“แม่นม! ทำให้เส้นผมของพระสนมเอกเสียหายหลายเส้น เช่นนี้น่าจะลงโทษด้วยก้อนผมนางเสียให้หมดหัว จึงจะเข็ดหราบนะเพคะ” เจียงหนิงกล่าวยั่วยุ ขณะยืนจัดแต่งทรงผมให้เซี่ยวหลานอย่างประชิดใกล้
“ฮึ! เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ? ข้าว่านั่นมันโหดร้ายเกินไป งั้นนำเอาแม่นมไปเผาจะดีกว่า” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พลางหัวเราะเบา ๆ ออกมาราวกับเหยียดหยาม ขณะที่สายตาคู่สวยของนางยังคงจับจ้องไปยังปิ่นในมือ
ภายในช่วงกลางดึกของคืนนั้น เหลี่ยงฉี! ถูกนำตัวไปมัดอยู่บนกองฟืนโดยร่างของนางถูกรวบตึงติดกับไม้ไว้อย่างแน่นหนาพร้อมทั้งมีผ้ายัดปากนางไว้เพื่อเตรียมถูกเผาตามคำสั่งของเซี่ยวหลาน
“แม่นม! ทำเส้นผมของพระสนมเอกล่วงหลายเส้น นางจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยว จึงสั่งฆ่าแม่นม”
“เรื่องโหดร้ายเช่นนี้ผู้ใดจะเป็นคนลงมือ”
ขณะสาวใช้ทั้งสองกำลังเกลี่ยงกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของนาง
“ข้าจะเป็นคนเผาเอง” สาวใช้ทั้งสองจึงหันหลังไปมอง จึงทราบว่าต้นกำเนิดเสียงคือผู้ใด
ขณะนั้นเจียงหนิงค่อยก้าวเท้าเข้ามาใกล้กองฟืนอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเหลี่ยงฉีแล้วใช้มือดึงผ้ายัดปากของเหลี่ยงฉีออก ทันทีที่ผ้านั้นหลุดออกเหลี่ยงฉี จึงรีบกล่าวต่อว่าเจียงหนิงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำให้ข้าต้องถูกลงโทษ คนที่ควรถูกลงโทษนี้สมควรเป็นเจ้าเสียมากกว่า ใครก็ได้ช่วยจับเจียงหนิงมาเผาที”
ขณะนั้นเจียงหนิงรีบคว้าขบเพลิงในมือของทหารที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตน ขึ้นมาถือแทนด้วยท่าทางมั่นใจ
“หากเจ้าไม่หยุดพูดขบเพลิงงนี้อาจล่วงจากมือข้าก็เป็นไปได้” ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เหลี่ยงฉีเงียบครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้ากับเจ้ามิใช่ศัตรูกันเหตุใดเจ้าจึงทำร้ายข้า”
เมื่อเจียงหนิงได้ยินเช่นนั้นนางก็ใช้มือเรียวบางหยิบปิ่นปักผมบนศรีษะของตนออกมายื่นให้เหลี่ยงฉีดูใกล้ ๆ “เจ้าจำปิ่นปักผมนี้ได้หรือไม่?”
ขณะนั้นเหลี่ยงฉีจึงเพ่งพินิจยังปิ่นในมือของเจียงหนิงอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางกับนึกไม่ออก นางพยามจับจ้องอยู่หลายครั้งแต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี เจียงหนิงเห็นท่าทางของเหลี่ยงฉีแล้ว นางจึงทราบแน่ว่าเหลี่ยงฉีนั้นจำปิ่นอันนี้ไม่ได้แน่ หลังจากนั้นเจียงหนิงจึงตัดสินใจเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนให้เหลี่ยงฉีฟังอย่างละเอียดก่อนตาย
“วันนั้นเมื่อสองปีก่อน ยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของข้า แม่ของข้า ชื่อจี้อิง! หมอตำแยผู้เชี่ยวชาญ ได้รับมอบหมายให้ไปทำคลอดให้กับพระสนมเซี่ยวในตำหนักใหญ่ ข้าเองจำได้ดีว่าวันนั้นตรงกับวันเกิดของข้า แต่แม้จะเป็นวันสำคัญเช่นนั้น แม่ก็ต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การคลอดบุตรของพระสนมเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าพูดถึง เพราะเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ พระสนมเซี่ยวปัสสาวะออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายในระหว่างการคลอด นางรู้สึกอับอายอย่างรุนแรง แม้การคลอดนั้นจะสำเร็จและทารกปลอดภัย แต่ความอัปยศครั้งนั้นได้กลบทุกอย่าง
ในยามที่ความโกรธของพระสนมพุ่งถึงขีดสุด นางกลับไม่ยอมรับชะตากรรมของตนเอง พระนางจึงสั่งให้ประหารชีวิตทุกคนที่อยู่ในห้องคลอดวันนั้น ไม่เว้นแม้แต่แม่ของข้า นางผู้ที่ทำเพียงหน้าที่ของตนเอง ช่วยชีวิตทั้งแม่และลูกอย่างดีที่สุด
ความโหดร้ายครั้งนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในใจข้า และวันนี้ วันที่ข้ากลับมา ข้าจะไม่ปล่อยให้สิ่งที่เกิดกับแม่ของข้าต้องผ่านไปโดยไม่มีการชดใช้ ข้าจะคืนความยุติธรรมให้แก่แม่ของข้า”
“ฮะ! เจ้าคือลูกของหมอตำแยคนนั้นหรือ?” หลังจากนั้นเหลี่ยงฉีกล่าวออกมาด้วยความตกใจ
“ใช่! เจ้าจดจำวันนั้นได้แล้วใช่หรือไม่? ดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้น จะเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าในวันนี้”
“หากวันนั้นข้าเพียงทำตามคำสั่งของพระสนมเอกเท่านั้น เจ้าก็เป็นสาวใช้ในวังก็น่าจะรู้ดี”
“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้มาถึงห้าปี เจ้าก็เป็นสุนัขรับใช้อยู่ดี เจ้านายสั่งให้ฆ่าก็ฆ่า”
“เจ้าอย่าหลงตนเองไป หากวันนี้เป็นของข้า วันหน้าอาจไม่ใช่วันของเจ้า”
