งตอนนี้เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว อยู่ดีๆผู้เป็นย่าจะมาบอกให้เขาไปแต่งงานกับผู้หญิงที่พึ่งเจอหน้ากัน มันจะเป็นไปได้อย่างไร"อิ่มแล้วหรอลูก ปริ้น" คุณย่าบัวหลันถามหลานชายดูเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มวางรวบช้อนและซ้อมเข้าด้วยกันแล้วยกแก้วน้ำดื่มตาม"ครับคุณย่า""แล้วตกลงเรื่องที่เราพึ่งคุยกัน ปริ้นตกลงว่ายังไง" แม้ว่าจะเป็นห่วงความรู้สึกของหลานชาย แต
หลังจากการเจรจาต่อรองนั้นไม่เป็นผล ปริญก็ไม่อยากที่จะอยู่ที่นั่นต่อเพราะรู้ว่าอยู่ไปก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เนื่องจากว่าคนที่เขาหวังว่าจะเป็นตัวช่วยที่จะพูดกล่อมให้ผู้เป็นย่าของเขานั้นเปลี่ยนใจกลับไม่ให้ความร่วมมือเสียอย่างนั้น ปริญจึงตัดสินใจบินกลับมากรุงเทพทันทีแม้ว่าผู้เป็นย่าจะขอให้เขาอยู่ต่ออีกสักวันสองวันตั้งแต่ที่เริ่มเทียวไล้เที่ยวขื่อตั้งหน้าตั้งตาจีบ ญานิศามา ทุกวันนี้เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็พัฒนาไปไกลจนน่าจะสามารถเรียกได้ว่าแอบซุ่มคบกันอยู่ เธอยอมที่จะเปิดใจ ยอมไปไหนมาไหนกับเขา จะมีก็แค่อาจจะต้องคอยหลบคอยซ่อนบ้างเพื่อไม่ให้กระทบกับงานของเธอแต่เขาก็เข้าใจดีหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายวัน เช้าวันนี้ปริญจึงเลือกที่จะขับรถมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดทางภาคตะวันออกที่ติดทะเล ซึ่งเป็นที่ๆหัวใจเขาร่ำร้องว่าอยากจะไปให้พบหน้าคนที่เขาคิดถึงหาอยู่ทุกคืนวันพอมาถึงจุดที่ตั้งที่กองถ่ายทำละครตั้งอยู่ ปริญก็เลือกที่จะจอดรถอยู่ที่ใต้ต้นไม้ห่างออกมาช่วงระยะหนึ่ง เขาจอดรอได้ไม่ถึงสิบนาทีประตูรถทางฝั่งซ้ายมือก็ถูกเปิดออก"รอนานมั้ยคะปริ้น ญดาพึ่งถ่ายหมดซีนไปเมื่อกี้เองค่ะ"
หลังจากที่รู้ว่าพนิดาออกไปข้างนอกกับผู้ชายคนอื่น ปริญก็ขอตัวผู้เป็นย่ากลับมาบ้านทันที เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้เป็นย่าถึงได้ปล่อยให้หลานสะใภ้ของตัวเองออกไปกับผู้ชายคนอื่นได้ นี่ย่าเขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะพูดไม่ดีลับหลังเอาหรอกหรือถึงแม้ว่าเขากับพนิดาจะแต่งงานกันแค่ปลอมๆ แต่คนที่ไม่รู้ก็อาจจะว่าเอาได้ เรื่องนี้มีแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ถ้าพนิดากลับมาเขาคงจะต้องตกลงกับเธอสักหน่อยว่าระหว่างที่เธอและเขายังคงสถานะสามีภรรยากันอยู่ พนิดาไม่ควรที่จะไปไหนมาไหนกับใคร เพราะเขาไม่ต้องการให้มันเสื่อมเสียชื่อเสียงมาจนถึงวงศ์ตระกูล"ทำไมคุณย่าถึงปล่อยให้หลานสะใภ้ตัวเองออกไปกับผู้ชายคนอื่นแบบนั้นล่ะครับ ไม่กลัวว่าคนจะนินทาลับหลังเอาได้หรอครับว่าหลานสะใภ้สุดที่รักของคุณย่าไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่สามีตัวเอง""นายอำเภอทินกรเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ย่ากับพายก็รู้จักมาหลายปีก็ไม่เห็นว่าเขาจะเคยทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร""พนิดากับนายอำเภอนั่นรู้จักกันมาหลายปีแล้วหรอครับ""ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่สี่ห้าปีก่อนที่นายอำเภอพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่ๆโน่นล่ะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเจอกันบ่อยเท่าไหร่เพราะว่าตอนนั้นพายก็ยังเรียน
วันนี้พนิดาตื่นเช้ามาเธอพบว่าเมื่อคืนปริญไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน เขาคงจะไปค้างคืนกับแฟนของเขาจริงๆ วินาทีนี้เธอรู้แล้วว่าเธออยากร้องไห้ สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังตอกย้ำความรู้สึกของเธอว่ามันใช่ เธอกำลัง'หลงรัก'เขามันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ความรู้สึกพวกนี้ เกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไหร่ ทั้งๆที่คิดว่าระแวงระวังหัวใจตัวเองดีแล้วแท้ๆ ไม่น่าเลยพนิดา เธอไม่น่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นเลยพนิดาแต่งตัวเสร็จก็เดินไปที่เรือนคุณย่าบัวหลัน เมื่อวานท่านบอกว่าเก้าโมงเช้านายอำเภอทินกรจะเข้ามาพูดคุยกับท่านเรื่องซุ้มขายของของไร่ส้มแสนสุข พอพนิดาเดินไปถึงก็พบว่ารถของนายอำเภอทินกรได้จอดรออยู่ที่หน้าเรือนของคุณย่าบัวหลันก่อนแล้ว"อ้าวมาแล้วหรอลูก พาย" คุณย่าบัวหลันเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าพนิดาโพล่หน้าขึ้นเรือนมา"ค่ะย่าบัว" พนิดาเดินเข้าไปใกล้ๆและเข้าไปนั่งลงตรงข้างของคุณย่าบัวหลันโดยมีนายอำเภอทินกรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม"สวัสดีค่ะท่านนายอำเภอ""เรียกนายอำเภอตามคุณย่าบัวหลันอีกแล้วนะครับพาย แบบนี้ผมก็ดูแก่หมดพอดี" นายอำเภอทินกรมีแอบเหล่มอง ทั้งพนิดาคุณย่าบัวหลันต่างก็พากันหัวเราะในท่าทีของนายอำเภอหนุ่ม"เรียกคุณกรก็ได้ค่า" พน
ขณะที่อิทธิพลขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวข้างบนยังไม่ลงมา ปริญที่แต่งตัวเสร็จแล้วตั้งแต่ทีแรกก็นั่งกดโทรศัพท์มือถือรออยู่ที่โซฟาหน้าโต๊ะทีวีด้วยท่าทางเบื่อๆ เซ็งๆ เหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของเขาจนไม่สามรถลบมันออกได้ทั้งๆที่กำลังพยายามอยู่"เย็นนี้พี่ปริ้นจะกลับมาทานข้าวที่บ้านหรือเปล่าคะ พายจะได้ทำอาหารไว้รอ""ไม่ต้อง เธอทำกินเองได้เลย" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่สีหน้าและแววตาดูมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พนิดาอดที่จะเป็นกังวลไปด้วยไม่ได้"จะกลับดึกหรือเปล่าคะ แล้วกลับกี่โมงพายจะได้..."