เมื่อชัญญากลับมาจากประเทศลาวพร้อมกับเอกวัฒน์ ทั้งคู่ปรากฏตัวในที่ทำงานในเช้าวันจันทร์ที่สดใส สำนักงานใหญ่ของบริษัทเอกวัฒน์เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ข่าวลือที่เอกวัฒน์ขอหย่ากับภรรยาของเขากระจายไปทั่ว ทำให้ทุกคนในบริษัทเฝ้าจับตามองอย่างสงสัยแต่เมื่อชัญญาปรากฏตัวเคียงข้างเอกวัฒน์ในเช้านี้ รอยยิ้มของพวกเขาและการปรากฏตัวร่วมกันนั้นดูเหมือนจะเป็นการปัดเป่าข่าวลือทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ชัญญาสวมชุดสูทสีเข้มที่ดูสง่างามและเฉียบคม ขณะที่เอกวัฒน์สวมสูทที่ดูดีมีราศีเช่นเคย แต่สิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นคือความใกล้ชิดและความสัมพันธ์ที่ดูแน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองชัญญายิ้มและทักทายพนักงานอย่างเป็นมิตร แต่ในแววตาของเธอแฝงไปด้วยความมั่นใจและอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อน เธอรู้ว่าตอนนี้เธอมีเอกวัฒน์อยู่ในกำมืออย่างสมบูรณ์ และเธอกำลังใช้สถานะนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดณัฐภัทรยืนมองผ่านหน้าต่างห้องทำงานของเขา ภายนอกคือทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่คึกคักและไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ในใจของเขากลับรู้สึกถึงความไม่สงบ ความรู้สึกนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อของเขา เอกวัฒน์ เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากคนที่เคยเป็นแบบอย
ชัญญาเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว สถานที่เงียบสงบและกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่อบอวลในอากาศไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกสงบลงได้ วันนี้เธอมาที่นี่เพื่อเยี่ยมกานต์รวี เพื่อนของเธอที่ตกอยู่ในสภาพน่าสลดหลังจากที่แผนการแก้แค้นที่วางไว้ถูกย้อนกลับเมื่อชัญญาเดินมาถึงห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เธอหยุดยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ความรู้สึกต่าง ๆ วนเวียนในใจ เธอเป็นห่วงเพื่อนก็จริง แต่ความแค้นที่มีคนมาทำลายแผนการของเธอมีมากกว่าชัญญาสูดลมหายใจก่อนผลักประตูเบา ๆ และก้าวเข้ามาในห้อง สภาพของกานต์รวีที่นอนอยู่บนเตียงทำให้เธอหยุดชะงักไปชั่วขณะ กานต์รวีผอมซูบ ผิวที่เคยสดใสกลับซีดเซียว ดวงตาของเธอเลื่อนลอยไร้แวว แทบจะไม่รับรู้ถึงการมาของชัญญา สภาพที่ย่ำแย่นี้เป็นผลมาจากการที่มนตร์ดำที่เธอส่งไปให้ณัฐรินีย์ย้อนกลับมาเล่นงานเธอเองชัญญาเดินเข้าไปใกล้ เตียงของกานต์รวีเต็มไปด้วยกลิ่นยาที่ผสมกับบรรยากาศที่หนักหน่วง ราวกับความตายกำลังคืบคลานอยู่รอบ ๆ เพื่อนของเธอ“รวี... เธอเป็นยังไงบ้าง?” ชัญญาถามเสียงเบา ขณะที่ดวงตาเยือกเย็นของเธอจ้องมองเพื่อนที่นอนอยู่ตรงหน้ากานต์รวีค่อย ๆ หันมามองชัญญาด้วยสายตา
ความสุขที่รอคอยบรรยากาศรอบบ้านของธีรเทพเงียบสงบ แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องรับแขกที่ธีรเทพและณัฐรินีย์นั่งอยู่ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันตลอดทางที่ขับรถกลับบ้านณัฐรินีย์นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น มือเย็นเฉียบของเธอบีบกันแน่น หัวใจเต้นแรง ท่าทางเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด ในขณะที่ธีรเทพยืนมองเธออยู่เงียบๆ ดวงตาคมกริบมองเธอราวกับต้องการอ่านความรู้สึก เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ ใช้มือเชยปลายคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นมามอง“ณัฐ ผมได้ยินที่คุณพูดกับอาคิรา คุณบอกว่า...