“ข้าเข้ามาในวังนี้ไม่ได้มาเพื่อเป็นทาสผู้ใด ทว่าเข้ามาเพื่อแก้แค้น และเจ้าก็คนแรก”
“เจ้าตัวคนเดียวหรือจะมาทำอันใดในวังนี้ได้”
“ผู้ใดว่าข้าเข้ามาแต่เพียงผู้เดียว พวกของข้าอยู่ทั่ววังไปหมด พวกเขาแอบซ่อนตัวมาตั้งนานแล้วหากแต่เจ้าไม่รู้เองเสียมากกว่า พวกเขาคอยเป็นหู เป็นตาให้แก่ข้า คอยช่วยเหลือข้า หากเจ้ารู้แล้วก็อย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเชียว”
หลังจากเจียงหนิงกล่าวจบนางก็โยนขบเพลิงในมือลงดั่งกองฟืนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าเสียงกรีดร้องของเหลี่ยงฉีก็ดังขึ้นอย่างทรมาน จนกระทั่งสิ้นใจตายในที่สุด
กลุ่มสาวใช้ในวังต่างพูดคุยกันด้วยความยินดี ปลื้มปิติเมื่อได้รับข่าวว่าแม่นมผู้โหดร้ายที่ทุกคนหวาดกลัวได้ตายไปแล้ว เสียงหัวเราะและคำพูดคุยดังสนั่นไปทั่วสวน เจียงหนิงที่เดินตามหลังกลุ่มนั้นกลับไม่ได้รู้สึกปลอดโปร่งเหมือนคนอื่น นางเดินตามหลังด้วยความระแวดระวัง แต่ไม่ทันใส่ใจว่าเงาดำจากทางด้านหลังได้ปรากฏขึ้นสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แล้วใช้มือปิดปากเจียงหนิงอย่างรวดเร็ว พร้อมดึงนางเข้าไปในมุมมืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ขณะที่เจียงหนิงถูกดึงเข้ามา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในร่าง ความหวาดกลัวแล่นพล่านในใจ นางไม่รู้ว่าผู้ใดต้องการทำร้ายนาง ความคิดสับสนไปหมด ทันใดนั้นเอง เมื่อมือที่ปิดปากถูกปล่อยออก สาวใช้คนนั้นจับไหล่เจียงหนิงให้หันมามองหน้า นางชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า คนที่เจียงหนิงคิดว่าอาจจะเป็นศัตรูกลับกลายเป็นไป๋เหม่ย เพื่อนเก่าแก่ของมารดาของนาง
เจียงหนิงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับน้ำหนักทั้งหมดถูกยกออกจากหัวใจ นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้พบว่าคนที่เข้าหานางไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นผู้ที่เคยสัญญาว่าจะดูแลนางในยามคับขัน ไป๋เหม่ยจ้องมองเจียงหนิงด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยอย่างให้สัญญาณว่านางยังคงอยู่เคียงข้างตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาของเจียงหนิง ก่อนจะกล่าวถามเจียงหนิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าเข้ามาในวังเพราะเหตุใด”
“ข้าต้องการมาแก้แค้นให้กับแม่”
“พระสนมเซี่ยวเป็นสนมคนโปรดของฮ่องเต้ เจ้าคิดจะทำอันใดได้”
“ข้าก็จะแย่งตำแหน่งคนโปรดมาจากพระสนมเซี่ยวยังไงล่ะ” เจียงหนิงกล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยแผนการร้าย
ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักราวกับท้องฟ้าถูกฉีกขาด นางทั้งสองที่เพิ่งเสร็จสิ้นการสนทนาก็แยกย้ายจากกันไปคนละทาง เสียงฝนกระทบพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณวังกว้างใหญ่ ในขณะฮ่องเต้และองครักษ์ส่วนพระองค์ก็ได้รีบเข้าหลบฝนในศาลาเล็กแห่งหนึ่งภายในสวนของวัง ศาลาเก่าแก่อยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกเย็นสบายแม้จะมีฝนเทลงมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนัก ร่างของเจียงหนิงก็ปรากฏขึ้น นางวิ่งเข้ามายังศาลาอย่างรวดเร็วเพื่อหลบฝน ร่างกายของนางเปียกชุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผิวเนียนเปล่งปลั่งสะท้อนกับหยดน้ำฝนที่เกาะตามเส้นผมและผิวพรรณ เมื่อได้เข้ามายังกำบังฝน นางจึงเริ่มถอดเสื้อผ้าบางชิ้นที่ชุ่มน้ำออก ก่อนจะออกมาเล่นน้ำฝนอย่างสนุกสนานโดยไม่ทันสังเกตถึงการมีอยู่ของผู้อื่น
ทันใดนั้น เจียงหนิงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัว นางหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกมาดูที่บริเวณนอกฉากกั้น ในความมืดสลัว ร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงาสลัวของศาลา นางจ้องมองไปยังเขา ทว่าไม่อาจมองเห็นหน้าได้ชัดเจน
“เจ้าทำอะไรอยู่หรือ? มายืนอยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ เจ้าจะทำให้ข้าตกใจตาย” นางกล่าวด้วยเสียงตำหนิ
ชายผู้นั้นไม่ตอบอะไรในทันที แต่หันมาทางนางอย่างช้าๆ ในยามที่แสงสลัวกระทบกับใบหน้าของเขา นางยังไม่รู้ว่าเขาคือฮ่องเต้ นางเพียงคิดว่าเขาเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่ง
“เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ?” ชายผู้นั้นกล่าวถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แฝงไปด้วยความสง่างาม
เจียงหนิงยักไหล่ก่อนจะตอบอย่างหยัน ๆ “ข้าจะรู้จักเจ้าได้เช่นไร? ในวังนี้มีทหารตั้งมากมาย ใครจะไปจำหมด!”
ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ร่างกายของนางที่เปียกชุ่มน้ำอยู่ในสภาพเกือบเปลือยเปล่า นางมีเพียงเสื้อผ้าที่ถอดออกห่อหุ้มร่างกายไว้เพียงบางส่วน ความเย้ายวนของนางที่ไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้ชายผู้นั้นซึ่งยืนอยู่ตรงหน้ายิ่งจ้องมองนางด้วยสายตาแฝงไปด้วยความเสน่ห์หา
ในชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ก็ยังคงไม่กล่าววาจาใดเพิ่มเติม แต่สายตาที่จับจ้องไปยังร่างงามตรงหน้า กลับบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เขาเก็บงำเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
ท่ามกลางเสียงฝนที่ยังคงตกกระหน่ำ เจียงหนิงจ้องมองชายตรงหน้าด้วยความสงสัยและโกรธเกรี้ยว นางกล่าวต่อด้วยเสียงดุดัน “ผู้ใดให้เจ้ามาแอบดูข้า” นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความระแวง ขณะเดียวกันนางก็กอดเสื้อผ้าที่ถอดออกไว้กับตัวอย่างแนบชิดเพื่อปกปิดเรือนร่าง
ฮ่องเต้ที่ยืนสงบนิ่งภายใต้ฉากกั้น กล่าวตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงพลัง “ข้าไม่ได้มาแอบดูเจ้า ข้ามาอยู่ที่นี่ก่อนเจ้าด้วยซ้ำ”
เจียงหนิงขมวดคิ้ว แน่นอนว่านางไม่เชื่อคำพูดของชายผู้นี้ “ประเดี๋ยวข้า จะฟ้องแม่บ้านให้มาลงโทษเจ้า!” นางพูดขึ้นอย่างประชดประชัน คิดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์ที่คงจะกลัวบทลงโทษจากผู้ใหญ่ในวัง
แต่ฮ่องเต้กลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ในวังนี้ไม่มีผู้ใดกล้าลงโทษข้าได้ และข้าก็ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา ข้าคือองครักษ์ของฮ่องเต้”ทว่าหลงเหวิน! กลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ในวังนี้ไม่มีผู้ใดกล้าลงโทษข้าได้ และข้าก็ไม่ใช่ทหารยามธรรมดา ข้าคือองครักษ์ของฮ่องเต้”
เจียงหนิงเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ยังคงไม่แสดงความกลัว นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ยอมแพ้ “เป็นองครักษ์แล้วอย่างไร? งั้นเจ้ารอข้าตรงนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า”
หลังจากกล่าวจบ นางไม่รอให้เขาตอบ นางรีบวิ่งฝ่าสายฝนออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของนางละลายหายไปในม่านฝนที่หนักหน่วง แม้ฮ่องเต้จะเรียกนางเสียงดัง นางก็ไม่ยอมฟัง กลับยิ่งวิ่งหนีไปไกลกว่าเดิม ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ในใจ
เมื่อสายฝนเริ่มซาและเหลือเพียงเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นหินในศาลา ฮ่องเต้เหลือบไปเห็นบางสิ่งตกอยู่บนพื้นใกล้จุดที่เจียงหนิงเคยยืน มันคือถุงหอมขนาดเล็ก กลิ่นหอมละมุนของลูกแพค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจาง ๆ เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาดู ถุงหอมนั้นทำจากผ้าเนื้อดี ปักลวดลายอย่างประณีต ฮ่องเต้จ้องมองมันอย่างครุ่นคิดก่อนจะนำขึ้นมาสูดดมเบา ๆ กลิ่นหอมของลูกแพชวนให้เขาหวนคิดถึงใบหน้าของเจียงหนิงในวินาทีที่นางวิ่งฝ่าสายฝนจากไป รอยยิ้มเย้าแหย่ของนางยังคงติดอยู่ในความคิดของเขาเขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จมอยู่ในความคิดถึงความลึกลับของหญิงสาวผู้นั้น ขณะที่มือยังคงกำถุงหอมไว้แน่นในขณะเดียวกันนั้นเอง เจียงหนิงที่ไม่ยอมไปไหนไกล กำลังแอบดูฮ่องเต้อยู่จากมุมหนึ่งของศาลา แววตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจ แผนการของนางเริ่มสำเร็จ นางตั้งใจทิ้งถุงหอมนี้ไว้เพื่อให้เขาติดกับดัก ความตั้งใจของนางคือทำให้ฮ่องเต้จดจำนางและสิ่งของนี้ไปตลอดเมื่อฝนหยุดตก ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับตำหนักของตนเอง ถุงหอมยังคงถูกถืออยู่ในมือของเขา เจียงหนิงมองตามหลังเขาไป รู้สึกอุ่นใจและพึงพอใจที่แผนของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว รอยยิ้มมุมปากของนางเผยออกมาอย่างแผ่วเบา ข