ยังไม่ทันที่พนิดาจะได้พูดจบแต่ก็ถูกปริญตัดจบเสียก่อน"เธอไม่ใช่เมียฉันนะพนิดา ไม่ต้องมาทำเป็นนั่งซักไซ้ไล่เรียงว่าฉันจะกลับบ้านตอนไหนแล้วกลับกี่โมงกี่ยาม" ขณะที่ยังเคลียร์สิ่งที่คั่งค้างอยู่ภายในใจไม่ได้ จึงทำให้ปริญเผลอตอบออกไปด้วยความหงุดหงิดจนคนที่ฟังนั้นเกิดความร้อนผะผ่าวที่บริเวณหน่วยตาแต่ก็ต้องพยายามที่จะข่มความรู้สึกเอาไว้ เธอไม่ใช่เมียเขา ใช่สิ เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่เขาจำใจต้องเเต่งงานด้วยก็เพราะและเพื่อผลประโยชน์ จะมามีสิทธิ์มีเสียงอะไรได้ ส่วนเรื่องที่เราจูบกันเมื่อคืน มันก็คงจะเป็นเพียงแค่อ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำเอาพนิดาไม่ค่อยกล้าหลับได้เต็มตานัก เพราะดึกๆมาปริญก็ยังคงขยับขลุกขลัก แถมยังมีการดึงเธอให้ขึ้นไปนอนซบอยู่บนหน้าอกเขาอีกต่างหาก แม้ว่าพนิดาจะพยายามขยับหนีแล้วแต่ก็ยังถูกคนเมาลากกลับเข้าไปกอดไว้อีกจนได้ แม้จะอยากขืนตัวไว้แต่เธอก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ซึ่งหลังจากนั้นมันกลับมีความรู้สึกสุขใจขึ้นมาอย่างประหลาดวันนี้พนิดารีบตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมมื้อเช้าให้กับทุกคน พอลงมาก็พบว่าอิทธิพลนั้นตื่นแล้วและดูเหมือนว่าเขาพึ่งจะกลับเข้ามาจากข้างนอก"มอนิ่งครับน้องพาย""มอนิ่งค่ะพี่อิท ตื่นเช้าจังเลยนะคะ""ครับ เห็นว่ากาศดีพี่เลยลองออกไปวิ่งดูแถวๆนี้มา เผื่อว่าอีกหน่อยจะย้ายมาอยู่แถวนี้บ้าง" อิทธิพลพูดยิ้มๆราวกับจะสื่อความหมาย"ไม่หนาวหรอคะ" พนิดาถามเมื่อเห็นว่าอิทธิพลสวมใส่เพียงแค่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น"ก็เย็นๆนะครับ แต่พอวิ่งไปเหงื่ออกก็ไม่หนาวแล้ว เอาจริงๆพี่ว่าที่ชอบที่นี่นะ อากาศดีมากๆ ถึงได้อยากมาทำโฮมสเตย์กับไอ้ปริ้นมัน แล้วจะได้ถือโอกาสได้มาอยู่ที่นี่ด้วย ยิ่งได้มาลองอยู่ดูแล้วพี่ว่าพี่น่าจะชอบที่นี่จริงๆแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะมาได้เพียงแค่วันเดียวก็เถอะ ท
พนิดายังคงนิ่งเฉยและไม่กล้าขยับตัวเมื่อเห็นว่าใบหน้าของปริญนั้นอยู่ห่างเพียงแค่คืบ กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมอยู่ในลมหายใจของเขากรุ่นๆ แขนแกร่งยังคงโอบกอดแผ่นหลังของเธอเอาไว้ตึกตัก ๆ "นี่..พี่ปริ้นดื่มมาหรอคะ"พนิดาจำเป็นต้องทำลายความเงียบลงด้วยการพูดอะไรออกไปสักอย่าง "อื้ม" ปริญตอบหากแต่ว่าก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะถอยหนี ใบหน้าเขายังคงชิดอยู่ใกล้ๆและทำไมพนิดาถึงรู้สึกว่ามันค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทุกทีๆตึกตักๆ ตึกตักๆ มือเล็กจับปมผ้าขนหนูไว้แน่น ในขณะที่หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว เลือดลมวิ่งพล่านไปตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แก้มขาวอมชมพูค่อยๆเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อยขึ้นเรื่อยๆเมื่อปริญค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีก"พิ..พี่ปริ้นเมาหรอคะ""จูบกันมั้ย" ปริญไม่ได้ตอบคำถามที่พนิดาถามแต่เขากลับเป็นฝ่ายที่ถามเธอกลับแทน"จะ..จูบทำไมคะ""ก็แค่จูบเฉยๆ ไม่ได้หรอ"พนิดามองเขาใกล้ๆใจเธอก็ยิ่งหวิวๆ ปริญจัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก คิ้วเข้มๆของเขาเรียงกันสวยรับกับจมูกที่โด่งเป็นสัน ตาคมดุจราวนกเยี่ยวที่จิกจ้องมองมาทำเอาพนิดาใจสั่นไหว ริมฝีปากได้รูปแดงอมชมพู ที่ด้านบนริมฝีปากเริ่มเห็นไรหนวดโผล่ขึ้นมากลายๆ โดยรว
