ปราโมทย์ยืนนิ่งฟังคำอธิบายที่ออกมาจากปากเลล่า เชค เขาเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำ กาญจีเห็นท่าทางของสถามีก็รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร ฝ่ามือบางของเธอเอื้อมไปกุมมือของเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน "คุณคะ" เสียงอ่อนโยนของภรรยาทำให้เขาได้สติ ดวงตาคมเหลือบมองลูกสาวคนโตที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ทว่า... เขาก็ไม่ยินดีที่จะให้อัมมาวดีแต่งงานกับราฟี เชค เด็ดขาด "วางใจเถอะ..." เขาพูดกับภรรยาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "ถ้าคุณรักลูกสาวผมจริง... คุณกล้าที่จะพิสูจน์ไหมล่ะ?" ชายหนุ่มขบกรามแน่น เขาไม่เคยคิดว่าศาสนาของเขาจะเป็นปัญหาจนได้เจอกับปราโมทย์ "แน่นอนครับ ผมกล้าที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง" น้ำเสียงตอบกลับอย่างหนักแน่นไร้ความลังเล ดวงตาสีเข้มมองคนอายุมากกว่าด้วยความมั่นใจ ราวกับกลัวว่าหากลังเลแม้เสี้ยววินาที เขาจะสูญเสียคนรักไป..."ดี.." เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ปราโมทย์ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงยินดี ทว่า...กาญจีที่มองเหตุการณ์ทุกอย่าง เธอก็มองการกระทำของสามีตัวเองออกทันที คนอย่าง ปราโมทย์ เชาฮาน ไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆแน่... "พ่อคะ" อัมมาวดีเข้าไปจับแขนของปราโมทย์เบาๆ ดวงตาคู่สวย
ยามค่ำคืนดึกสงัด ความเงียบท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงรถยนต์จากถนนใหญ่ มีเพียงสายลมบางๆพัดผ่านกิ่งไม้เสียดสีกันราวกับเป็นเสียงกระซิบ ทว่า... ท่ามกลางความสงบเงียบยามค่ำคืนกลับมีเสียงอึกระทึกครึกโครมดังขึ้นมาจากคฤหาสน์ริมทะเล อัมมาวดีวิ่งออกจากห้อง กายบางของเธอสวมชุดนอนตัวโปรด ในมือกำโทรศัพท์และกุญแจรถจนมือซีดขาว เสียงดังครึกโครมที่เธอได้ยินในโทรศัพท์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว หญิงสาวหอบหายใจแรง หัวใจเต้นราวกลับจากทะลุออกมาจากอก ขาทั้งสองข้างแทบไม่ได้สัมผัสพื้น "พี่คะ?" อัมพิกาในชุดนอนสีขาวเปิดประตูออกมาด้วยหน้าตาเซื่องซึม เธอมองพี่สาวกำลังออกจากบ้านด้วยท่าทีเร่งรีบ "พี่จะไปไหนคะ!?" หญิงสาวพยายามเร่งฝีเท้าตามไป ทว่า...ผู้เป็นพี่สาวที่กำลังรีบร้อน เธอไม่ได้ยินเสียงเรียกน้องสาวเลยสักนิด ในใจของเธอกำลังร้อนรนเพราะความเป็นห่วงสภาพของร้านมากกว่า รถคันหรูเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงอัมพิกาที่วิ่งตามหลังมา ร่างบางมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองตามหลังรถไปด้วยความเป็นห่วง เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆกับท่าทีของพี่สาว "รีบไปไหนของเขา" หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเ
กว่าสองชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามควบคุมเพลิงไม่ให้ไฟมันลามไปที่อื่น สภาพร้านที่เคยเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตอนนี้กลับเหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง หุ่นที่เคยสวมส่าหรีสวยงาม ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เศษวัสดุที่เหลือจากการถูกไฟเผา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองรอบๆร้านด้วยสายตาเหม่อลอย ร่างบางในชุดนอนยืนเกาะฉากกั้นของเจ้าหน้าที่ ด้านหลังราฟียืนโอบไหล่คนรักอย่างปลอบโยน สายตาแข็งกร้าวตวัดหาเจ้าหน้าที่โดยรอบ "หัวหน้าทีมสืบสวนอยู่ไหน?" เสียงเรียบเย็นเอ่ยขึ้นมา ตำรวจนายหน้ารีบก้าวเข้ามา"ผมเองครับ.." ชายหนุ่มมองหน้าของตำรวจนายนั้น ก่อนจะยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย " คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?" ดวงตาคมเข้มมองคนตรงหน้าด้วยสายตากดดัน "เรากำลังรวบรวมหลังฐานอยู่ครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบฟุตเทจจากกล้องวงจรปิดครับ" ตำรวจหนุ่มรายงานด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่า...กลับแฝงไปด้วยความเคารพยำเกรง นิ้วเรียวขยับปรับเนคไทลง ดวงตาคมกริบตวัดมองเจ้าหน้าที่ตรงหน้า "ผมไม่ต้องการคำว่า 'กำลังตรวจสอบ' ผมต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้!" เสียงของเขาหนักแน่นทว่าเย็นชา จนตำรวจและเจ้าหน้าที่รอบๆเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยาก
เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงเพลงอย่างไพเราะ เคล้าคลอกับเสียงผู้คนเบียดเสียดกันมาจับจ่ายใช้สอย สองขนาบข้างทางเต็มด้วยร้านค้าตั้งเรียงแถวกัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านขายของกิน ของใช้ เครื่องประดับ มีให้เลือกมากมาย ลมพัดเย็นสบายผสมผสานไปกับกลิ่นเครื่องเทศตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ร้านค้าบางร้านก็จะมีเสื่อหรือเบาะนั่งไว้รองรับลูกค้าและต่อรองราคา สองพี่น้องตระกูลเชาฮานพากันเดินชมร้านค้าด้วยความเบิกบานใจ อัมมาวดีถูกบรรยากาศภายในตลาดดึงดูดจนลืมเรื่องเศร้าหมองไปชั่วขณะ "พี่คะ... ที่นี่คึกคักมากเลย ดูสิคะ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปรอบๆ มองดูแม่ค้าขายผลไม้ที่กำลังต่อราคากับลูกค้าอย่างดุเดือด แม้จะโดนลูกค้าต่อราคาจนจะขาดทุน แต่ใบหน้าของเธอกลับยิ้มแย้ม จนอัมมาวดีขมวดคิ้วมุ่น ... เธอไม่เคยเห็นใครต่อราคาจนน่ารังเกียจขนาดนี้มาก่อนเลย... "อามิ... เดี๋ยวพี่มานะ" "เอ๊ะ!?.... ค่ะ" อัมพิกาชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบกลับพี่สาวไป สายตามองตามร่างของอีกฝ่ายไปจนไปถึงร้านขายผลไม้ร้านหนึ่ง เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของแม่ค้าร้านผลไม้ ไม่ใช่ว่ากำลังโดนโกงอยู่หรอกนะ... หญิงสาวคิดในใจ เธอรีบเดินตามพี่สาวอย่างรีบร้อน
...และการกระทำนั้น อยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา... ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำ ยืนล้วงกระเป๋ามองสองพี่น้องเดินไปจนลับตา ดวงตาสีนิลฉายแววความเคร่งขรึมยากที่จะอ่านออก เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของแม่ค้า เคล้ากับเสียงเจรจาต่อรองราคาจากผู้คนรอบด้าน ภาพฝูงชนเบียดเสียดกัน ไม่อาจทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากตรงนั้น"คุณไม่เข้าไปทักทายพวกเขาหน่อยหรอครับ" ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามผู้เป็นนาย "ไม่จำเป็น" เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวด เพราะว่าบทสนทนาทั้งหมดก่อนหน้านี้เขาได้ยิน ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในใจ "แต่งงานงั้นหรอ?" ... มันน่าแปลกตรงที่ เธอเดินทางไปไกลแสนไกล แต่ตัวเขายังคงวนเวียนติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหน... ฝ่ามือทั้งสองกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่อยู่ในใจลงได้ "อาร์มัน" "ครับ คุณศิวะ" "นายกลับไปก่อน ฉันขออยู่คนเดียวสักพัก" ศิวะพูดกับเลขาคนสนิทเสียงเบา พลางถอดเสื้อสูทนอกออกให้อีกฝ่ายด้วย เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำอยู่บนร่างกาย อาร์มันรับเสื้อสูทนอกของเจ้านายมาด้วยความเต็มใจ ก่อน
ท่าทางกระตือรือร้นของอัมมาวดี ทำให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างอัมพิการู้สึกชุ่มชื้นในหัวใจ พี่สาวของเธอผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา เธอก็อยากให้อีกฝ่ายผ่อนคลายบ้าง ดวงตาสีน้ำผึ้งกวาดมองรอบๆตลาดด้วยความชื่นชม "ไม่มานานเหมือนกันนะ" บรรยากาศคึกคักของผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย เสียงต่อรองราคาอย่างจริงจังระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ร้านค้าบางร้านก็มีเบาะรองนั่งกับเก้าอี้เอาไว้ต้อนรับลูกค้าโดยเฉพาะ หญิงสาวเดินดูของตามร้านต่างๆสนใจสะดุดตากับร้านขายกำไลร้านหนึ่ง หน้าร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีทองและประดับด้วยไฟระยิบระยับสีสันสวยงาม โต๊ะไม้แกะสลักถูกปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง บนโต๊ะนั้นถูกวางด้วยกำไลเรียงเป็นชั้นๆ บางชั้นจะเป็นกำไลแก้ว บางชั้นเป็นกำไลโลหะสีเงินและทอง บางชั้นถูกประดับด้วยเพชรและมุกสีสันสวยงาม มีทั้งกำไลจูดี(chudi) แบบดั้งเดิมของอินเดีย กำไลกันกัน( kangan) สำหรับเจ้าสาว และกำไลคาดา( kada) เอาไว้สวมใส่ในชีวิตประจำวัน อัมพิกาหยุดมองดูร้านขายกำไลด้วยความสนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างร่าเริง หญิงสาวในชุดส่าหรีสีสันสดใสมองดูกำไลที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ จนไปสะดุดตากับกำไลแก้วสีฟ้าครามชั้นหนึ่ง เธอจึงเก็บขึ้
หญิงสาวที่โดนลากออกมาจากร้านด้วยความไม่เต็มใจ เธอสะบัดมือออกจากการจับกุมของเขาอย่างสุดแรง "ที่พาหนูออกมาเนี่ย พี่ต้องการอะไรคะ?" แม้จะรู้สึกจับที่ข้อมือเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่แสดงอาการออกไป หญิงสาวเอามือขึ้นกอดอก พลางถามเขาออกไปเสียงเรียบ "ทำไม... ไหนบอกจะเป็นเครื่องมือให้พี่ไง" ศิวะพูดหยอกเย้าหญิงสาวด้วยน้ำเสียงขี้เล่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นล้วงกระเป๋ากางเกง "คิดจะว่ากลับคำพูดหรอ" "เปล่าค่ะ... หนูแค่สงสัยว่า..พอรู้ว่าพี่อามูจะแต่งงาน พี่ก็ข้ามเมืองมาถึงที่นี่ เพื่อมาแย่งพี่เขากลับไปหาตัวเองหรอคะ?" ชายหนุ่มมองหน้าอีกคนด้วยสายตาเคร่งขรึม ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา"แย่งกลับมาหาตัวเอง...? ทำไม เธอหึงพี่หรอ" ปลายนิ้วยกนิ้วไปเล่นปลายผมอีกเธออย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะถูกหญิงสาวปัดออกอย่างรวดเร็ว "แต่พี่ว่า...เธอคงไม่อยากให้พี่กลับไปหาอัมมาวดีหรอกจริงไหม...หืม?" ว่าแล้วก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของคนตัวเล็ก ทว่า...เธอกลับออกแรงผลักเขาออกอย่างแรง จนตัวเขาถอยหลังไปสองก้าว "หนูไม่ได้หึงค่ะ... แล้วอีกอย่างนะคะต่อให้พี่ลงทุนลงแรงแย่งพี่สาวหนูกลับไป พี่เขาก็ไม่กลับไปหาพี่หรอกค่ะ เพราะเขาไม่ได้รัก
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด
บ้านเชาฮาน, เมืองอุทัยปุระสายลมเย็นพัดผ่านร่างของหญิงสาวที่ออกมารับลมเล่นที่ระเบียงห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งทอดมองไปยังพื้นผิวของน้ำทะเลสาบที่เป็นประกายระยิบระยับใต้แสงแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งเป็นจังหวะ บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ทว่า...หัวใจของเธอกลับไม่ได้สงบเช่นบรรยากาศ นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่วันที่เธอออกจากโรงพยาบาล ศิวะไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย จะมีเพียงแค่ส่งข้อความมากวนประสาทเป็นบางวัน เธอละสายตาจากวิวทะเลมาที่โทรศัพท์เครื่องหรูในมือ ปลายนิ้วเลื่อนปลดล็อคหน้าจอ เธอเปิดค้างอยู่ที่รายชื่อติดต่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเปิดหน้านี้ค้างไว้ แต่... อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพี่สาวของเธอ และปราโมทย์พ่อของเธอก็เชิญเขามางานนี้ด้วย ซึ่งเธอไม่มั่นใจเลยว่าชายหนุ่มจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือเปล่า"เลิกคิดเถอะ..." เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง ปลายนิ้วของเธอลูบคลำบนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะปิดหน้าจอลง หญิงสาวพยายามทำให้ใจสงบ ทว่า... ยิ่งพยายามสงบใจมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุ่มร้อนภายในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น...ความคิดมากมายทะลักเข้ามาในหัว มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ถ้าเกิดว่า...