ฮ่องเต้ปรายตามองเจียงหนิงอย่างสงสัย และทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของนาง พระองค์ก็จดจำได้ทันทีว่านางคือสตรีที่พระองค์ตามหามาตลอด “นางผู้นี้ทำอันใดผิดหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสถามเซี่ยวหลานด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความคาดคั้นเซี่ยวหลานชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงตอบอย่างหนักแน่น “นางทำผิดกฎระเบียบ ผู้ต่ำกว่าระเมิดผู้สูงกว่าเพคะ”ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าตำหนักของเจ้ามักมีสาวใช้ถูกทุบตีหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตำหนักของเจ้าคงจะเข้มงวดถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”เซี่ยวหลานเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากคำพูดของพระองค์ นางรีบก้มหน้าลงและกล่าวอย่างรวดเร็ว “พระองค์โปรดระงับโทสะเพคะ ข้าเป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้ ข้าดูแลคนของข้า และนางผู้นี้เป็นเพียงสาวใช้”ทันใดนั้น ฮ่องเต้ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงแฝงอำนาจและหนักแน่น “ผู้ใดบอกเจ้าว่านางเป็นเพียงสาวใช้? นางผู้นี้เป็นผู้หญิงของข้า”เมื่อเซี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้น นางถึงกับตื่นตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจอย่างที่สุด นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าสาวใช้ที่นางพยายามจะลงโทษคือคนที่ฮ่องเต้ตามหามาตลอดและเป็นผู้หญิงของพระองค์ นางรีบย่อกายลงคำนับ แต่ในใ
ฮ่องเต้หยุดชั่วครู่ ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ให้นางเข้ามาได้”ขันทีผู้นั้นรีบหันหลังกลับและเดินออกไปแจ้งข่าวให้พระสนมหลี่ทราบ ขณะกำลังยืนรออยู่หน้าตำหนัก ไม่นานนัก พระสนมหลี่ก็เดินเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่วงท่าที่สง่างาม นางหยุดยืนต่อหน้าฮ่องเต้ ซึ่งประทับอยู่ข้างเจียงหนิง ผู้ที่เขากำลังหลงใหลอย่างมากในเวลานี้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปในทันที เมื่อพระสนมหลี่ปรากฏตัว รัศมีของความเป็นคู่แข่งชัดเจนในทุกอิริยาบถของนาง นางก้มลงคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ พร้อมกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลแฝงความเย็นชา “ฝ่าบาท หม่อมฉันมาเยี่ยมเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงสำราญดี”ฮ่องเต้ประทับนิ่ง มองไปที่พระสนมหลี่ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย ในขณะที่เจียงหนิงเงียบ แต่ในดวงตานางมีประกายความมั่นใจและอ่อนโยน ขณะที่ยังคงนั่งอยู่ข้างพระสวามีอย่างไม่แยแสภายในห้องโถงที่บรรยากาศเริ่มจะอึดอัดขึ้น หลี่เจิ่งก้าวไปข้างหน้า สีหน้าของนางแฝงไปด้วยความเย็นชาและความไม่พอใจ “ข้ามีเรื่องจะมาปรึกษาท่านเพคะ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องโปรดออกไปก่อนเถิด” นางกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจเจียงหนิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้น นางย่อตัวพร้อมกล่าวต่อหน้าฮ่องเ
เจียงหนิงยืนอยู่ใกล้ฮ่องเต้ รู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง แม้จะอยู่ในท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม แต่เมื่อฮ่องเต้ดึงนางมานั่งบนตัก ความเคร่งเครียดนั้นก็หายไป เหลือเพียงความสนิทสนมที่แท้จริงระหว่างคนสองคนที่มีความรักและความผูกพันอย่างลึกซึ้ง“ตอนที่เจ้าเจอข้าครั้งแรก…” ฮ่องเต้เริ่มเล่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่มีเพียงนางได้ยิน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเพียงทหารยามธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ ทว่ากลับทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีความบริสุทธิ์และจริงใจ”เจียงหนิงยิ้มและตอบอย่างอ่อนหวาน “ท่านดูโดดเด่นยิ่งกว่าใครในชุดองครักษ์ และสำหรับข้า แค่เป็นสาวใช้ที่ไม่มีความพิเศษอะไร การได้พบรักกับท่านมันเป็นความรักที่ธรรมชาติและเรียบง่ายเพคะ”ฮ่องเต้ยิ้ม ก่อนถามด้วยความสนใจ “เจ้าประทับใจข้าตอนที่ข้ายังเป็นองครักษ์อยู่หรือ?”เจียงหนิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “องครักษ์ของฮ่องเต้ดูมีอำนาจและสง่างามมากเพคะ การพกกระบี่ของท่านนั้นช่างน่าดึงดูด และหากท่านมาหาข้าในชุดองครักษ์คืนนี้ คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อยเพคะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ เป็นสัญญาณรับรู้ ก่อนจะทานอาหารพร้อมกับนาง บรรยากาศระหว่างพวกเขา