วันนี้พนิดาเข้าสวนส้มเพียงแค่ครึ่งวันเนื่องจากว่าส้มที่คัดไว้นั้นเสร็จหมดแล้วและกำลังทยอยแพ็คลงใส่กล่อง บรรยากาศภายในไร่ยังคงสนุกสนานครื้นเครงอยู่ตามเคยเมื่อมีพี่แสงหล้าสาวงามตัวท็อปของไร่แห่งนี้คอยสร้างเสียงหัวเราะ"อุ๊ยต๋ายแล้วว ไผฮั้นน่ะตี้กำลังเดินมากับคุณปริ้น ว่าคุณปริ้นหล่อแล้ว คนตี้เดินมากะเปิ้นกะหล่อบ่าได้แป้กันเลย" แสงหล้าผู้ซึ่งมีเรดาร์ในการสแกนหาผู้ชายหน้าตาดีประจำไร่รีบเอ่ยปากบอก พนิดามองตามก็เห็นว่าทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าเดินตรงมาก่อนจะหยุดลงที่ตรงหน้าเธอ"กำลังจะกลับบ้านแล้วหรอ""ค่ะ ล็อตนี้เป็นล็อตสุดท้ายแล้ว เหลือแค่แพ็คลงกล่องก็เรียบร้อย""พนิดา นี่อิทธิพลเพื่อนของฉัน คนที่ฉันเคยบอกว่าจะมาทำโฮมสเตย์ด้วยกัน" ปริญแนะนำเพื่อนตัวเองให้พนิดาได้รู้จัก"สวัสดีค่ะ คุณอิทธิพล" พนิดายกมือไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งเขาก็มองและส่งยิ้มทักทายมาให้เธออย่างเป็นมิตร อิทธิเป็นคนหล่อหน้าตาดีพอๆกันกับปริญ ต่างกันก็เพียงแค่เขาดูเป็นผู้ชายลุคง่ายๆสบายๆมากกว่า จากที่ประเมินจากบุคลิกแล้ว เขาดูน่าจะเป็นคนที่สนุกสนานและอัธยาศัยดี ต่างจากปริญที่ต้องดูดีดูเนี้ยบ เอาแต่วางมาดเท่จนพนิดารู้สึกหมั่นไส้ใ
จากตอนแรกที่กำลังอารมณ์ดีอยากจะรีบวิ่งลงบันไดเพื่อจะมาทำมื้อเย็นทานด้วยกัน แต่พอได้ยินว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์กับคนที่เขารักไป ใบหน้าเปื้อนยิ้มของพนิดาก็เป็นอันว่าจะต้องหุบลง'นี่เธอกำลังเป็นอะไรไป เธอลืมอะไรไปหรือเปล่าพนิดาว่าเขามีแฟนแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ระหว่างเขากับเธอจะไม่ได้ตึงเครียดเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถมีใจให้กับเขาได้ อย่าเอาหัวใจตัวเองเข้าไปเสี่ยง วันใดวันหนึ่งยังไงเขาก็ต้องกลับไปหาคนรักเขาอยู่ดี เธอควรต้องนึกไว้เสมอว่าเขาไม่ใช่คนโสด เขามีคนของเขา คนที่เป็นเจ้าของหัวใจ'พนิดาหุบยิ้มแสนหวานนั้นลงในขณะที่ปริญก็คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วพอดี ร่างสูงใหญ่หันกลับมาจึงเห็นว่าพนิดามายืนคอยอยู่ หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเป็นเชิงถาม"ไม่ได้มาแอบฟังใช่มั้ย""เปล่าค่ะ พายแค่จะมาถามว่าพี่ปริ้นว่าอยากจะกินอะไร ระหว่างแกงจืด หรือว่า ต้มยำ พายจะได้ทำให้ถูก""อืม แกงจืดก็อร่อย ส่วนต้มยำก็แซ่บถึงใจดีนะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากกินทั้งสองอย่างเลย" ปริญทำท่าครุ่นคิดก่อนจะแกล้งยิ้มและตอบออกไป หากแต่ว่าคำตอบของเขากลับทำให้ใบหน้างามนั้นยิ่งบึ้งตึงขึ้นมาอีกแถมริมฝีบ