คุณท้อง..ใช่มั้ย?” เสียงของเขาแผ่วเบาแต่หนักแน่นคำถามนั้นทำให้ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง ณัฐรินีย์หายใจลึก พยายามรวบรวมสติ เธอกระพริบตาถี่ๆ รู้ว่านี่คือเวลาที่ต้องบอกความจริงทั้งหมด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ธีรเทพจ้องมองเธอ เฝ้ารอคำตอบ“ใช่...ฉันท้อง” คำตอบของเธอช่างแผ่วเบา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลธีรเทพนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาของเขามองเธอราวกับกำลังประมวลผลคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้น ใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป รอยยิ้มกว้างและอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า ราวกับว่าคำตอบนี้คือสิ่งที่เขา
เรื่องราวของพ่อและแม่ฉันชื่อ อาคิรา บางครั้งก็สงสัยในชีวิตของตัวเองเหมือนกันนะว่ามันจะซับซ้อนเกินไปหรือเปล่า ฉันเติบโตมากับพ่อที่มีอาชีพที่ดูไม่ค่อยเหมือนใคร และแม่ที่มีชีวิตต่างจากโลกของพ่อโดยสิ้นเชิง สองคนนี้ดูไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ แต่โชคชะตากลับทำให้พวกเขาได้พบกัน และฉันก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นผลลัพธ์ของความรักที่ไม่ธรรมดานั้นพ่อของฉัน: ธนกร หมอผีแห่งประเทศไทยพ่อของฉันชื่อธนกร เป็นหมอผีชื่อดังในวงการไสยศาสตร์มนตร์ดำของประเทศไทย หลายคนรู้จักเขาในฐานะผู้มีอำนาจในการบังคับควบคุมวิญญาณ และทำพิธีกรรมที่ทั้งน่ากลัวและทรงพลัง ใครที่ต้องการความช่วยเหลือแบบไม่ธรรมดา มักจะหันมาหาพ่อเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำเสน่ห์ การถอนของ หรือแม้กระทั่งการทำร้ายศัตรู พ่อสามารถทำได้ทุกอย่าง ขอแค่มีเงินแม้ว่าพ่อจะดูน่ากลัวในสายตาของคนอื่น แต่กับฉันแล้ว พ่อคือคนที่รักและปกป้องครอบครัวเสมอ ความรักของพ่อที่มีต่อฉันและแม่ไม่มีข้อสงสัย แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าโลกของพ่อเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตราย การติดต่อกับพลังที่มืดมนและวิญญาณที่ไม่มีที่ยืนในโลกนี้ อาจจะทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่ไม่สามารถหันหลังกลับได้แม
รักครั้งแรกเนื่องจากฉันเกิดมาพร้อมพลังพิเศษที่ทำให้ชีวิตของฉันไม่เคยธรรมดา ฉันสามารถมองเห็นวิญญาณ สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ฉันโตขึ้นมากับความสามารถนี้ แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตลอดเวลา การมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มันทำให้ฉันแตกต่าง และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนหลังจากที่พ่อหายตัวไปจากชีวิตฉันในช่วงวัยเด็ก ฉันรู้สึกสูญเสียและว่างเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ นั่นคือ อาเรีย วิญญาณผู้หญิงที่คอยปกป้องฉัน เธอปรากฏตัวครั้งแรกตอนที่ฉันยังเป็นเด็กอาเรียมีใบหน้าที่สวยงาม ผมสีขาวราวกับหิมะ เสื้อผ้าที่เธอแต่งตัวตลอดเวลาคือ สีดำ และมีดวงตาสีแดงที่แข็งกร้าวเปล่งประกายสวยงาม บางครั้งฉันรู้สึกว่า ดวงตาของเธอสามารถสาปใครให้ตายต่อหน้าได้อย่างเลือดเย็นแต่การมีอยู่ของเธอทำให้ฉันรู้สึกเข้มแข็ง ตอนเด็กๆ ฉันมักถูกเพื่อนๆ รังแกและบูลลี่เรื่องพ่อแม่ อาเรียก็ไปสั่งสอนเพื่อนที่รังแกจนไม่กล้ายุ่งกับฉันอีก แต่มีเพื่อนคนนึง ที่เขาไม่กลัวอาเรียเลย เขาชื่อ กฤตินฉันเห็นเขาครั้งแรกที่มุมหนึ่งของสนามกีฬา ไม่มีใครเข้าหาเขา และเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจใครเช่นกัน บางอย่างในตัวเ