ในห้องหนังสือที่ประดับด้วยชั้นวางหนังสือเล่มหนาเรียงราย ฮ่องเต้ประทับบนโต๊ะทำงาน สีหน้าดุดันพร้อมด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน หลังจากเพิ่งอ่านจดหมายจากบิดาของหลี่เจิ่งที่เต็มไปด้วยการบีบบังคับและคำขู่ เขาไม่สามารถสงบใจได้ ในขณะนั้น เจียงหนิงก้าวเข้ามาอย่างนอบน้อม เพื่อเข้าเฝ้าตามที่ได้รับเรียก นางเงยหน้ามองเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“ฮ่องเต้! โปรดระงับโทสะลงเถิดเพคะ” เจียงหนิงกล่าวเบา ๆ พยายามคลายอารมณ์ที่ตึงเครียดในห้อง“นี่มิใช่จดหมายขอโทษข้า แต่เป็นการบีบบังคับข้าให้ปล่อยตัวพระสนมหลี่!” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมขว้างจดหมายลงกับโต๊ะเจียงหนิงหลบสายตาอย่างนอบน้อม “พระสนมหลี่มิได้ทำอันใดผิดเพคะ”ฮ่องเต้หันหน้ามองเจียงหนิง “เจ้าต้องอดทนกับสภาพเช่นนี้ เพราะข้าต้องพึ่งบิดาของพระสนมหลี่ ข้าไม่อยากทำให้เรื่องมันยากขึ้น”“ข้าเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อย ได้รับโอกาสมาถึงขั้นนี้ก็ดีมากแล้วเพคะ ข้าขอบพระทัยที่ท่านไม่เคยสงสัยในตัวข้า แต่ข้าไม่อยากให้ท่านต้องผิดใจกับพระสนมหลี่เพคะ”ฮ่องเต้ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไยเจ้าเป็นคนดีเช่นนี้ จะไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาได้เช่นไร”เขาก้าวเข้ามาใกล้
สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าและรีบกล่าวเสริมเพื่อปลอบโยนเจ้านายของตน “พระสนมหลี่ เล่นพิณมาตั้งสิบปี มีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถเล่นเพลง ‘จิวหลง’ ได้เพคะ ไม่มีผู้ใดเทียบได้”คำพูดนั้นช่วยปลอบใจหลี่เจิ่งได้เพียงเล็กน้อย นางแค่นหัวเราะเยาะ “เมื่อข้ามิได้เล่น อย่าหวังว่าผู้หญิงชั้นต่ำเช่นเจียงหนิงจะได้โชว์ฝีมือ! ข้าจะไม่ยอมให้สนมสารเลวคนนั้นได้รับความชื่นชมเหนือข้า!”นางหันหน้ามาสั่งสาวใช้ด้วยสายตาเยือกเย็นที่แฝงไปด้วยความอาฆาต “ข้าต้องการให้เจียงหนิงได้รับบาดเจ็บและเสียหน้าในวันงาน จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้ใครรู้ว่าเป็นฝีมือของข้า”สาวใช้ของนางก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม “เพคะ พระสนมหลี่ กระหม่อมจะจัดการให้เรียบร้อย”หลังจากรับคำสั่ง สาวใช้ของหลี่เจิ่งรีบถอยออกไปเพื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับ บรรยากาศในตำหนักของหลี่เจิ่งเต็มไปด้วยความเงียบที่แฝงไปด้วยความมืดมนและความตั้งใจในการวางแผนเล่นงานเจียงหนิงอย่างลับ ๆขณะเดียวกัน เจียงหนิงนั่งอยู่ในห้องของตนอย่างเงียบสงบ ความคิดมากมายลอยวนอยู่ในหัวของนาง ทันใดนั้น ประตูห้องเปิดออกอย่างแผ่วเบา ไป๋เหม่ย! ผู้จงรักภักดี ถือพิณโบราณเข้ามาในห้องโดยไม่
งานเลี้ยงถูกยุติลงอย่างรวดเร็ว ข้าราชบริพารรีบพาหลี่เจิ่งกลับไปยังตำหนักของนาง เมื่อกลับมาถึงตำหนัก สาวใช้ของหลี่เจิ่งรีบเตรียมยามารักษาบาดแผลให้นางด้วยความร้อนรน ทว่าสาวใช้คนนั้นกลับถูกปัดถ้วยยาทิ้งลงพื้นอย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยวของหลี่เจิ่ง นางมองดูสาวใช้ด้วยสายตาที่แสดงถึงความเกลียดชังและอารมณ์ที่ขุ่นมัว“ข้าไม่ต้องการยานี้!” นางตวาดลั่นด้วยความโมโห ไม่เพียงแต่เพราะบาดแผลที่ได้รับ แต่ยังเป็นความโทสะที่แผนการของนางกลับพังทลายลงพร้อมกับบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือนได้ สายตาของนางที่เคยเป็นประกายกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเจียงหนิงก้าวเข้ามายังตำหนักของหลี่เจิ่งอย่างเงียบ ๆ ทว่าแววตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ หลี่เจิ่งเมื่อเห็นหน้าของเจียงหนิง ก็แสดงความไม่พอใจทันที ดวงตาของนางวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ?” นางเอ่ยด้วยเสียงเย้ยหยันเจียงหนิงไม่แสดงอาการหวาดหวั่น นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “นี่เป็นผลกรรมของเจ้าเอง สมควรแล้ว เจ้าเป็นคนวางแผนทั้งหมด และกลับโทษคนอื่น เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”คำพูดของเจียงหนิงทำให้หลี่เจิ่งตกตะลึง นางจ้องมองเจียงหนิงด้วยความหว
เจียงหนิงยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เงินทองเป็นของนอกกาย หากเจ้าอยู่ในวังแห่งนี้ เจ้าจะต้องพบเจอกับเรื่องร้ายแรงอีกมากมาย รับมันไว้เถิด และไปใช้ชีวิตที่สงบสุขเสียเถิด”“ท่านแน่ใจนะเพคะ ไม่ต้องการให้ข้าคอยช่วยเหลือท่านอีกหรือ? พระสนมเซี่ยวมีจิตใจโหดร้ายและไม่รักษาคำพูด ข้าเกรงว่า...” สาวใช้กล่าวด้วยความห่วงใยและกลัวเจียงหนิงจะต้องพบเจอกับความเลวร้ายเจียงหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “พระสนมเซี่ยวต้องการกำจัดข้า แต่ข้าจะชิงลงมือเสียก่อน”สาวใช้ส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความกังวล “พระสนมเซี่ยวมีครอบครัวที่โหดเหี้ยม ข้าอยากให้ท่านคิดให้ดี ๆ ก่อน หากไม่เช่นนั้น ข้าขอให้ท่านล้มเลิกความคิดแก้แค้นนี้เถิดเพคะ”เจียงหนิงฟังคำเตือนนั้นด้วยความนิ่งสงบ แต่นางก็ตอบกลับด้วยเสียงที่หนักแน่น “จะให้ข้ายกเลิกได้เช่นไร แม่ของข้าต้องทำงานหนักมาตลอด ไม่เคยได้กินอาหารดี ๆ หรือพักผ่อนเต็มที่ ตั้งแต่ข้าจำความได้ แม่ข้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ”ภาพในอดีตลอยขึ้นมาในหัวของเจียงหนิง นางจำได้ดีในวันนั้น นางนำซาลาเปาร้อน ๆ ไปให้แม่ที่ยืนอยู่หน้าวัง ทว่าวันนั้นกลับเป็นวันที่แม่ของนางเสียชีวิต จา
เมื่อทหารยามได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มลังเล กลัวว่าตนจะมีความผิดหากขัดขวาง จึงยอมให้เจียงหนิงและไป๋เหม่ยเข้าไปภายในตำหนักของเซี่ยวหลานแผนการของเจียงหนิงเป็นไปตามที่วางไว้ ปิงปิงสามารถสร้างความวุ่นวายและแทรกซึมเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกขังไว้ในตำหนักเซี่ยวหลานได้ แต่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ปิงปิงก็กลับมายังตำหนักของเจียงหนิงด้วยใบหน้าเศร้าหมองและท่าทางอิดโรยเจียงหนิงรีบก้าวเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าช่วยทุกคนได้หรือไม่? และสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”ปิงปิงก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า “สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนักเพคะ ข้าเข้าไปช่วยมาได้เพียงสองคนเท่านั้น นอกนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้วเพคะ”ไม่นานนัก อาซีและน้องสาวของนางก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางอ่อนแรงและซีดเซียว เจียงหนิงรีบสั่งให้สาวใช้ไปนำยามาให้อาซีดื่มเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็ไม่ทันการณ์ ร่างของอาซีที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ทรุดลงและสิ้นใจต่อหน้าเจียงหนิง น้องสาวของอาซีร้องไห้เสียงดังด้วยความเสียใจที่พี่สาวของตนต้องจากไปเจียงหนิงมองภาพนี้ด้วยความสลดใจ นางรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอาซีได้ แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่แล้ว ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นทำ
เซี่ยวหลานแสร้งทำเป็นยิ้มเยาะ “ท่านคงพูดล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่เพคะ” นางหันไปมองเจียงหนิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วถามอย่างท้าทาย “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เจียงหนิงตอบด้วยท่าทางสุภาพ “ในด้านของรูปลักษณ์ ในความงามไม่มีผู้ใดในวังเทียบพระสนมเซี่ยวได้”แม้คำตอบจะฟังดูเป็นการยกย่อง แต่เซี่ยวหลานยังไม่หยุดเยาะเย้ย นางมองเจียงหนิงด้วยสายตาจับผิด “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงแค่สิงกว่า เหตุใดเจ้าถึงดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า เจ้าเองก็อายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายปี ไยหน้าตาถึงดูแก่กว่าข้ามากเช่นนี้เล่า หรือช่วงนี้เจ้ารับใช้ฮ่องเต้มากเกินไปใช่หรือไม่?”คำพูดที่เสียดแทงของเซี่ยวหลานทำให้บรรยากาศอึมขรึม แต่เจียงหนิงกลับยิ้มบาง ๆ นางไม่ตอบคำใด ๆเซี่ยวหลานหันกลับมาหาฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้มแฝงนัยยะ “ท่านไปที่ตำหนักข้าจะดีกว่าเพคะ ให้สนมเจียงได้พักผ่อนบ้าง จะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไปเพคะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย “อืม” ก่อนจะก้าวเดินตามเซี่ยวหลานไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งเจียงหนิงไว้เพียงลำพังหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว ไป๋เหม่ยก้าวเข้ามาใกล้เจียงหนิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางกระซิบเบา ๆ “ข้าได้กลิ่นยาจากตัวพระสนมเซี่ยวมาแต่ไกล
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันใส่ชุดนี้สวยหรือไม่? นี่คือชุดที่ท่านมอบให้ข้าเมื่อวันก่อน” เซี่ยวหลานกล่าวพร้อมปรายตามองเจียงหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฮ่องเต้ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและหันมามองเซี่ยวหลานก่อนจะเอ่ยปากชื่นชม “เจ้าใส่ชุดนี้ช่างดูดียิ่งนัก”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยวหลานรู้สึกปลื้มใจจนฉีกยิ้มอย่างไม่กระดากอาย นางเต็มไปด้วยความสุขที่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ “ข้ามีชุดนอนที่ใช้เนื้อผ้าน้อยที่สุด จะให้ท่านดูด้วยเพคะ” เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวนฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปดู”เซี่ยวหลานไม่ยอมหยุดแค่นั้น นางหันมามองฮ่องเต้พร้อมส่งสายตาเย้ายวน “เหตุใดต้องรอให้ถึงค่ำคืนนี้เล่าเพคะ?”ฮ่องเต้หันไปมองเจียงหนิงเพียงชั่วครู่ เมื่อเจียงหนิงเห็นท่าทีเช่นนั้น นางจึงลุกขึ้นทันที “ข้านึกได้ว่ามีธุระที่จะต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อนเพคะ” เจียงหนิงลุกขึ้นย่อคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความสงบขณะที่เจียงหนิงกำลังจะเดินออกจากห้อง เซี่ยวหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ามาทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่? เป็นอย่างไรบ้างที่โดนไล่ออกจากห้องเช่นนี้?”เจียงหนิงหันหลังเดินออกไป นางหยุดชั่
หลินมู่อย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้านี้บังอาจยิ่งนัก ฆ่าลูกข้าถึงสองคน แล้วกล้าใส่ร้ายสนมเจียงอีก! ข้าคิดว่าเจ้าจะดีกว่าทุกคน เห็นหน้าใสซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทหาร นำตัวนางผู้นี้ไปขังไว้ในห้องเย็น ห้ามมิให้นางออกมาจนกว่านางจะสิ้นชีพ!”หลินมู่ที่ยังตกใจจากการถูกตบ รีบคลานไปเกาะชายเสื้อของฮ่องเต้พลางอ้อนวอน “หากข้าต้องไปอยู่ในห้องเย็น ข้าคงตายแน่ ๆ โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด!”ฮ่องเต้กลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเคยบอกว่าเจ้าแข็งแกร่ง ออกรบมานักต่อนัก ไยคราวนี้กลับมาร้องขอความเมตตาเช่นนี้? เจ้าช่างโหดร้ายยิ่งนัก และข้าจะปลดพ่อเจ้าออกจากตำแหน่งในไม่ช้านี้ นำตัวนางออกไป!”หลังจากนั้น ฮ่องเต้หันกลับมาหาเจียงหนิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวข้าจะกลับมา ข้าจัดการธุระให้เสร็จสิ้นก่อน ถิงถิง เจ้าดูแลสนมเจียงต่อเถิด”เมื่อฮ่องเต้ก้าวพ้นประตูห้องไป เจียงหนิงพลันลุกขึ้นนั่งด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ นางรู้ดีว่าแผนการของตนเองได้ผลอย่างสมบูรณ์เจียงหนิงนั่งเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มขณะมองถิงถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความสงสัยในใจ นางจึงเอ่ยถามเบา ๆ “เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้าหรือ?”ถิงถิงยิ้ม
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงหนิงยืนอยู่บริเวณทางเดินในวังหลวง สายตาของนางจับจ้องไปที่หลินมู่ซึ่งกำลังเดินตรงมาทางนางพร้อมกับท่าทางมุ่งมั่น สาวใช้ของเจียงหนิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางเหลือบมองหลินมู่และกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบาแฝงความเย้ยหยัน “เมื่อฮ่องเต้กลับจากการล่าสัตว์ในป่าคราวก่อน ก็ไม่เคยเสด็จไปหาสนมหลินอีกเลยเพคะ”เมื่อหลินมู่เดินเข้ามาใกล้ เจียงหนิงและสาวใช้ต่างพูดคุยและจ้องมองหลินมู่ ทำให้หลินมู่รู้สึกถึงความดูถูกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของทั้งสอง นางหยุดเดินและเอ่ยถามทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ากำลังนินทาข้าอยู่หรือไม่? หากใช่ก็ระวังปากพวกเจ้าไว้ให้ดี มิฉะนั้น ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ”สาวใช้เจียงหนิงได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบ เจียงหนิงกลับยิ้มเยาะและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เมื่อคืนเจ้าโกรธเกรี้ยวฮ่องเต้มากมิใช่หรือ จึงหยิบดาบฟาดฟันสิ่งของไปทั่ว? หากเจ้ารู้สึกเบื่อไยไม่รายรำเพลงดาบให้สบายใจเล่า เจ้ามีฝีมือเรื่องเพลงดาบมิใช่หรือ? ข้าอยากชมเป็นขวัญตายิ่งนัก”คำพูดนั้นทำให้หลินมู่โกรธจัด นางกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าบังอาจมากไปแล้ว! เห็นข้าเป็นตัวตลกม
หลินมู่ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “พระสนมเซี่ยว โปรดระงับโทสะก่อนเพคะ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร พระสนมเจียงมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากมาย ข้าตามเกมนางไม่ทันเพคะ”เซี่ยวหลานขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางถามเสียงเข้ม “เรื่องอันใดเจ้าสู้นางมิได้หรือ?”เมื่อหลินมู่ได้ยินคำถามนี้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ “พระสนมเจียง... ตั้งครรภ์เพคะ”คำตอบนั้นทำให้เซี่ยวหลานตะลึงทันที นางยืนนิ่ง ความคิดวิ่งวุ่นในหัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ ความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจของนาง นี่เป็นเหตุการณ์ที่นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น การที่พระสนมเจียงตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่นางเคยวางแผนเอาไว้ในตำหนักอันเงียบสงบ ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์อย่างสง่างาม โดยมีเจียงหนิงนั่งอยู่ข้างกาย ท่าทางของฮ่องเต้ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อพระองค์เหลือบมองสนมที่กำลังตั้งครรภ์ ด้วยสายตาแห่งความห่วงใย“ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองให้ดี ยิ่งอาหารการกินก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ยัง
ฮ่องเต้ฟังแล้วรู้สึกสงสาร “เจ้าอย่าเศร้าไปเลย เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ข้าได้เตรียมแต่สิ่งดี ๆ ไว้ให้เจ้า” พระองค์กล่าวพลางคีบอาหารป้อนให้เจียงหนิง ทำให้หลินมู่ไม่พอใจอย่างยิ่งหลินมู่ลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างฉุนเฉียว แต่ในขณะที่นางกำลังจะเดินออกไป นางชนเข้ากับสาวใช้ที่กำลังนำผลไม้เข้ามาถวาย “เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร!” หลินมู่ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ข้าจะลงโทษเจ้า! ไปยืนตรงเป้า แล้ววางแอปเปิ้ลบนศีรษะประเดี๋ยวนี้!”หลินมู่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งสนมเพราะชนะการประลองกับฮ่องเต้ ยืนวางอำนาจอย่างไม่เกรงกลัว เจียงหนิงเห็นเหตุการณ์นั้นก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร “สาวใช้นั้นยังเด็ก ยังไม่รู้นิติภาวะ ไยเจ้าต้องแกล้งนางด้วย?”หลินมู่หันมาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รัฐมีกฎหมาย ทหารมีกฎระเบียบ ข้าก็มีสิทธิ์ลงโทษนาง”นางหันไปหาฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร “ข้าทำเช่นนี้ผิดหรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตนัก “ไม่เป็นไร หลินมู่เก่งเรื่องยิงธนู เจ้าไว้ใจนางได้”หลินมู่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหยิบธนูขึ้นมาเล็งไปยังแอปเปิ้ลบนหัวของสาวใช้ ดอกแรกนางแสร้งยิงพลาดไปทางอื่น ทำให้สาวใช้ตกใจล้มลงกับพื้น “อย่าขยับ!”
หลังจากนั้น ฮ่องเต้กับเจียงหนิงหันกลับมากอดจูบกันอย่างเร่าร้อน ไม่นานเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็หลุดล่วงกองอยู่บนพื้น เจียงหนิงรับใช้ฮ่องเต้จนเสร็จสิ้น ก่อนที่นางจะลุกออกจากเตียงอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินออกมาจากห้อง ขณะที่นางกำลังจะก้าวพ้นประตูตำหนัก นางกลับพบว่าเซี่ยวหลานยืนรออยู่หน้าประตู ร่างของเซี่ยวหลานที่ยืนสงบเสงี่ยม แต่ในสายตาแฝงด้วยความโทสะทำให้เจียงหนิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย“ไยเจ้าถึงยังไม่กลับไปตำหนักของเจ้าเสีย?” เจียงหนิงถามอย่างสงสัยเซี่ยวหลานหันมามองเจียงหนิงด้วยสายตาคมกริบ “เจ้าไยไม่พูดความจริงกับฮ่องเต้?” นางถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความข่มขื่นเจียงหนิงแสยะยิ้มเล็กน้อย “เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น?” นางตอบอย่างเย็นชาทันใดนั้น ขันทีคนหนึ่งก้าวเข้ามาและกล่าวแทรก “พระสนมเจียงได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้ฮ่องเต้ในการประพาสป่าคราวนี้พ่ะย่ะค่ะ”เจียงหนิงพยักหน้ารับคำอย่างนอบน้อม แต่ในใจนางกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เซี่ยวหลานที่ยืนฟังอยู่นั้น ความโกรธเกรี้ยวในใจยิ่งทวีขึ้น นางมองเจียงหนิงด้วยความคั่งแค้น “เจ้าเป็นคนวางแผนฆ่าพระสนมหลี่และโยนความผิดให้ข้า ก่อนจะเสวยสุขอยู่เพียงผู้เดียว!” เซี่ยวหลานก
เจียงหนิงยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบ “เงินทองเป็นของนอกกาย หากเจ้าอยู่ในวังแห่งนี้ เจ้าจะต้องพบเจอกับเรื่องร้ายแรงอีกมากมาย รับมันไว้เถิด และไปใช้ชีวิตที่สงบสุขเสียเถิด”“ท่านแน่ใจนะเพคะ ไม่ต้องการให้ข้าคอยช่วยเหลือท่านอีกหรือ? พระสนมเซี่ยวมีจิตใจโหดร้ายและไม่รักษาคำพูด ข้าเกรงว่า...” สาวใช้กล่าวด้วยความห่วงใยและกลัวเจียงหนิงจะต้องพบเจอกับความเลวร้ายเจียงหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “พระสนมเซี่ยวต้องการกำจัดข้า แต่ข้าจะชิงลงมือเสียก่อน”สาวใช้ส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยความกังวล “พระสนมเซี่ยวมีครอบครัวที่โหดเหี้ยม ข้าอยากให้ท่านคิดให้ดี ๆ ก่อน หากไม่เช่นนั้น ข้าขอให้ท่านล้มเลิกความคิดแก้แค้นนี้เถิดเพคะ”เจียงหนิงฟังคำเตือนนั้นด้วยความนิ่งสงบ แต่นางก็ตอบกลับด้วยเสียงที่หนักแน่น “จะให้ข้ายกเลิกได้เช่นไร แม่ของข้าต้องทำงานหนักมาตลอด ไม่เคยได้กินอาหารดี ๆ หรือพักผ่อนเต็มที่ ตั้งแต่ข้าจำความได้ แม่ข้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ”ภาพในอดีตลอยขึ้นมาในหัวของเจียงหนิง นางจำได้ดีในวันนั้น นางนำซาลาเปาร้อน ๆ ไปให้แม่ที่ยืนอยู่หน้าวัง ทว่าวันนั้นกลับเป็นวันที่แม่ของนางเสียชีวิต จา