เมื่อชายหนุ่มออกไปแล้ว ปราโมทย์ก็อยู่เป็นเพื่อนลูกสาวอย่างเงียบๆ เขานั่งปอกผลไม้อย่างชำนาญ เก็บแอปเปิ้ลที่ถูกหั่นชิ้นอย่างสวยงามยื่นไปที่ปากของอัมพิกาอัมพิกาอ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นพ่อส่งให้ด้วยรอยยิ้ม หญิงสาวปิดปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย การที่พ่อของเธอมานั่งปอกผลไม้และป้อนเธอนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เพราะปกติแล้วปราโมทย์จะนั่งอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ยกเว้นเวลาทานอาหาร "ขอบคุณนะคะพ่อ" "ขอบคุณอะไร?" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย มือที่กำลังปอกผลไม้อยู่ถึงกับชะงัก "ก็... ขอบคุณที่ดูแลหนู แล้วก็เข้าไปช่วยหนูไงคะ" หญิงสาวเอนตัวไปซบที่แขนแกร่งอย่างออดอ้อน รู้สึกถึงฝ่ามือที่กำลังลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยหลับพริ้มรับรู้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อเธอ "ลูกสาวตกอยู่ในอันตรายทั้งที พ่อจะอยู่เฉยได้ยังไง" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พลางดันตัวลูกสาวออกมาเบาๆ "ค่า...แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ?" "ก็เรื่อยๆ... ปกติดี ไม่ได้แพ้อะไร" อัมพิกาพยักหน้า มารดาของเธออายุก็มากแล้ว แต่ดันมาตั้งครรภ์อีก ไม่รู้ว่า... น้องในครรภ์จะเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชายกันนะ หญิงสาวคิดขึ้นมาด้วยความสงสัย มือบางหยิบแอป
อีกด้านหนึ่งของป่า ราฟีและปราโมทย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินแกะรอยทั้งสามคนเข้ามาในป่า ที่นี่เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทำให้ป่าที่นี่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีสัตว์ร้ายชุกชุม พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จนกระทั่ง...ปัง! ปัง! มีเสียงปืนดังขึ้นในอีกด้านหนึ่งของป่า ทำให้พวกเขาหยุดชะงัก หัวใจของคนเป็นพ่ออย่างปราโมทย์เต้นรัวด้วยความหวาดกลัวและเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กอย่างสุดซึ้ง เขาภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์คุ้มครองลูกสาวของเขาด้วย "เร็วเข้า!" ปราโมทย์คำรามใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาเดินไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ราฟีและเจ้าหน้าที่เร่งเดิมตามหลังชายหนุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบ นักการเมืองหนุ่มรับรู้ถึงความเป็นห่วงพี่มีต่อลูกสาวคนเล็กของปราโมทย์ได้เป็นอย่างดี ทว่า...เสียงปืนที่ดังใกล้ขนาดนี้ บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ก็ได้ "เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหยุดว่าที่พ่อตาเอาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ปราโมทย์ถึงกับหยุดชะงัก"มีอะไร?" "เสียงปืนดังใกล้ขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าจะเป็นพวกไหน?" น้ำเสียงเรียกเฉยของเขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ราฟีประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ หากว
"บ้าเอ๊ย!" อาร์มันสบถในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าเข้าไปตวัดขาใส่คนพูดเป็นแรก ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีอาวุธครบมือ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่า กระสุนวิ่งผ่านหูในระยะประชิดจนทำให้อาร์มันเบี่ยงตัวหลบหลังต้นไม้แทบไม่ทัน เปลือกไม้แตกตามแรงปะทะ ท่อนไม้ในมือศิวะถูกเหวี่ยงออกไปผัวะ! กระทบกับร่างกายของกลุ่มชายในเครื่องแบบอย่างรุนแรง จนเซถอยไปหลายก้าว ฮาร์มันสบโอกาสก็พุ่งเข้าไปตวัดเท้ากระแทกปืนในมือศัตรูจนมันหลุดกระเด็นไป ด้านศิวะก็ไม่น้อยหนาใช้เท้าเตะเสยคางหนึ่งในนั้นจนสลบเหมือดอึก! อาร์มันรีบเข้าเตะซ้ำจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสภาพแล้ว ก่อนจะหันหลังเข้าหากันเมื่อคนที่เหลือกระจายตัวมาล้อมพวกเขาเอาไว้ "คุณเคยแสดงละครไหม?" อาร์มันหอบหายใจหนัก พลางพูดหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างขี้เล่น"หึ!" ใบหน้าคมเข้มกระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะพุ่งเข้าหักแขนศัตรูไปด้านหลัง พร้อมกับรับปืนมาอยู่ในมือ ปัง! เสียงลั่นไกกระทบไหล่ของชายอีกคนดังลั่น แล้วเอี้ยวตัวไปยิงเข้าที่ลำตัวของเขาทันทีโดยใช้ร่างของเพื่อนศัตรูเป็นเกราะกำบัง "เวรเอ๊ย!... ฉันไม่ใช่นักแสดงหนังบู๊นะ" อาร์มันพึมพำเสียงเบาๆ ในใจนึกถึงหน้าลูกเมียเอาไว้เพื่อเป