แสงจากโคมไฟในห้องทำงานส่องลงบนหน้ากระดาษหนังสือเล่มหนาที่กฤตินกำลังอ่านอยู่ เสียงลมพัดเบาๆ ผ่านหน้าต่างห้องทำให้บรรยากาศดูสงบ แต่ความเงียบนี้กลับถูกทำลายเมื่อความรู้สึกอันแปลกประหลาดและไม่สบายใจแทรกเข้ามาในจิตใจของเขากฤตินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ดวงตาของเขามองไปที่หน้าต่างราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังรอคอยอยู่ข้างนอก เขาหลับตาและจดจ่อ พยายามสัมผัสถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น... และนั่นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง—พลังแห่งความมืดมันไม่ใช่ความมืดธรรมดา แต่เป็นพลังที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอาฆาต ความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาไม่ต่างจากเงามืดที่ลอบเล้นไปในความมืดของค่ำคืน กฤตินรู้ได้ทันทีว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปที่ ธีรเทพ และ ณัฐรินีย์“อีกแล้วเหรอ...” กฤตินพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาปิดหนังสือลงอย่างรวดเร็ว“เฮ้! เจ้ารู้สึกใช่มั้ย?” โซระโผล่ออกมาทันที หลังจากรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายจากบ้านของธีรเทพ“อืม...” กฤตินนิ่งคิดครู่หนึ่ง“นายไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามไป”“ได้เวลาสนุกอีกละสิ” โซระหัวเราะออกมา ก่อนจะทะยานออกทางหน้าต่าง พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ร่างของเขากลืนหายไปในความมืดอย่างรวดเร็วกฤตินหันกลับมาคว้า
ผู้สืบทอดแห่งตระกูลเทวานุรักษ์ผมชื่อ กฤติน และชีวิตของผมไม่เคยธรรมดา ตระกูลเทวานุรักษ์ของผมมีความลับที่ซ่อนเร้นมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน ความลับที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งเทพเจ้าโบราณ—เทพเจ้าเท็งงุ เทพแห่งลมและพายุ พวกเราถูกกำหนดให้เป็นผู้สืบทอดพลังของเทพเจ้า และผม...ไม่ใช่แค่ผู้สืบทอดธรรมดา แต่ผมคือเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของเทพเจ้าเท็งงูเองสิ่งที่ยืนยันก็คือ รอยสักปีกนกสีดำบนไหล่ซ้ายของผม มันไม่ใช่แค่รอยสักธรรมดา แต่มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของผม ราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่ในตัวผมเอง ผมรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันเหมือนพายุที่หมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในใจของผมตั้งแต่เด็กผมถูกฝึกฝนการต่อสู้และควบคุมพลังวิญญาณ ช่วงแรกของการฝึกฝนคือการฝึกทักษะการต่อสู้แบบกายภาพ ผมต้องฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อเตรียมรับมือกับศัตรูที่มาจากทั้งโลกมนุษย์และโลกวิญญาณการฝึกใช้ดาบและศิลปะการต่อสู้มือเปล่ากลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผม การฝึกเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมจิตใจให้มั่นคงพอที่จะควบคุมพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเมื่อผมฝึกฝนการต่อสู้จนเชี่ยว
“ณัฐ!! ณัฐ!!”เสียงเคาะประตูรัวๆ พร้อมกับเสียงเรียกชื่อตัวเอง ทำให้ณัฐรินีย์เปิดประตูออกมาดู“เฮ้ย คุณกฤต!!”อาคิราประคองกฤตินที่เหนื่อยล้าอย่างหนัก เดินเข้ามาภายในบ้านของธีรเทพ ร่างกายของกฤตินเอนพิงอาคิราเต็มที่จนแทบไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ใบหน้าของเขาซีดเซียว ผมที่เปียกชุ่มจากเหงื่อปกคลุมหน้าผาก ลมหายใจหอบเหนื่อยบ่งบอกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดและการเสียพลังงานไปอย่างมากมาย“เกิดอะไรขึ้น! คุณกฤตเป็นอะไร?” ธีรเทพสะดุ้งตกใจทันทีที่เห็นอาคิราประคองกฤติน เขาลุกขึ้นถามเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“ใจเย็น” กฤตินพึมพำออกมาเบาๆ หลังจากที่อาคิราพยุงให้เขานั่งลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง“เดี๋ยวฉันจะไปหาผ้าชุบน้ำมาให้” ณัฐรินีย์เดินตรงไปยังห้องครัวทันที“เป็นไงมั่ง?” อาคิรากระซิบเสียงเบา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาด้วยมือเปล่า“ขอพักแปป” กฤตินบอกพลางหลับตาเอนศีรษะพิงกับพนักโซฟาไม่นานนัก ณัฐรินีย์ก็กลับมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำ เธอยื่นมันให้อาคิราอาคิรารับผ้าชุบน้ำมาและค่อยๆ เช็ดหน้าและลำคอของกฤตินอย่างเบามือ มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะท
หลังจากที่พลังมืดที่เคยปกคลุมทุกชีวิตถูกทำลายลง ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง กฤติน อาคิรา ธีรเทพและณัฐรินีย์ต่างหายใจโล่งขึ้น พวกเขาได้ผ่านพ้นความท้าทายและการต่อสู้อันโหดร้ายที่ทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นบรรยากาศในสวนหลังคฤหาสถ์เทวานุรักษ์นั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยามค่ำคืนที่อบอุ่นเต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่างรอบๆ พุ่มดอกไม้ เสียงลมพัดเบาๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงบ บรรยากาศในวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ทุกคนอยู่ด้วยกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นใหม่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ดอกไม้บานสะพรั่งรอบๆ สวน มีแสงเทียนนุ่มนวลที่ถูกจุดประดับประดา สร้างบรรยากาศโรแมนติกธีรเทพมองไปที่ณัฐรินีย์อย่างอ่อนโยน ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา เธอหัวเราะและพูดคุยกับอาคิราอย่างมีความสุข ดวงตาของเธอเปล่งประกายราวกับดวงดาวธีรเทพรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเธอ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่ยากลำบากเขารู้ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ความรักที่เ
เงาแห่งความสูญหายณัฐภัทรเดินเข้ามาในหอสมุดเทวานุรักษ์ด้วยท่าทางเร่งรีบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสน ขณะที่ก้าวเข้าไปในโถงทางเดิน หัวของเขาก็หมุนวนไปกับความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเดินมาถึงห้องประชุมเล็กที่เขามักจะมาพูดคุยกับกฤติน เขาก็หยุดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง กฤติน อาคิรา ธีรเทพ และณัฐรินีย์ ต่างกำลังนั่งทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง บรรยากาศสงบเงียบ มีเสียงแผ่วเบาจากการพลิกกระดาษและพิมพ์แป้นพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ทุกคนดูเหมือนจะมีสมาธิในงานที่ทำ จนกระทั่งณัฐภัทรก้าวเข้ามาในห้อง“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” ณัฐภัทรพูดเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความเร่งด่วนในน้ำเสียง ทุกสายตาในห้องหันมามองเขาในทันทีอาคิราส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขา“คุณภัทร เชิญนั่งค่ะ” เธอเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตร พร้อมดึงเก้าอี้ให้เขานั่งลงตรงข้ามกับกฤตินกฤตินสังเกตถึงท่าทางที่ไม่ปกติของณัฐภัทร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล“มีอะไรเหรอครับ?” เขาถามเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยความสนใจณัฐภัทรนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัว ก่อน