ขณะที่นั่งรอคนงานในไร่พากันทยอยขนตะกร้าส้มออกมาจากข้างในสวน ระหว่างนี้ปริญก็ช่วยพนิดาคัดขนาดของส้มแต่ละเกรด โดยฟังจากที่พนิดาอธิบายเธอบอกว่า ส้มที่คัดจะมีทั้งหมดหกขนาด ไล่ไปตั้งแต่เบอร์สาม ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กที่สุด จากนั้นก็จะเป็นเบอร์สองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากว่าส้มเบอร์สาม และขนาดเบอร์หนึ่งจะเป็นขนาดที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคมากที่สุด จากนั้นก็จะเป็นส้มเบอร์ศูนย์ ซึ่งเบอร์นี้ก็จะยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกับส้มเบอร์หนึ่งและก็ยังเป็นขนาดที่ผู้บริโภคนิยมเช่นกัน จากนั้นมาก็จะเป็นเบอร์ศูนย์ศูนย์ ซึ่งเป็นส้มที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากว่าเปลือกค่อนข้างหนา เนื้อฟ่ามและมีรสชาติจืด ส่วนเบอร์สุดท้ายคือขนาดศูนย์ศูนย์ศูนย์ ส้มเบอร์นี้จะเป็นส้มที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษจนไม่มีช่องให้ลง ส่วนรสชาติก็จะเหมือนกับส้มเบอร์ศูนย์ศูนย์ แต่มีปริมาณไม่มากนักปริญนั่งฟังพนิดาอธิบาย ในขณะที่เขานั่งจ้องหน้าเธอ ส่วนเธอปากพูดไป มือก็ทำงานไปไม่มีหยุด นับว่าสิ่งที่พนิดาพูดมาทั้งหมดนี่เป็นความรู้ใหม่สำหรับเขาเลยก็ว่าได้ ทั้งๆที่ย่าของเขาเป็นเจ้าของสวนส้มขนาดใหญ่แต่เขากับไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย ปกติเวลาผู
เช้านี้พนิดารีบตื่นนอนแต่เช้าอีกตามเคย อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายแล้วที่จะต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จ จากนั้นอาทิตย์หน้าก็จะเป็นงานประจำปีเทศกาลส้มหวานของดีเมืองเหนือที่จัดขึ้นที่ว่าการอำเภอเช่นเคย ภายในงานจะมีร้านค้ามากมายที่นำสินค้าจากไร่ตัวเองทั้งที่เป็นแบบสดๆและแบบแปรรูปแล้วมาวางจำหน่ายสองปีที่แล้วตอนก่อนที่จะไปเรียนต่อพนิดาก็ได้มาช่วยคนที่ไร่จัดร้านขายของสนุกสนานกันเลยทีเดียวร้านค้าส่วนมากก็จะเป็นชาวสวนชาวไร่ที่อยู่ในละแวกบริเวณใกล้เคียงกันทั้งนั้น ต่างมีผลผลิตจากไร่ของตัวเองมาจำหน่ายให้ทั้งชาวบ้านและเหล่านักท่องเที่ยวกันละลานตาไปหมดปีนี้ที่ไร่แสนสุขมีสินค้ามากมายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาก ส่วนหนึ่งมันก็มาจากความคิดของพนิดาด้วยที่อยากเพิ่มมูลค่าให้สินค้ามีความแตกต่างออกไปจากแต่ก่อน "พายว่าปี๋นี้ฮ้านก้าจากไร่ส้มแสนสุขของย่าบัวตึงต้องได้รางวัลฮ้านตี้ขายดีตี้สุดแน่เลยปี้แสงหล้า""ปี้กะว่าจะอั้นเน๊าะ พายกอยผ่อเน้อ ปี๋นี้ปี้จะแต่งตั๋วหื้องามตี้สุดในงาน จะเอาหื้อนายอำเภอทินกรเปิ้นต๋าก้างฟ้าวมาขอปี้ไปเป๋นแฟนบ่าตันเลย"แสงหล้าสาวงามประจำไร่ส้มของคุณย่าบัวหลันที่อายุอานามปีนี้ก็น่า