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความฟกช้ำตามร่างกาย ดวงตาคู่สวยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สายตากวาดไปรอบๆด้วยความมึนงง ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นช้าๆ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล"ตื่นแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเนิบนาบ อัมพิกาหันไปมองทางต้นเสียง ศิวะกำลังยืนกอดอกมองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "..." เธอไม่ได้ตอบเขา หญิงสาวเคลื่อนตัวออกมาจากเพิง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน ทว่า... ขาทั้งสองกลับอ่อนแรงจนเธอเกือบจะล้มลง "อ๊ะ!" แต่...วงแขนแกร่งเข้ามาโอบร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น "ระวังหน่อย" ร่างสูงเอ่ยขึ้นมาเสียงดุ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขามองเธออย่างคาดโทษ หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น พยายามดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน "อยู่เฉยๆ " เสียงทุ้มดุของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นมาแนบอก ซึ่งบุคคลที่สามอย่างอาร์มันก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตายิ้มๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ "ไหนบอกเป็นแค่เครื่องมือไง" ผู้ช่วยหนุ่มพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าหาทั้งสองคน " ให้ผมช่วยไหมครับ?" ศิวะปรายตามองอาร์มันอย่าง
"หนูผิดเอง...หนูผิดเองค่ะ" เสียงสั่นเครือของเธอเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา หญิงสาวกล่าวโทษตัวเองที่เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวตกอยู่ในอันตราย ถ้าเธอ...ไม่เข้าไปช่วยแม่ค้าคนนั้น น้องสาวของเธอคงจะยืนอยู่ตรงนี้"มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อามู" ราฟีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่า...คำอธิบายของชายหนุ่มกลับทำให้อีกคนเดือดดาล และรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเมื่อเรื่องที่ทำให้ลูกสาวของเขาถูกตามล่ามันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง"เพราะแค่เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ พวกมันถึงกับตามล่าลูกสาวฉันเลยหรอ" ปราโมทย์แทบสบถออกมา เสียงเย็นเยียบของเขากล่าวออกมาจนราฟีเองก็สัมผัสได้ถึงแรงโทสะที่กำลังปะทุอยู่ในใจของชายสูงวัย "ใช่ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ "พวกมันไม่ใช่แค่เป็นพ่อค้าคนกลางธรรมดา แต่ว่าพวกมันมีเบื้องลึกมากกว่านั้น พวกมันมีเส้นสายกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคนและจ่ายส่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เท่าไหร่" "แล้วไอ้คนที่ถูกคุมตัวอยู่มันพูดว่าอะไรบ้าง?" เขาถามกลับ "ตอนแรกก็ไม่ยอมพูดอะไรครับ แต่ว่าพอใช้วิธีนิดหน่อย พวกมันก็เลยยอมพูด" ราฟีหรี่ตามองบิดาของคนรัก พลางยิ้มมุมปากเล็