ชัญญาเดินวนไปมาภายในห้อง ความเงียบภายในห้องใหญ่ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งน่ากังวลมากขึ้น ทุกเสียงฝีเท้าที่เธอเดินสะท้อนกลับมาเหมือนเสียงกระทบจากความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอพยายามติดต่อหมอผียงซานหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย แม้แต่ข้อความหรือตอบกลับก็ไม่มี ทุกอย่างดูเงียบสงัดเหมือนคนที่หายไปในอากาศ ความกังวลเริ่มเกาะกินหัวใจของเธอ ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเริ่มถาโถมเข้ามาแต่สิ่งที่ทำให้เธอหวาดกลัวมากกว่าการหายตัวไปของยงซาน คือเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เริ่มเกิดขึ้นกับเธอทุกคืน เหตุการณ์ที่เธอไม่อาจอธิบายได้ทุกคืน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนในห้องนอนที่กว้างขวางและโดดเดี่ยว เธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนอยู่ข้างๆ เธอ สัมผัสที่ลึกลับและอ่อนโยนเริ่มเข้ามาลูบไล้ร่างกายของเธอ ค่อยๆ แตะต้องเหมือนลมหายใจเบาๆ ที่คอยกระซิบข้างหู ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความรู้สึกเสียวซ่านและหวานหวามไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อของเธอในช่วงแรก ชัญญาพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกนี้ เธอคิดว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากควา
อาคิรายืนรออย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าของหอสมุด ความเงียบของยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้เธอสงบลงได้แม้แต่น้อยหลังจากที่เธอได้รับโทรศัพท์จากกฤตินว่าเขากำลังจะกลับมาถึงในไม่ช้าหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล เธออดคิดไม่ได้ว่าการต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาจะเป็นอย่างไร และเขาบาดเจ็บมากแค่ไหนไไม่นานนัก เธอก็เห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอเฝ้ารอเดินตรงเข้ามาจากทางเข้าหอสมุด กฤตินดูเหนื่อยล้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลแม้ว่าเขาจะพยายามเดินอย่างมั่นคง แต่ความอ่อนล้าก็ปกคลุมอยู่บนใบหน้า อาคิราไม่รอช้า เธอวิ่งตรงไปหาเขาโดยไม่คิดอะไร โผเข้ากอดเขาแน่นทันที“ฉันกลับมาแล้ว”กฤตินยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแล้วรับร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน อ้อมกอดของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบโยน แม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่การได้กลับมาหาเธอทำให้ความเจ็บปวดนั้นเบาบางลงไปในทันทีอาคิรากอดเขาแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาห่างไปไหนอีก“กฤต...” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แต่ทันใดนั้น กฤตินก็ครางออกมาเบาๆ“โอ๊ย...เบาหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดที่พยายามเก็บไว้อาคิรารีบผละออกจากเขาทันที เธอ
