ทันใดนั้นเฮ่อจุนจือก็ตระหนักได "แล้วเราควรทำยังไงดี? เราต้องให้พี่ซือถิงขอร้องเธอรึเปล่า?" โจวจื่ออี้ “ฉันจะไปพบพวกเขาหลังเลิกงาน” เฮ่อจุนจือ “ไม่งั้น ให้ผมขอให้แฟนของผมไปหาฉินอันอันดีไหม?” โจวจื่ออี้ “แฟนของนายใครคือ?” เฮ่อจุนจือกระแอม “เพื่อนสนิทของฉินอันอัน...เธอคือคนที่บอกเรื่องนี้ให้ฉินอันนันรู้ ให้ตายเถอะ...ถ้าผมไม่ชอบเธอ ผมคงเลิกกับเธอไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!” โจวจื่ออี้ถอนหายใจ “นายช่างสรรหาจริง ๆ!” เฮ่อจุนจือ “ผมโดนสอดแนม ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าพวกเธอจะฉลาดขนาดนี้” โจวจื่ออี้ “ฉันว่าต่อไปคงบอกเรื่องอะไรกับนายไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ในเรือลำเดียวกับพวกเราอีกต่อไปแล้ว” เฮ่อจุนจือน้อยใจ “พี่จื่ออี้ ผมจะยึดถือเส้นตายของผมเป็นหลัก! พี่ซื่อถิงคือเส้นตายของผม” ...... ตอนเย็น เซิ่งเป่ยและโจวจื่ออี้มาเยี่ยมฟู่ซื่อถิงที่บ้านตระกูลฟู่ “คุณผู้ชายกลับมาตอนตีห้า…บอดี้การ์ดบอกว่าเขาตากฝนที่บ้านแม่ยายทั้งคืน เขาสลบไปตอนประมาณตีสี่ เราจึงพาเขากลับมาค่ะ” ป้าจางพูด “ตอนนี้เขาอยู่ในห้อง ไข้ขึ้นเมื่อตอนเที่ยง พอบ่ายไข้ถึงลด แต่ตอนนี้เขาไข้ขึ้นอีกแล้ว” เซิ่งเป่ยและ
ใบหน้าของฉินอันอันชุ่มไปด้วยน้ำ น้ำอุ่น แต่เธอกลับรู้สึกหนาวเหน็บ “ถังเฉียน! เธอทำอะไรของเธอ?!” ถังเฉียวเซินพลันลุกขึ้นคว้าแขนถังเฉียนดึงออกไป “พี่เฉียวเซิน! ไม่ต้องมาห้ามฉัน! คืนนี้ฉันจะสั่งสอนเธอสักหน่อย!” ดวงตาของถังเฉียนเปลี่ยนเป็นสีแดง น้ำเสียงคมชัดของเธอดังไปทั่วห้องรับรอง ถังเฉียวเซินตะโกนดังลั่น “เธอบ้าไปแล้วเหรอ?!” ถังเฉียนไม่เคยถูกพี่ชายตัวเองตะคอกเสียงแบบนี้ใส่ในที่สาธารณะ ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านขึ้น เธอสะบัดมือพี่ชายออกอย่างแรง และกำลังจะลงมือทำร้ายฉินอันอัน ฉ่า! น้ำผลไม้หนึ่งแก้วสาดลงบนใบหน้าของเธอ ฉินอันอันวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วมองถังเฉียนด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าคิดจะรังแกคนอย่างฉัน เธอต้องแน่จริง ๆ” จู่ ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัด สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉินอันอันและถังเฉียน น้ำอุ่นที่ราดลงบนหน้าของฉินอันอันก็แค่ทำให้เปียกชุ่ม แต่ใบหน้าของเธอยังคงสะอาดและเด่นชัด แต่น้ำผลไม้ที่สาดใส่หน้าถังเฉียนคือน้ำแตงโม น้ำแตงโมสีแดงชุ่มไปทั่วใบหน้าและเส้นผมของเธอ... ใบหน้าที่สวยงามกลับดูตลกขึ้น “พวกคุณทานข้าวกันเถอะ! ฉันขอตัวก่อน” ฉินอันอันพูดพลางเ
‘ฟู่ซื่อถิงยืนอยู่ท่ามกลางความหนาวแบบนี้ เขาคงจะหนาวไม่น้อยเลยใช่ไหมนะ?’ รถคันหนึ่งมาจอดที่ลานหน้าโรงแรม ประตูรถเปิดออก เฮ่อจุนจือและหลีเสี่ยวเถียนลงจากรถ หลังจากที่พวกเขาลงจากรถแล้วก็มีรถคันอื่นมาจอดข้างหน้าพวกเขาทั้งคู่ นั่นคือเซิ่งเป่ย “พี่เป่ย” เฮ่อจุนจือทัก เซิ่งเป่ย “นายมาทำอะไรที่นี่?” เฮ่อจุนจือ “ผมพาแฟนมาตามหาฉินอันอัน...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หลีเสี่ยวเถียนก็เดินไปหาฉินอันอันและโผเข้ากอดเธอ “ฉันก็มาตามหาเธอเหมือนกัน” เซิ่งเป่ยหรี่ตาเฉี่ยวมองร่างของฉินอันอันที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดต่อ “หรือฉันจะฝากฝังนายดี? พาเธอไปที่บ้านตระกูลฟู่ให้เร็วที่สุด” เฮ่อจุนจือ “ครับ แฟนผมจัดการเอง พี่ไม่ต้องเป็นห่วง” เซิ่งเป่ยหัวเราะเยาะ “ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนนาย พวกเขาคงไม่เป็นแบบนี้หรอก” เฮ่อจุนจือหน้าแดง “แฟนของผมแค่เปิดเผยก่อนเวลาสมควรก็แค่นั้นเอง...” เซิ่งเป่ย “ช่างเถอะ มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันขอตัวก่อนละกัน” เฮ่อจุนจือพยักหน้า หลังจากที่เซิ่งเป่ยกลับไปแล้ว หลีเสี่ยวเถียนจูงมือฉินอันอันเข้าไปในรถของเฮ่อจุนจือ “เฮ่อจุนจือ ขับไปที่บ้านของฉัน” เฮ่อจุนจือยกมือ
ฉินอันอันไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลฟู่ และไม่ไปเยี่ยมฟู่ซื่อถิงที่กำลังป่วยอยู่ ครั้งนี้เธอโหดร้ายมากจนน่าตกใจ นอกจากเธอจะโหดร้ายแล้ว ยังมีอีกคนที่โหดร้ายกับฟู่ซื่อถิงอีกด้วย นั่นก็คือ เซิ่งเป่ย เนื่องจากฉินอันอันไม่กลับไปบ้านของฟู่ซื่อถิงเลย และไม่สนใจฟู่ซื่อถิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ดังนั้นเซิ่งเป่ยจึงมาหาฟู่ซื่อถิงและเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของฉินอันอันให้เขาฟังทุกวัน อย่างเช่น วันนี้ฉินอันอันไปที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอและใช้เวลาช่วงเช้าอันแสนสุขกับถังเฉียวเซิน หรืออีกอย่าง วันนี้ถังเฉียวเซินพาฉินอันอันไปชมนิทรรศการศิลปะและทานอาหารกลางวันด้วยกัน พวกเขาจะไปนิทรรศการศิลปะหรือไม่ กินข้าวเย็นด้วยกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือมันทำให้ฟู่ซื่อถิงโกรธแน่นอน ทางเดียวที่ทำให้เขายอมเข้ารับการรักษาคือการทำให้เขาโกรธ เพราะหากสุขภาพไม่ดี เขาจะไม่สามารถแก้แค้นได้ เซิ่งเป่ยใช้ความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อฟู่ซื่อถิงทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่นทุกวัน ในที่สุด ยาก็ทำให้อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น แม้ว่าใบหน้าของเขายังซีดเซียว ยังไอและยังไม่กลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่เขาก็มีที
ถังเฉียวเซินไม่ย่อท้อ เขาสามารถให้เวลาเธอได้มากกว่านี้ หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็คุยกันสบาย ๆ สองสามประโยค จากนั้นฉินอันอันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไรอยู่ “อันอัน คุณคิดว่าการร่วมมือของเราจะมีปัญหาไหมครับ?” ถังเฉียวเซินถามอย่างสบาย ๆ พลางจิบไวน์แดง ฉินอันอันกำลังดูข้อความ พอเธอได้ยินเสียงของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นมา “แผนของคุณไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่เรายังคงมีความเห็นบางอย่างไม่ตรงกันภายใน” เธอให้เหตุผลแบบสุ่ม ๆ ถังเฉียวเซินยิ้มและพูดว่า “ติดขัดตรงไหนเหรอครับ? ผมอยากทราบด้วยเผื่อว่าผมจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้” ฉินอันอัน “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้” ติดที่ตัวเธอเองนี่แหละ ฝ่ายบริหารของฉินกรุ๊ปมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่บริษัทหลักทรัพย์ซินเหอจะมาลงทุนด้วยแต่เธอก็ยังลังเล วันนี้เธอรับนัดกับถังเฉียวเซินเพราะเธออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ไม่ว่าถังเฉียนเซินจะปฏิบัติต่อเธอดีแค่ไหน แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของถังเฉียน ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับฉินอันอันที่จะไม่มีอคติต่อเขา เธอต้องการหาเงิน แต่เธอก็ต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาจากความล้มเหลวด้วย มีเพียงเมื่อเ
ฟู่ซื่อถิงผอมลงมาก ใบหน้าเดิมทีที่หล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งดูมีมิติและดูสง่าขึ้น ‘ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?’ ‘หรือว่าเขาจะเป็นแขกปริศนาคนนั้น?’ หลังจากที่เสี่ยวเหมยทำงานเสร็จ เธอก็เดินออกจากหลังเวที เมื่อเห็นเสี่ยวเหมยเดินจากไป รู้ตัวอีกทีเธอก็ตระหนักได้ว่าฟู่ซื่อถิงคือแขกปริศนา ‘เขาไม่สบายไม่ใช่เหรอ?’ ‘หายไข้แล้ว?’ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่พูดและไม่เดินไปหาเขา “คุณฟู่ ท่านนี้คือผู้หญิงที่คุณกำลังตามหาใช่ไหมครับ?” พิธรกรถามฟู่ซื่อถิง ฟู่ซื่อถิงพยักหน้า “ขอบคุณมากครับ” “ยินดีครับ” พิธีกรกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ฟู่ซื่อถิงเดินเข้าไปหาฉินอันอัน เขามองเธอด้วยสายตาละห้อย “เรามาคุยกันเถอะ” “คุยเรื่องอะไร? มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก?” เธอลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฟู่ซื่อถิงไม่ได้โกรธหรือรำคาญ เขาจับแขนเธอด้วยมือใหญ่โตของตัวเองแล้วดึงเธอออกจากหลังเวที หลังเวทีมีคนพลุกพล่านทำให้พวกเขาคุยกันไม่สะดวก เมื่อออกมาจากหลังเวที ฟู่ซื่อถิงจึงพาเธอเดินผ่านล็อบบี้และเข้าไปในเลานจ์วีไอพี ทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู เสียงของฟู่ซื่อถิงทุ้มต่ำและทรงพลัง “ฉินอันอัน อยู่ห่า
เมื่อสักครู่นี้ภายในห้อง เหมือนมีกองไฟกำลังลุกโชนทันทีที่ผละจากเขามา อุณหภูมิก็กลับคืนสู่ความเย็นปกติทันที ฉินอันอันไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ หลังจากแต่งหน้าเสร็จก็กลับไปที่โถงนิทรรศการ นิทรรศการที่มีเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ผ่านไปในชั่วพริบตา เหมือนว่าเธอจะอ่านเนื้อหามากมาย แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอลุกขึ้นยืน หลังจากจบนิทรรศการ ถังเฉียวเซินกล่าว “ไปดื่มน้ำชายามบ่ายกันไหม? ผมรู้จักร้านใหม่ รสชาติดีทีเดียว” ฉินอันอันไม่สนใจ “ฉันง่วงนิดหน่อย อยากกลับไปพักค่ะ” ถังเฉียวเซินเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ ก็พูดอย่างเป็นสุภาพบุรุษ “ผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง” “ขอบคุณค่ะ” ทั้งสองคนออกมาจากแถวแรก ที่ทางออก ก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อเห็นว่าเขาคล้ายกำลังรอเธออยู่ เธอจึงหันไปหาถังเฉียวเซินและพูดว่า “ประธานถัง คุณออกไปก่อนนะคะ ฉันมีธุระนิดหน่อย” ถังเฉียวเซินเองก็เห็นรองประธานโจว อดีตรองประธานแห่งฉินกรุ๊ป “ก็ได้ ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะ ผมจะไปรอข้างนอก” ถังเฉียวเซินพูดจบก็ก้าวยาว ๆ เดินออกไป เมื่อถังเฉียวเซินเดินไปแล้ว รองประธานโจวก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าฉินอันอันทันที“เธอวางแผนที่จะรับกา
ช่วงบ่าย ที่ตลาดดอกไม้ ฉินอันอันซื้อดอกแดฟโฟดิลไปสองกระถางเธออุ้มดอกแดฟโฟดิลไว้แล้วกลับไปที่บ้านเช่าของแม่ ยังไม่ถึงเวลาห้าโมงเย็น พูดตามหลักแล้วจางหยุนน่าจะยังไม่เลิกงาน แต่ทว่าจางหยุนกลับกำลังวุ่นอยู่ในครัว “แม่คะ วันนี้เลิกงานเร็วเหรอคะ?” ฉินอันอันเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ แล้วถือกระถางดอกไม้วางลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น จางหยุนเดินออกมาห้องครัวท่าทางกระดากอายเล็กน้อย “อันอัน แม่ไม่ได้ทำงานนั้นแล้วล่ะจ้ะ” จางหยุนอธิบาย “ลูกสะใภ้ของพี่สาวแม่เจอพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นมืออาชีพมากกว่าแม่แล้ว” อันอันตอบรับเสียงเบา จากนั้นก็กอดแม่ “แม่ ไม่ต้องเศร้านะคะ” จางหยุนยิ้ม “แม่ไม่เป็นไรจ้ะ…ทำไมลูกถึงซื้อดอกไม้กลับมาสองกระถางล่ะ?” ฉินอันอันเหลือบมองบ้านเช่าที่เรียบง่ายแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญเดินผ่านตลาดดอกไม้น่ะค่ะเลยซื้อกลับมาสองกระถาง” “อืม อันอัน ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องงานของแม่ ไม่มีงานก็หาใหม่ได้” “แม่คะ แม่ไม่ต้องหางานแล้ว พักผ่อนอยู่บ้านเถอะค่ะ!” ฉินอันอันพูดพร้อมกับหยิบบัตรธนาคารของเธอออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แม่ “มีเงินอยู่ในบัตร แม่เอาไปใช้ได้เลย” จางหยุนผลักบัตรของเธอออก
ฉินอันอันที่นอนหลับเต็มอิ่มรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่เพราะสายเรียกเข้านี้ทำให้ใจของเธอร้อนรนอีกครั้งหลังจากวางสายแล้ว เธอก็ได้รับที่อยู่ของมหาวิทยาลัยชิงซานที่รองประธานส่งมาต่อจากนี้เธอต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบไปให้ทันขณะที่เธอกำลังเปิดแอปจองตั๋วเครื่องบินอยู่ จู่ ๆ หน้าจอโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมาเป็นโปรแกรมนาฬิกาปลุก ทำให้เธอเกือบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเธอเอามือปิดหน้าอก หายใจเข้าลึก ๆทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย?แค่การฝึกอบรมครั้งเดียว ถึงจะไปสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรสมัยเรียนเธอก็ไปสายตั้งบ่อย นี่เธอไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้วนี่นาแถมนี่ก็ไม่ใช่การฝึกอบรมที่เธอสมัครเอง แค่ตอบตกลงว่าจะไปก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องทำให้ตัวเองเครียดขนาดนี้ด้วย?คิดได้ดังนั้น เธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง ตั้งใจจะนอนต่อสักหน่อยเธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีเสี่ยวเถียน : เสี่ยวเถียน ฉันต้องออกไปธุระไกล ๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับ สองวันนี้หลังจากที่ไปพบจิตแพทย์แล้ว อย่าลืมมาบอกฉันด้วยนะตอนนี้ยังเช้ามาก เธอคิดว่าหลีเสี่ยวเถียนคงยังนอนอยู่ ดังนั้นหลังจากส่งข้อความเสร็จแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
“อันอัน คุณคงเหนื่อยมากเลย!” ป้าจางพูดกับเธอ “ฉันมาบอกคุณว่า ของขวัญที่เสี่ยวหานและรุ่ยลาได้รับวันนี้ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่โกดังชั้นหนึ่งแล้วนะคะ”“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปจัดการ” ฉินอันอันลูบศีรษะทุยของจื่อชิวเบา ๆ “ลูกรัก วันนี้สนุกไหมจ๊ะ? พอครบหนึ่งขวบเมื่อไหร่ แม่จะจัดงานวันเกิดให้ลูกนะ”ป้าจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ แป๊บเดียวจื่อชิวก็ครึ่งขวบแล้ว!”“ค่ะ”“อันอัน รีบกลับห้องไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ! พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว!” ป้าจางเตือนฉินอันอันพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้อง เธอตั้งใจจะอาบน้ำก่อนนอน แต่พอเข้าไปในห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ดึงดูดเธอเธอมองไปที่เตียงแล้วล้มตัวนอนลง ตั้งใจจะพักสักหน่อย พอมีแรงแล้วค่อยลุกไปอาบน้ำ แต่หลังจากนอนลงไม่นาน เธอก็นอนหลับสนิทปกติแล้วเธอมีนิสัยชอบฝันร้าย ไม่ว่าจะพยายามปรับยังไงก็ปรับไม่ได้ ภาพที่เธอฝันถึงบ่อยที่สุดก็มีอยู่ไม่กี่อย่างอย่างแรกคือตอนที่พ่อเสียชีวิต พ่อจับมือเธออยู่ในห้อง ขอโทษเธอและขอให้เธอให้อภัย ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร พ่อก็สิ้นใจไปเสียก่อน กลายเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเธออย่างที่สองคือแม่ประสบอุบั
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อวิ๋นซื่อเจี๋ยไม่เคยกลัวอะไรเลยแต่ตอนนี้ เมื่อเขาเห็นใบหน้าเย็นชาและดุร้ายของฟู่สือถิง เขากลับรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก!รู้สึกว่าถ้าเขาทำให้ฟู่สือถิงโกรธมากขึ้นไปอีก เขาคงถูกทุบตีจนตายอยู่ที่นี่แน่ ๆคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากเขาทำพลาดไป! ประเมินอารมณ์ของฟู่สือถิงผิดถนัด! เขาไม่ควรมาที่นี่อย่างประมาทเช่นนี้ตอนนี้เขาอยากแค่หนีรอดออกไปให้ได้“ป้าหง! กระดูกซี่โครงผมหัก! รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้ผมหน่อย!” เขาไม่กล้าพูดกับฟู่สือถิง จึงตะโกนเรียกป้าหงเสียงดังป้าหงเห็นเขาเลือดอาบ นอนอยู่บนพื้นและกระตุกเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความตกใจ เธอรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“ป้าหง อย่าใจอ่อนกับพวกกากเดนประเภทนี้!” ฟู่สือถิงตะโกนห้ามป้าหงได้สติกลับคืนมาทันที “คุณผู้ชาย สั่งให้บอดี้การ์ดจับเขาโยนออกไปเถอะค่ะ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในบ้านอีกเด็ดขาด!”ฟู่สือถิงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ด บอดี้การ์ดจึงคว้าแขนอวิ๋นซื่อเจี๋ยแล้วลากเขาออกไปฟู่สือถิงมองดูสภาพที่ยับเยินของอวิ๋นซื่อเจี๋ย สั่งบอดี้การ์ดเสียงเย็นเยียบว่า “เอาตัวไปทิ้งให้ไ
เพื่อนร่วมงานได้รับข้อความแล้วตอบกลับทันทีว่า “ทราบแล้วเปลี่ยน! ลงมือเลย!”ประมาณห้านาทีต่อมา เสียงต่อยตีและเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังมาจากนอกบ้าน!ป้าหงได้ยินเสียงดังนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเห็นบอดี้การ์ดสองคนกำลังทำร้ายร่างกายผู้ชายคนหนึ่ง จึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? คนคนนี้เป็นใคร?”“ป้าหง คนคนนี้แหละคือนักถ้ำมองเมื่อคืน! เขาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวกำแพง ถึงแม้เขาไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ต้องจัดการเขาซะ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยุดมือ แล้วอธิบายให้ป้าหงฟัง “ไม่งั้นเขาจะมาทุกวัน เจ้านายต้องไม่พอใจแน่ ๆ”“อ้อ…” ป้าหงมองดูชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง“ป้าหง จำผมได้ไหม?” ชายวัยกลางคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น สะบัดผมที่หน้าผากออก ดวงตาที่เฉียบคมและแดงก่ำจ้องมองป้าหงอย่างตรงไปตรงมาบอดี้การ์ดได้ยินชายวัยกลางคนคนนั้นพูดกับป้าหง จึงหยุดทำร้ายเขาทันทีคนคนนี้รู้จักกับป้าหงงั้นเหรอ? ถ้ารู้จักป้าหงทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?“คุณคือ…” แสงสลัวทำให้ป้าหงมองใบหน้าของเขาไม่ชัด จึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย“คุณอาจจะจำผมไม่ได้ ผมเคยทำงานที่บ้านเดิมกับคุณ” อวิ๋นซื่อเจี๋ยยิ้มแล้วลุกขึ้นจ
ฟู่สือถิงจ้องมองภาพถ่ายของชายวัยกลางคนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เข้าใจเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อนอาจเป็นไปได้ว่าชายคนนี้มีปัญหาทางจิต จึงมาปรากฏตัวอยู่ใกล้บ้านเขาเมื่อคืนแล้วฉีกยิ้มใส่ฟู่สือถิงขยำกระดาษทิ้งลงถังขยะ เดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูในครัว ป้าหงเห็นฟู่สือถิงขึ้นไปชั้นบนแล้ว จึงรีบโทรหาป้าจาง“ได้ยินว่าคุณผู้ชายกับจิ้นซือเหนียนทะเลาะกัน” ป้าจางกล่าว “แต่ไม่ใช่เขาที่เริ่มก่อน ทะเลาะกันเสร็จแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป”ป้าหง “อ๋อ มิน่าล่ะถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้”“คุณผู้ชายอารมณ์เป็นยังไงบ้าง?” ป้าจางถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังพอถูไถ” ป้าหงถามต่อ “วันนี้เขาอยู่กับลูก ๆ แล้วเป็นยังไงบ้าง?”ป้าจางหัวเราะทางโทรศัพท์ “วันนี้เขาไม่ได้อยู่คลุกคลีกับเด็ก ๆ หรอก เขาคอยต้อนรับแขกในงานทั้งวัน อันอันเป็นคนกำชับให้เขาคอยอยู่กับแขก”ป้าหงหน้าแดง “ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะดูใกล้ชิดกันมากขึ้นนะ”“ใช่! ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว หวังว่าต่อไปจะไม่ทะเลาะกันอีก” ป้าจางพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่งั้นลูก ๆ ทั้งสามคนคงน่าสงสารมาก”“อืม ฉั
ฉินอันอันรู้ดีว่าฟู่สือถิงและจิ้นซือเหนียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ฟู่สือถิงมองจิ้นซือเหนียนอย่างเย็นชา ตอบฉินอันอัน “จิ้นซือเหนียนแค่เป็นห่วงความสุขของคุณ เลยเตือนผมให้ออกกำลังกายมากขึ้นหน่อย”“พวกคุณนี่ลามกกันจริง ๆ!” ฉินอันอันหน้าแดง เดินหนีไปด้วยความโกรธจิ้นซือเหนียนเห็นฉินอันอันโกรธ ความสงบสุขบนใบหน้าของเขาก็หายไป “ฟู่สือถิง คุณนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”ฟู่สือถิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ไร้ยางอาย ผู้ชายจะไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้อยู่ที่ปาก ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงหรอกว่าผมจะไหวหรือไม่ไหว รีบไปหาผู้หญิงสักคนมาพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้ด้อยเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ”จิ้นซือเหนียนโกรธจนเดินหนีไปดื้อ ๆ!“คุณตายแน่” ไมค์พูดกับฟู่สือถิง “เดี๋ยวถ้ารุ่ยลารู้ว่าคุณทำให้จิ้นซือเหนียนโกรธ เธอก็จะพาลมาโกรธคุณอีก!”ฟู่สือถิงปวดหัวทันทีเขาไม่สามารถตามจิ้นซือเหนียนกลับมาได้แต่เขาก็ไม่อยากทำให้รุ่ยลาโกรธ“ผมมีวิธีหนึ่ง” ไมค์คิดแผนขึ้นมาทันที “คุณกลับไปก่อน แบบนี้รุ่ยลาก็จะไม่โกรธคุณ”ฟู่สือถิงขมวดคิ้วเข
“คุยอะไร ตอนนี้ไม่สะดวกคุยเหรอ?” เธอโพล่งถามออกไป ทั้งที่ในใจรู้ดีอยู่แล้วความเข้าใจผิดระหว่างเธอกับเขานั้นได้คลี่คลายไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคุยก็คือการขอโอกาสอีกครั้งจากเธอครั้งก่อนเธอปฏิเสธเขาไปอย่างสุภาพ ตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หนักแน่นพออีกทั้งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอยู่แล้ว ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนิทสนมหรือห่างเหินเกินไป แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?“คุยตอนนี้คงไม่ได้ผลหรอก” เพียงแค่ดูสีหน้าของเธอก็เดาได้แล้วว่าเธอคิดอะไรอยู่“คุณคิดว่าพอกลับมาจากต่างเมือง พอคุยกันแล้วจะได้ผลเหรอ?” ฉินอันอันถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณจะไปนานแค่ไหน?”“หนึ่งอาทิตย์”“อ๋อ งั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ค่อยว่ากันใหม่!” เธอก้มหน้าลง มองไปที่มือของเขาที่กำลังจับแขนเธออยู่ “คุณเพิ่งเล่นไพ่เสร็จ ยังไม่รีบไปล้างมืออีก?”เธอรู้สึกว่ามือเขาสกปรกเขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงเธอไปที่ห้องน้ำ “งั้นเราไปล้างมือด้วยกัน!”ทั้งสองคนเดินผ่านห้องจัดเลี้ยงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย“คุณสังเกตไหมว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองค
เสี่ยวตง “พ่อเธอยังไม่มาอีกเหรอ?”รุ่ยลา “มาแล้ว! ตอนนี้ก็ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง!”เสี่ยวตงขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ“พ่อเธอคนไหนล่ะ? ทำไมเขาไม่เห็นมาเล่นกับพวกเธอเลย? เขาขี้เกียจทำงานใช่ไหม? เลยทำให้แม่เธอไม่ยอมคบกับเขา และทำให้พวกเธอไม่ชอบเขาด้วยใช่ไหม?” เสี่ยวตงคิดไปเรื่อยเปื่อยรุ่ยลาตกใจ แต่เธอก็ไม่ยอมบอกความจริงกับเสี่ยวตง “พ่อฉันเปล่าขี้เกียจทำงานซะหน่อย! ฉันไม่บอกหรอกว่าพ่อเป็นใคร พี่บอกว่าพี่เก่งกว่าพี่ชาย งั้นพี่ก็ไปหาเองสิ!”ไมค์หัวเราะ “เสี่ยวตง ทำไมเธอดูอยากรู้จังเลยล่ะว่าพ่อของเสี่ยวหานกับรุ่ยลาเป็นใคร?”เสี่ยวตง “ผมก็แค่อยากรู้! แม่ผมบอกว่าพ่อของเสี่ยวหานก็คือฟู่สือถิง แต่พ่อผมบอกว่าไม่ใช่ พวกเขาทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”ไมค์หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “งั้นเธอเชื่อแม่หรือว่าเชื่อพ่อล่ะ?”“ผมเชื่อพ่อ เพราะพ่อผมดีกับผมมากกว่า” เสี่ยวตงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อของเสี่ยวหานเป็นฟู่สือถิงจริง ๆ เสี่ยวหานคงไม่เมินพ่อของเขาแบบนั้นแน่! ฟู่สือถิงน่ะเก่งมากเลย! เขาเป็นไอดอลของผม!”เสี่ยวหานได้ยินที่เสี่ยวตงพูดก็ไม่สนใจที่จะโต้เถียง เดินออกไปเงียบ ๆไม่นาน เสียงเปียโนอันไพเราะ
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มคนรอบข้าง “ผู้ช่วยของคุณฟู่ไปเอาเงินสดมาแล้วล่ะครับ ดูเหมือนวันนี้คุณฟู่จะตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเลยนะ!” ทุกคนหัวเราะคิกคักใบหน้าของฉินอันอันขึ้นสีเล็กน้อย ไม่คิดว่าฟู่สือถิงจะพยายามขนาดนี้เพื่อสร้างความบันเทิงกับแขก“พวกคุณอย่าเล่นกันจริงจังเกินไปนะคะ” เธอเตือน“อันอัน เพิ่งเริ่มเองนะ คุณก็เริ่มห่วงกระเป๋าเงินของคุณฟู่แล้วเหรอ?” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งฟู่สือถิงมองเธอด้วยแววตาสนใจ แล้วถามว่า “หรือว่าคุณจะมานั่งข้าง ๆ คอยเป็นที่ปรึกษาให้ผมดีล่ะ?”ฉินอันอันหลบสายตาที่ลึกซึ้งของเขา แล้วพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “พวกคุณเล่นกันเต็มที่เลยค่ะ ไม่ต้องไว้หน้าเขาหรอก”พูดจบเธอก็อุ้มลูกเดินออกไปเฮ่อจุ่นจือถือจานอาหารเดินมาจากโซนบุฟเฟ่ต์“อันอัน อย่าห่วงพี่สือถิงเลย เขาไม่ล้มละลายหรอก”ฉินอันอันแก้ตัวเสียงแข็ง “ฉันไม่ได้ห่วงเขา”“แล้วทำไมเมื่อกี้พวกเขาถึงหัวเราะกันเสียงดังขนาดนั้นล่ะ?” เฮ่อจุ่นจือพูดแทงใจดำเธออย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อกี้หลีเสี่ยวเถียนพูดอะไรกับคุณตอนอยู่ข้างนอกบ้างเหรอ? หรือว่าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนของพวกเรา?”เฮ่อจุ่นจือรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่อง