คำถามนั้นทำให้ศิวะพูดไม่ออก เขาเหมือนถูกค้อนทุบที่หัว ในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก "เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้นะ" "ทำไหมคะ?" อัมพิกามองหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมาเพื่อถามเขา "ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ" ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเจ็บปวด "เพราะพี่...ไม่อยากมีน้องสาว" เขาพูดเสียงเรียบ พลางก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขน พร้อมกระชับอ้อมกอดเพื่อส่งความอบอุ่นเข้าไปในร่างกายของเธอมากที่สุด ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขากอดเธอนิ่งๆไม่ยอมปล่อยร่างของเธอเป็นอิสระ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน... หรือจริงๆแล้ว... เขาแค่ไม่อยากยอมรับมัน อัมพิกาเงียบไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง ร่างกายของเธออ่อนแอจนเกินรับไหว แต่ก่อนที่เธอจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เสียงแผ่วเบาของเธอก็ดังขึ้น "พี่ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรค่ะ... หนูรู้ตัวเองดี" ว่าเป็นได้แค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้แก้แค้นพี่สาว....ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่หัวใจ มันเจ็บจนหายใจไม่ออก ลมหายใจของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อของคนในอ้อมกอดความแค้นที่เขายึดมั่นนักหนา... ตอนนี้กำลังจะทำให้หญิงสาวที่เคยสด
เปลวไฟเต้นเร้าอยู่ในอากาศ เสียงไม้แตกกระทบกันดังสนั่นเพื่อขับไล่ความมืดและสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้ายพวกเขา อาร์มันและศิวะช่วยกันสร้างเพิงเล็กๆ 2 หลังเพื่อเป็นที่พักค้างแรมในค่ำคืนนี้ พวกเขาหาใบไม้สดมาปูรองเป็นที่นอน ชายหนุ่มเข้าไปอุ้มอัมพิกาที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่เข้ามานอนในเพิงพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆกับผู้ช่วยของเขา "ลำบากคุณแล้ว" ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะนั่งมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนท่ามกลางความมืด "ผมไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ... ผมทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของคุณ ก็ต้องช่วยคุณอย่างถึงที่สุดถูกต้องไหมครับ" อาร์มันพูดเย้าแหย่เจ้านายด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายมีหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดี ทว่า...เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ขี้เล่น และเป็นผู้ช่วยของศิวะมานานถึงสิบสามปี "ผมว่าผมควรจะให้โบนัสคุณเพิ่มแล้วล่ะ" ผู้ช่วยหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาหยอกเย้า "ผมว่าคุณควรให้พักร้อนกับผมนะ " คราวนี้ถึงตาศิวะเป็นคนหัวเราะบ้างแล้ว แต่ในใจเขาก็เห็นด้วยที่จะให้พักร้อนกับผู้ช่วยของเขา อาร์มัน เขามีภรรยาและลูกๆทั้งห้าคนรออยู่ที่บ้าน "โอเค... แต่ต้อง
วงแขนแกร่งโอบเอวเธอไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีนิลเหลือบมองกลุ่มผมสีดำสนิทร่วงลงมาราวกับผ้าม่าน ความห่วงหาสะท้อนชัดอยู่ในแววตาโดยที่เขาไม่รู้ตัว"เป็นอะไรไหม?""ไม่...เป็นไร" อัมพิกาหันมาตอบเขา ทว่า...ใบหน้าหล่อเหลากลับอยู่ใกล้เพียงคืบจนปลายจมูกของทั้งสองแตะกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งสบกับดวงตาสีนิลของเขา ความเย็นชาไร้จุดหมาย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้หัวใจของหญิงสาวเกิดสั่นไหว ร่างบางค่อยๆลงมาจากตักของเขา แล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง พลางก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนที่สาดเข้ามา อาร์มันพยายามหลบหลีกกระสุนอย่างยากลำบาก เขาส่งสายตาหาเจ้านายเพื่อต้องการความคิดเห็นดวงตาคมกริบมองหน้าของเลขาคนสนิทอย่างเรียบนิ่ง"เปิดระบบขับรถอัตโนมัติ" เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนของอัมพิกาเข้ามาใกล้ "มารวมตัวกับฉันเอาไว้" "ได้ครับคุณศิวะ " อาร์มันรีบเปิดระบบขับรถอัตโนมัติ ก่อนจะเข้าไปรวมตัวกับเจ้านายที่เบาะหลัง รถเคลื่อนตัวไปตามความเร็วที่ถูกตั้งไว้ จนมาถึงทางโค้งทางหนึ่ง"เราต้องรีบโดดเดี๋ยวนี้" ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มก่อนจะรวบตัวคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจากที่ประตูรถไว้แน่น เสียงปังยังคงด