หลังจากที่พลังมืดของยงซานถูกทำลายลง เหลือเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ยังยืนหยัดอยู่ ยงซานมองไปที่กฤตินด้วยสายตาอาฆาตและความโกรธ แม้พลังมืดที่เคยครอบครองจะหายไปหมด แต่ร่างกายของยงซานยังแข็งแกร่งจากการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายปีกฤตินยกดาบขึ้นพร้อมจะจบการต่อสู้นี้ แต่ยงซานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารู้ว่าการใช้เพียงกายภาพอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขารอดได้ ยงซานพุ่งเข้าหากฤตินอย่างรวดเร็ว กฤตินยกดาบขึ้นป้องกัน หมัดของยงซานกระแทกเข้ากับดาบเสียงดังสนั่น แรงนั้นทำให้กฤตินถอยหลังไปเล็กน้อยกฤตินและยงซาน ยืนประจันหน้ากันกลางลานโล่ง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งด้วยความเงียบ ราวกับธรรมชาติหยุดนิ่งเพื่อรอคอยผลการต่อสู้ครั้งนี้กฤตินที่ผ่านการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างช่ำชอง ไม่ว่าจะเป็นไอคิโด เทควันโด และวิชาการต่อสู้แขนงอื่นๆ ยืนในท่าพร้อมรับมือ เขารู้ดีว่ายงซานเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย แม้พลังเวทจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังสามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ทันใดนั้น ยงซานก็พุ่งเข้าโจมตีกฤตินด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ หมัดแรกพุ่งตรงเข้าที่กลางลำตัวของกฤติน แต่กฤตินที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวแบบนี้หลบได้อย่างค
หมอผีเขมร ยงซาน ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ราวกับว่าเขาคือส่วนหนึ่งของความมืดนั้นเอง ทุกย่างก้าวของเขาเงียบสงัด แต่กลับสร้างแรงกดดันที่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบตัวพลันหนาวเย็นลงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของยงซานที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมเผยออกมาเพียงบางส่วน ผิวของเขาคล้ำจากการใช้ชีวิตอยู่กับมนตร์ดำมาเนิ่นนาน ดวงตาสีดำสนิทของเขามองทะลุความมืด ลึกไร้ก้นบึ้ง ราวกับเป็นช่องว่างแห่งความสิ้นหวังที่ดูดกลืนทุกสิ่งที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นไม่ได้สะท้อนแสงใดๆ แต่กลับเหมือนเป็นบ่อน้ำลึกที่เก็บกักความลับและความโหดเหี้ยมของโลกวิญญาณ ราวกับว่าความมืดทั้งหมดในโลกนี้ถูกกักขังอยู่ภายใน เขาสวมผ้าคลุมยาวสีดำที่พริ้วไหวตามการเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่เพราะสายลม ผ้าคลุมของเขาเหมือนมีชีวิต มันโอบรัดร่างของเขาอย่างแน่นหนา ราวกับจะปกป้องนายของมันจากสิ่งใดก็ตามที่พยายามเข้ามาใกล้อักขระโบราณสีเทาหม่นถูกปักลงบนผ้าคลุมนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งมนตร์ดำที่ยงซานใช้ควบคุมวิญญาณชั่วร้าย และเหนือหัวของเขามีกลุ่มเงามืดหมุนวน วิญญาณร้ายหลายตนซ่อนตัวอยู่ในนั้น รอเพียงคำสั่งจากยงซานเพื่อปลดปล่อยความวินาศออกมา“พวกเจ้าช่างชักช้าจริง” ยงซานเอ่ยเสี
กฤตินยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างไทยและเขมร สายลมอ่อนๆ พัดผ่านต้นไม้สูงในป่าทึบที่ล้อมรอบเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงัดและเคร่งเครียด สถานที่นี้เงียบเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ราวกับธรรมชาติรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าข้างกายของกฤติน โซระวิญญาณเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน โซระดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู เขามีปีกสีดำที่ใหญ่โอบล้อมรอบตัวเล็กน้อย ราวกับเตรียมปกป้องกฤตินจากอันตรายที่กำลังจะมาถึงอีกด้านหนึ่ง อาเรีย วิญญาณเทพพิทักษ์ของอาคิรา เดินตามติดกฤตินอย่างใกล้ชิด แต่ต่างจากโซระที่เป็นเทพแห่งแสงสว่าง อาเรียคือเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ทรงพลัง เธอมีพลังที่รุนแรงและดุดัน ดวงตาของเธอส่องประกายด้วยความหิวกระหายในการทำลายล้าง ใบหน้าของเธอดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น พร้อมที่จะบวกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้าอาเรียไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ธรรมดา เธอคือเทพเจ้าที่มีพลังแห่งความมืดและการทำลายล้างอย่างแท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของอาคิรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยจัดการวิญญาณที่แข็งแกร่ง หรือปกป้องยามเธอมี
กลางคืนที่เงียบสงบในคฤหาสน์ของกฤติน กลับเต็มไปด้วยความกังวลในใจของอาคิรา เธอนั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะกำลังแปรงผมยาวสลวยของตัวเอง แสงไฟจากโคมเล็กๆ ส่องแสงอ่อนๆ ให้เห็นเงาสะท้อนของเธอในกระจก จิตใจของเธอกำลังหมุนวนไปกับความคิดที่ไม่อาจสงบลงได้การต่อสู้กับหมอผีเขมรอย่างยงซาน เป็นสิ่งที่เธอกังวล แม้ว่ากฤตินจะบอกให้เธอวางใจว่าเขาสามารถจัดการได้ แต่ในใจของเธอยังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ เธอรู้ว่าการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่อยากให้เขาไปเผชิญหน้าเพียงลำพังเสียงน้ำหยดลงจากฝักบัวในห้องน้ำข้างๆ หยุดลง กฤตินเพิ่งอาบน้ำเสร็จและนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย โชว์กล้ามท้องเป็นลอนสวยงาม เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน อ้อมแขนแข็งแรงของเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับอาคิรา แม้ว่าความกังวลยังคงค้างคาอยู่ในใจเธอ“เป็นอะไร?” กฤตินจรดริมฝีปากที่ซอกหูของเธอ เสียงนุ่มนวลของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง เธอวางแปรงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วมองเงาสะท้อนของเขาในกระจก“ฉันจะไปด้วย” อาคิราพูดอย่างหนักแน่นกฤตินมองเธอในกระจก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเ
“อึ๊..อ๊า...”เสียงหอบหายใจสะท้านก้องไปทั่วห้องที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งมนตร์ดำ หมอผียงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีชัญญานั่งคร่อมร่างของเขาอยู่ เธอกำลังโยกร่างกายส่วนล่างของเธอบดเบียดกับเขา“อื้ม..ดี..แรงอีกหน่อย...” หมอผียงซานพึมพำเสียงกระเส่า ใช้ฝ่ามือดันหลังของชัญญาให้แอ่นขึ้น พลางลากเรียวลิ้นไปบนยอดอกที่ชูชันของเธอ มืออีกข้างคลึงเคล้นหน้าอกของเธอ“อื้ม..อ๊ะ..เสียวจัง..” ชัญญาเสียวสะท้าน ครางกระเส่า บั้นท้ายของเธอบดขยี้และขยับเร็วขึ้น“อ๊ะ..อ๊า....”ไม่นานเสียงครางที่สุขสมของทั้งสองคนก็ดังขึ้น ชัญญาเกร็งร่างกระตุกก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอของเขาอย่างอ่อนแรง สองแขนยังคงโอบคอของเขา“ถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับเอกวัฒน์” หมอผียงซานกระซิบข้างหูชัญญา“.....” ชัญญาดันตัวขึ้นมองหน้าหมอผีหนุ่ม“ถ้าไม่ทำ ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า” หมอผียงซานพูดเสียงเรียบ ใช้มือข้างหนึ่งปัดไรผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของเธอ“เจ้าเสียดายเขารึ?” หมอผียงซานมองนิ่ง ขณะที่มือของเขาเริ่มลูบไล้ไปตามเนินอกของเธอชัญญายิ้มเยือกเย็น สายตาเย็นชาและไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อเอกวัฒน์ คนที่เธอเคยหลงใหลและหมายปอง ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเป